ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
ตอนที่ ๑๑๒๔
สนทนาธรรม ที่ เชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท
วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.คำปั่น อย่างเช่นที่ท่านพระปุณณิกาเถรี ได้กล่าวเตือนไว้ว่า ถ้าท่านกลัวทุกข์ ถ้าทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่น่ารักสำหรับท่าน ท่านก็อย่าทำบาปกรรม ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ เพราะถ้าท่านทำกรรมชั่วไปแล้ว แม้ว่าจะเหาะหนีก็ไม่พ้นจากการได้รับผลของกรรมชั่วนี้ได้ จะอยู่ในอากาศ จะอยู่ในซอกเขา จะอยู่ที่แม่น้ำลึกๆ ที่คิดว่าจะรอดพ้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแรงของกรรม เป็นเจตนาที่กระทำสำเร็จแล้ว เมื่อถึงคราวที่จะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไป พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ ใครทำให้ ไม่มีใครทำให้เลย แต่เป็นกรรมที่ท่านทำมา ที่ถึงคราวที่จะทำให้ท่านเป็นอย่างนั้นแล้วเกิดในอบายภูมิ ไม่มีใครทำให้เลย
เมื่อได้ฟังเรื่องกรรม และผลของกรรม สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็คือ เป็นผู้ไม่ประมาทในกำลังของอกุศล เพราะว่าอกุศลที่มากๆ ที่มีกำลังมาก ก็มาจากการสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย คุณความดีก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าจะมีมาก ก็มาจากการสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ยิน ได้ฟัง ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลทั้งหมดเลย ซึ่งคำจริงเป็นคำอนุเคราะห์ เป็นคำที่มีประโยชน์จริงๆ ก็คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ฟัง ขอความละเอียดของคำว่า รู้แจ้ง แทงตลอดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ แทงตลอดอย่างไร
ท่านอาจารย์ มีสองคำใช่ไหม รู้ และ แจ้ง เพราะฉะนั้น รู้อะไร
ผู้ฟัง รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ อะไร
ผู้ฟัง ได้ยิน
ท่านอาจารย์ รู้ ได้ยิน รู้แจ้ง ก็ต้องรู้แจ้งได้ยิน ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วเวลานี้ก็กำลังได้ยิน ใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เวลานี้ก็ยังไม่ใช่ รู้แจ้งได้ยิน ใช่ไหม
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้แจ้งได้ยิน ก็คือว่า รู้ว่า ได้ยินเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ที่เราใช้คำว่าทุกอย่างเป็นธรรม หมายความว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ และมีลักษณะที่แสดงชัดเจนว่าจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น เวลานี้เราได้ยินได้ฟังว่า เสียงมีจริง ดับแล้วใช่ไหม ไม่กลับมาอีกเลย แต่ไม่ได้รู้แจ้งในธาตุที่เป็นธาตุรู้ เพราะเหตุว่าทรงแสดงไว้หลายนัยที่จะให้มีความเข้าใจละเอียดเพิ่มขึ้น อย่างจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ปัฏฐาน (ปัด-ถาน-นะ) คือ ที่ตั้งของสติ สภาพที่ระลึกรู้ เข้าใจเพราะได้ฟังมาแล้ว จึงสามารถที่จะระลึกได้ถูกต้องในสิ่งที่เคยฟังแล้วว่าเป็นธรรม เช่น เดี๋ยวนี้ เห็นก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธรรม ได้ยินหมดเลยว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ยังไม่รู้แจ้ง ใช่ไหม รู้ว่ามีจริง แต่สั้นมาก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น มีความเข้าใจว่าเกิดดับ ไม่หลงคิดว่ายั่งยืนเหมือนเดิมที่ยังไม่ได้ฟัง แต่ว่าสภาพธรรมที่เกิดดับยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง เพียงแต่ว่ามีลักษณะที่ให้รู้ว่ามี เพียงแต่เป็นสิ่งที่ปรากฏ มีลักษณะให้รู้ว่ามีจริงๆ และความเข้าใจนี้จะปรากฏในเฉพาะเสียง ซึ่งขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้มีคนหลายคน มีดอกไม้ มีโต๊ะ แล้วก็มีเสียง ไม่ใช่เฉพาะเสียงที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จะชื่อว่ากำลังรู้แจ้งเสียงไม่ได้ เวลาที่รู้แจ้งเสียง ต้องมีเสียงเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น มีเเต่ลักษณะของเสียงเท่านั้น ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่กลิ่น จึงเป็นภาวะที่เป็นธรรมของเสียงเท่านั้นที่กำลังปรากฏ จะเป็นอื่นไม่ได้เลย เริ่มเข้าใจตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่างในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏกับปัญญา ที่สามารถที่จะรู้เฉพาะ ปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่หลากหลายมาก เวลานี้เกิดดับสลับกัน แล้วแต่อะไรจะเป็นปัฏฐาน เป็นที่ตั้ง ซึ่งสติก็เลือกไม่ได้ว่าจะรู้อะไร เพราะสิ่งนั้นเกิดดับเร็วมาก แต่ปัญญาที่สะสมมาแล้วก็มีกำลังที่สามารถจะเกิดขึ้นรู้ ด้วยความเข้าใจถูกต้องเฉพาะสิ่งเดียว ซึ่งสิ่งอื่นในขณะนั้นต้องไม่มี
เพราะฉะนั้น คำว่า ธรรม เริ่มปรากฏ ว่าไม่ใช่อย่างอื่นอย่างใดทั้งสิ้น นอกจากลักษณะของสิ่งนั้นเท่านั้นเฉพาะอย่างๆ จึงเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นความคิด ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา อะไรก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนั้นซึ่งเป็นปัฏฐาน เป็นที่ตั้งของสติที่เกิดขึ้นเพราะปัญญาที่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า เมื่อไหร่ก็ได้ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ทันที่จะไปนั่งเพ่งลมหายใจ หรือเจาะจงอะไรทั้งสิ้น เพราะนั่นไม่ใช่ความเป็นอนัตตา นั่นเป็นอัตตา ด้วยเหตุนี้ เข้าใจในความหมายของธรรมในขั้นปริยัติ ในขั้นปฏิบัติ ในขั้นปฏิเวธ แต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง การที่เราจะไปรู้อีกเสียงหนึ่ง เสียงที่ก่อนหน้านี้ก็ต้องดับไปแล้ว ดังนั้นปัญญาที่จะค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นลักษณะสภาพแต่ละลักษณะที่ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ความเป็นเราอยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง ก็ยังเป็นเราที่ได้ยินอยู่
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ตัวธรรมนั่นเอง เพราะว่าลักษณะนั้นยังไม่ได้ปรากฏในความเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ไปขัดเกลาภายนอก แต่รู้ว่าสะสมความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ จึงหลง ยังคงหลงว่าเรารู้ เราได้ยิน เราเห็น ถูกต้องไหม ขณะนี้สิ่งภายนอกไม่ใช่เรา แต่ยังเป็นเราเห็น เราได้ยิน เราคิด กิเลสทั้งหลายสะสมอยู่ในจิต ความเป็นเราก็อยู่ที่จิต เพราะฉะนั้นสภาพของธาตุรู้ยังไม่ได้ปรากฏ ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น จากปริยัติ ฟังเข้าใจ จนถึงปฏิปัตติ สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐานเกิดขึ้น โดยไม่มีการตระเตรียมอะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้อะไรเลือกไม่ได้เลย เปลี่ยนไม่ได้เลย ขณะนั้นก็เข้าใจในความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่แทงตลอดคือ ความเกิดดับของสภาพธรรม
เมื่อสักครู่นี้ คุณณภัทรกล่าวถึงว่า ได้ยินเสียงหนึ่ง เสียงนั้นก็หมดไป ได้ยินอีกเสียงหนึ่ง อีกเสียงหนึ่ง ก็หมดไป นั่นคือ ความคิด ความเข้าใจจากการที่ปรากฏกับความเข้าใจเท่านั้น แค่นั้นในขณะนั้น แต่เสียงนี้เองอย่างนี้เอง ทุกอย่างก็จะปรากฏความชัดเจนขึ้น ด้วยกำลังของปัญญาที่เกิดพร้อมกับสติ เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะจะค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้น โดยที่ปัญญายังน้อยอยู่ แต่ขณะนั้นสามารถที่จะรู้ความต่างกันว่า ขณะนั้นเป็นสภาพที่ต่างกับขณะที่หลงลืมสติ แต่ความเป็นเรายังมี เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ ทิ้ง ใช้คำว่าทิ้งเลย ทิ้งความเป็นเราจากใจซึ่งเกาะติดมานานแสนนาน และแน่นมากออกไปได้ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ผู้ฟัง สภาพธรรมเกิดดับปกติอยู่แล้ว แต่ว่าปัญญาไม่สามารถที่จะรู้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ จึงไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก อาการเกิดดับไม่ปรากฏ ใช่ไหม แต่ลักษณะที่เป็นธรรมปรากฏก่อน จึงเป็น นามรูปปริจเฉทญาณ ไม่มีความสงสัยในความเป็นธรรมของแต่ละหนึ่ง ที่กำลังปรากฏในขณะนั้น แต่เข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วชัดเจนขึ้น เพิ่มขึ้นว่านั่นคือ นิมิต
นิมิต ไม่ใช่ฝัน หรือว่าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ที่เราใช้คำว่า นิมิต แต่หมายความว่า ธรรมนั่นเองเกิดดับสืบต่อจึงเป็น นิมิตของธรรม อย่างเห็นขณะนี้เป็นนิมิตของเห็น เพราะตัวเห็นจริงๆ สั้นมาก จิตที่เกิดก่อนเห็น ไม่เห็น ทำกิจอื่น รู้ว่ามีสิ่งกระทบ เมื่อเห็นเกิดขึ้นและดับไป จิตที่เกิดต่อไม่เห็น แต่ทำกิจรับรู้สิ่งที่จิตเห็นรู้ เป็นอารมณ์ต่อไป
เพราะฉะนั้น เห็นจะเล็กน้อยสักแค่ไหน แต่ปรากฏเป็นนิมิตของเห็นว่า เห็นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ซึ่งปัญญาก็ต้องเจริญตามลำดับที่จะรู้ว่า ขณะนั้นก็ยังเป็นนิมิตของสภาพธรรม ที่จะต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง ข้อความที่ว่า การรู้แจ้ง แล้วก็แทงตลอดในสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ ปัญญา ที่แทงตลอดคือ ปัญญา แทงตลอดคือเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่มีสิ่งที่แหลมคมไปแทง แต่ว่าปัญญาที่รู้ชัดในสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งจากการฟังไม่ได้ชัดอย่างนี้ เพราะเหตุว่าขณะนี้ก็มีเห็น แต่ลักษณะที่เป็นเฉพาะธาตุรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องแยกกัน เพราะฉะนั้น กว่าการที่สภาพรู้จะปรากฏชัดเจนก็ต้องตามลำดับของการอบรมเจริญปัญญา ที่ใช้คำว่า วิปัสสนา สภาพที่รู้แจ้งจึงมีหลายระดับ
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่า เห็น หรือว่า เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดับไปแล้ว อย่างนี้เป็นแค่การคิด
ท่านอาจารย์ ถึงขั้นสติปัฏฐาน ปฏิปัตติหรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ ยัง นี่คือผู้ตรง ขั้นนี้คือ ขั้นฟัง เพราะฉะนั้น ปัญญาสามารถที่จะรู้ความต่างของขณะที่หลงลืมสติ กับขณะที่สติเกิด ปัญญารู้จริงๆ รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ชัดเจน ไม่คลาดเคลื่อน ไม่เข้าใจผิดถึงจะเป็นปัญญา ไม่ใช่ตัวตนไปเข้าใจเอาเอง
สนทนาธรรม ที่ สโมสรทหารบก
วันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมทุกคำที่ได้ฟัง ยากที่จะเข้าใจได้ แต่ไม่พ้นความสามารถที่จะค่อยๆ ไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ขณะนี้กำลังเห็นเป็นธรรม แค่นี้ ลืมบ่อยๆ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้เองก็เป็นธรรม แต่ก็ยากแสนยากที่จะเข้าใจว่า แล้วธรรมอะไรในขณะที่กำลังมีได้ยิน ขณะนั้นคือ ต้องมีเสียงเป็นอย่างหนึ่ง และมีได้ยินอีกอย่างหนึ่ง แล้วมีเราอยู่ที่ไหน
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละความสำคัญว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน เพราะว่ากว่าเราจะรู้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดไม่ยั่งยืนก็ต่อเมื่อคนเกิดแล้วคนตาย ตายเมื่อไหร่ไม่ยั่งยืนเมื่อนั้น แต่ตามความเป็นจริงกำลังตายอยู่ทุกขณะ แต่ว่าไม่เคยรู้เลย
เพราะฉะนั้น ถ้าเทียบปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับผู้ที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย ห่างไกลกันเท่าไร ทุกคำของพระองค์เป็นสัจจวาจา ความจริงถึงที่สุดซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ว่าขณะนี้ สิ่งซึ่งกำลังปรากฏให้เห็นกำลังมี แต่สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น เเค่นี้วันหนึ่งๆ ก็ไม่เคยคิดเลย เเต่เพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ปรากฏ เมื่อไหร่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เพียงแค่หลับตา สิ่งที่ปรากฏไม่มี พอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตาสักเท่าไหร่ แค่หลับตาก็ไม่มี แต่ความจริงเร็วกว่านั้นมาก เพราะขณะที่กำลังลืมตา ยังไม่ได้หลับตา สภาพธรรมก็เกิดดับสืบต่อนับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่ใครจะคิดเอง แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความเคารพในผู้ที่กล่าวคำจริง เป็นความจริงซึ่งไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลยถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือ นักคิด หรือใครก็ตามแต่ จะคิดอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามปกติได้
ด้วยเหตุนี้ ธรรมมีอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ตลอดเวลา จนกว่าจะได้ฟังแล้วก็เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย โดยผู้ที่มีความมั่นคงในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่า คำนี้ยากที่ใครจะเข้าใจได้ถึงที่สุด ขณะนี้เห็นกำลังเกิดแล้วก็ดับ ใครจะสามารถรู้ได้ แต่เมื่อสิ่งนี้มีจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้เลย ก็ทำให้คนที่มีศรัทธา มีจิตที่ผ่องใส รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรจริงอะไรเท็จ สามารถที่จะติดตามรู้ได้ว่า สิ่งนี้เองสามารถที่จะพิสูจน์ให้รู้จริงอย่างนี้ได้ โดยผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วนั่นเอง เป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ก่อนบุคคลอื่น เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย แต่ละคำ ๔๕ พรรษา เป็นคำที่คนที่ไม่มีความเข้าใจธรรมอ่านแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรา คิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราทำอย่างนั้น สอนให้เราคิดอย่างนี้ แต่ไม่รู้เลยว่า แต่ละคำให้เกิดสิ่งซึ่งไม่เคยมีในสังสารวัฏฏ์ คือ ความเห็นที่ถูกต้องซึ่งเป็นปัญญาสามารถที่จะเริ่มรู้ว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมที่เกิดดับนับไม่ถ้วนจริงๆ ไม่รู้เลยว่าเร็วแค่ไหนกว่าจะปรากฏเป็นคน เป็นโต๊ะ เป็นดอกไม้ เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดยิ่ง เกิดขึ้นและดับไปตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือทำให้เกิดขึ้นได้
จึงต้องฟังด้วยความเคารพว่าอีกนาน กว่าปัญญาความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดง จะค่อยๆ มีความเข้าใจขึ้น นับชาติไม่ถ้วน บางคนคิดว่าชาตินี้จะหมดกิเลส เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าเขาไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้กำลังมีกิเลส แล้วจะหมดกิเลสจากเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีกิเลสได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เป็นคำที่ฟังเพื่อละความไม่รู้ ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้โดยไม่ง่ายเลย ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ด้วยความอดทน ด้วยความลำบากยากยิ่งเท่าไหร่ กว่าที่จะสามารถรู้แจ้งสภาพธรรม ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ผู้ฟังก็คงไม่มีใครปรารถนาที่จะอบรมเจริญปัญญา ดับกิเลสถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเพียงแค่ฟัง ฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ แค่เข้าใจแต่ละคำก็ผ่านไปเเล้ว หมดไปแล้ว ลืมไปเเล้ว จนกว่าจะมีความมั่นคงจริงๆ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงในชาติหนึ่ง ซึ่งถ้าเริ่มมีความเข้าใจ ตั้งแต่ชาตินี้ หรืออาจจะสะสมมาแล้วในชาติก่อนๆ ชาตินี้มีโอกาสได้ฟังอีกจึงเห็นประโยชน์ว่าควรฟังตลอดชีวิต เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งชาติต่อไปหลังจากชาตินี้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ฟังอีกหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ฟังเข้าใจมากเท่าไหร่ในชาตินี้ก็เป็นประโยชน์ที่สะสมไป ที่จะทำให้ชาติต่อไปมีโอกาสได้ฟังเเล้วก็เข้าใจขึ้น ก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรมดา เรื่องยาก เรื่องละเอียด เรื่องลึกซึ้ง ซึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทุกอย่างมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เกิดแล้วทั้งนั้น เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
เพราะฉะนั้นธรรม คืออะไร ธรรม ก็คือ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะเกิดจึงปรากฏได้แล้วก็ดับไป คำนี้จะเป็นคำที่ผู้ที่ได้เคยฟังมาแล้ว จะได้ฟังต่อไปอีกข้างหน้าที่สามารถจะเข้าใจขึ้น และไม่มีการวัดหรือ สอบเลยว่าใครมีความรู้ระดับไหน ปริญญาโท ปริญญาเอก หรืออะไร แต่ว่าความเข้าใจด้วยตนเองที่ว่า เดี๋ยวนี้มีเห็น และพิจารณาเข้าใจถูกต้องว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แค่นี้ก็ต้องอาศัยเวลาเเล้ว และถ้าเห็นไม่เกิด สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่เกิดก็จะไม่มีสิ่งนี้เลย
เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งแม้มีทั้งวัน แต่ความไม่รู้มากมายมหาศาล จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงว่า ได้ยินคำว่า เห็นเกิดขึ้นและดับไป ยังไม่เป็นอย่างนั้น ได้ยินว่า เห็น สิ่งที่ถูกเห็นมี แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่ใครสักคนเดียว เพียงเป็นสิ่งที่กระทบตาได้ และจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นแล้วดับไป แล้วมีความคิดนึกสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนกับเห็นก็รู้เลยว่าคนไม่ใช่ดอกไม้ โต๊ะไม่ใช่เก้าอี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเหมือนกับรู้หมด แต่ไม่ได้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้ กำลังเกิดดับ จนกว่าวันหนึ่งสามารถที่จะรู้ได้ แน่นอน เพราะว่ามีผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วมาก หลังจากที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมแล้ว
เพราะฉะนั้น เราก็เป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ความห่างไกลกันมากของปัญญาของผู้ที่เป็นสาวก กับผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าในครั้งนั้นนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีผู้ที่อบรมเจริญปัญญาถึงความเป็นอัครสาวก ปัญญาที่มาก และเป็นปัญญาหลายลักษณะ สภาพธรรมประมาณไม่ได้เลยว่ามากเท่าไหร่ เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ลองคิดดู เดี๋ยวนี้เอง สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น จะนับขณะของสิ่งที่เกิดดับได้ไหม แม้แต่เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว เป็นสิ่งซึ่งทำให้เห็นว่าไม่มีหนทางอื่นเลยที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ นอกจากการได้ฟังและเข้าใจในความลึกซึ้งของธรรม จึงเป็นผู้ไม่ประมาทในการฟัง
ฟัง ไม่มีใครกะเกณฑ์ให้เข้าใจเท่านั้น เท่านี้ แต่ฟังแล้วเห็นว่าเป็นสิ่งที่สามารถจะเข้าใจได้ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่งประการหนึ่ง ที่ทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ก่อนนี้ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้เน้นว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก ถ้าจะพูดคำที่รู้จักแล้วจะเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้จักก็พูดคำที่รู้จักไม่ได้ เพราะว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก ถูกต้องไหม
ผู้ฟัง คือรู้จักชื่อ หรือคำว่า ธรรม แต่จริงๆ แล้วธรรมคืออะไร ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเดี๋ยวนี้เห็นมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ จริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ สิ่งที่จริงเป็นธรรม เท่านั้นเอง ทุกอย่างต้องเป็นสิ่งที่มีจริง มีลักษณะของสิ่งนั้นว่ามีจริงๆ
ผู้ฟัง อย่างพูดว่าธรรม ตอนที่ยังไม่เคยรู้จักธรรม แสดงว่ารู้จักเเต่ชื่อ ไม่ได้รู้จักสภาพจริงๆ ของคำนั้นๆ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แม้แต่คำว่า เห็น พูดบ่อยไหม เห็น
ผู้ฟัง พูดมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยที่สามารถพูดได้ เห็น
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่า พูดคำที่ไม่รู้จัก
ผู้ฟัง รู้จักแต่ชื่อ ว่าชื่อ เห็น แต่ว่าไม่รู้ตัวเนื้อสภาพธรรมของ เห็น
ท่านอาจารย์ พูดคำว่าเห็น ทั้งๆ ที่มีเห็น แต่ไม่รู้จักเห็น
ผู้ฟัง ไม่รู้จักเห็น
ท่านอาจารย์ ทุกคำ
ผู้ฟัง หลายคำมาก แม้แต่คำว่า ศรัทธา เคยพูด แล้วได้ยินใครๆ ก็พูดว่า ศรัทธาบุคคลนั้น บุคคลนี้ กลายเป็นว่าสิ่งที่ถูกศรัทธานั่นเป็นบุคคล ทั้งๆ ที่ความจริงก็ไม่รู้จักว่า ศรัทธาคืออะไร
ท่านอาจารย์ แม้แต่คำว่าชอบ แม้แต่คำว่าอร่อย ทุกคำหมดเลย แม้แต่เกิด ก็ไม่รู้ว่าอะไรเกิด เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดพูดคำที่ไม่รู้จัก เช่น คำว่า ตั้งแต่ รู้จักไหม ไม่รู้จัก ตั้งแต่ ใช่ไหม
ผู้ฟัง ไม่รู้จัก ตั้งแต่ แล้วสภาพธรรมของ ตั้งแต่ คืออะไร
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเสียง ตั้งแต่ เป็นเสียงใช่ไหม เสียงที่กระทบหู เสียงมีจริงๆ เป็นภาษาอะไร เฉพาะเสียง เป็นภาษาอะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140
