ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100


    ตอนที่ ๑๑๐๐

    สนทนาธรรม ที่ สโมสรทหารบก

    วันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็คือตอนที่รู้ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ก็ฟังต่อไปจนกว่าความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกจะค่อยๆ ทำหน้าที่เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง เมื่อเช้าก็รู้สึกว่าเราต้องทำอย่างนี้มาแน่ๆ ถึงต้องได้ฟังเสียงที่ไม่ถูกใจ เเต่ไม่ตอบโต้อะไร เงียบ

    ท่านอาจารย์ เริ่มเปลี่ยน เริ่มเห็น แต่ยังเป็นเรา ที่ยากที่สุดคือการเห็นถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เมื่อไหร่เห็นจริงอย่างนั้น รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน ดับการไม่รู้การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ ดับการที่เคยไม่เห็นโทษภัยของสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเพียงขั้นฟังก็ได้ยิน แต่ยังไม่ละเอียดพอ ถ้าได้ยินละเอียดมากขึ้นๆ จะค่อยๆ เป็นไปทีละเล็ก ทีละน้อย จึงต้องอาศัยบารมี คือคุณความดีทั้ง ๑๐

    ผู้ฟัง บางครั้งคิดว่า เราฟังพระธรรมบ่อยๆ อกุศลจะลดลง แต่ตอนขับรถก็เห็นชัดมากเลยว่าอกุศลเยอะมาก แล้วเห็นคนที่ขับแซงซ้าย แซงขวา รู้สึกว่าทำไมเจอคนที่แย่จัง อย่างนี้จะพิจารณาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ด้วยความเป็นเรา แต่ไม่ใช่ด้วยปัญญาที่รู้ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ต่างกันใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ โกรธมากๆ แต่รู้ว่าไม่ใช่เรา ดีกว่าโกรธมากๆ แล้วก็พยายามไม่โกรธ

    ผู้ฟัง เรียนถามเรื่องการอ่านหนังสือธรรม กับการฟังธรรม เเละสนทนาธรรม คือบางคนบอกว่าไม่อยากมาฟัง อ่านหนังสือก็พอ บางคนฟังธรรมเเละก็มาสนทนาธรรม คือต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จะอยู่บ้านไม่มาร่วมสนทนาธรรม หรือว่าจะอ่านหนังสือ จะทำอะไรก็แล้วแต่ทั้งหมดเพื่ออะไร ต้องมีจุดประสงค์เพื่อเข้าใจธรรม แม้จุดประสงค์ต้องตรงไม่ใช่ว่าเพื่อเราจะได้เป็นคนดี หรือ เพื่ออย่างนั้น เพื่ออย่างนี้ แต่ที่ถูกก็คือว่า แต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง หรือแม้แต่อ่าน เข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ อ่านธรรมก็เพื่อเข้าใจ ทั้งหมดอยู่ที่ไหนก็ได้เพื่อประโยชน์ คือได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จไปที่ใด พระองค์ตรัสเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือเปล่า ซ้ำไหม ถ้าไม่ให้พูดเรื่องนี้จะให้พูดเรื่องอะไร กำลังเห็นแท้ๆ อย่างนี้ แล้วก็รู้ว่ายากแสนยากกว่าที่จะรู้ตรงเห็น และเข้าใจเห็นจริงๆ ว่าเป็นธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย สักนิดเดียวก็ไม่มีที่จะเป็นแข็ง หรือเป็นเสียง หรือจะเป็นกลิ่นอะไร ลองคิดถึงธาตุนั้น เหมือนโลกนี้ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ขณะนั้นจึงจะสามารถรู้ว่านี่คือความหมายของธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น แต่เป็นธาตุรู้ ที่กำลังรู้สิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นยังคงมีความสงสัยแน่นอน วิจิกิจฉาในภาษาบาลี หมายความว่า ไม่แน่ใจว่าขณะนี้ เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแค่ไหน เช่น เห็นกำลังมีแท้ๆ แล้วก็บอกว่าเห็นเป็นธาตุรู้ ฟังภาษาไทยเข้าใจได้ แต่ความเป็นธาตุรู้ไม่ปรากฏ ซึ่งขณะนั้นต้องไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้นนอกจากธาตุรู้ แต่ละคำลึกซึ้งก็ต้องค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เมื่อเราฟังแล้วก็ลืมแน่นอน ฟังเช้า สายก็ลืม ไปเป็นเรื่องอื่นทันที ไม่ว่าจะฟังตอนเช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึก ลืมทั้งนั้น จึงต้องฟังอีกๆ ๆ เพื่อที่จะได้เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เข้าใจมั่นคงขึ้น เพราะว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ซ้ำซาก เข้าใจแค่ไหน ต้องซ้ำจนกระทั่งแม้เดี๋ยวนี้เห็นเป็นธาตุรู้ พูดไปอีกกี่ครั้งๆ ก็เพื่อที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น เพราะขณะนี้ มีเห็น ได้ยินว่า เห็นเป็นธาตุรู้ แต่ยังไม่ได้เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงขั้นนั้นต้องเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นปฏิปัตติ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นไปตามลำดับ ปริยัติ คือฟังพระพุทธพจน์คำของพระองค์ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ เเต่ต้องรอบรู้ในคำนั้นทุกคำ และต้องสอดคล้องกันด้วย เช่น ธรรม รอบรู้ว่าเป็นธรรม ไม่มีเรา ถ้ารอบรู้จริงๆ ไม่มีเรา แล้วเป็นอะไร ก็สามารถที่จะกล่าวถึงได้ แต่ยังไม่ถึงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนี้ได้เพียงแต่เอ่ยชื่อ ถ้ากล่าวถึงจิต พูดได้ว่าจิตมีเท่าไหร่ กี่ประเภท แต่ยังไม่ถึงจิตเดี๋ยวนี้ซึ่งกำลังเกิดดับ ทำกิจเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เพียงแต่ว่ากำลังพูดเรื่องราวของจิต พูดถึงเจตสิก สภาพธรรมที่เกิดกับจิต โลภะก็มี พูดถึงโลภะก็มีตั้งหลายชื่อ เช่น อาสา หมายถึงความหวัง ก็เป็นโลภะ ต่างๆ เหล่านี้ ฟังเพื่อให้เรามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าแม้เพียงหวัง คือโลภะแล้ว แค่หวังนิดเดียวก็โลภะแล้ว การที่เราพูดถึงสิ่งนี้บ่อยๆ เพราะว่ามีสิ่งนี้ทั้งวันตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นธรรมก็ไม่เคยรู้

    ฟังเพื่อให้ถึงสภาพที่กำลังมีขณะนั้น เป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่า นั่นไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม จากปริยัติซึ่งรอบรู้ และสอดคล้องกันทั้งหมด ก็จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นเป็นปฏิปัตติ ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่าไปปฏิบัติธรรม แต่ความจริงต้องเป็นปัญญาซึ่งอาศัยการฟัง แล้วเข้าใจในความเป็นอนัตตา คือไม่ได้หวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เเล้วจะไปไหน ไปทำไม นั่นคือหวังแล้ว แต่ถ้าโดยความเป็นอนัตตา คือมีความเข้าใจที่สามารถจะถึงการรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่เป็น ปฏิปัตติ ต้องโดยความเป็น อนัตตา หนทางนี้เป็นทางไปสู่ความ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราโดยตลอด ฟังธรรมเพื่อละ เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งทำให้เกิดความต้องการ และความยึดมั่นว่าเป็นเรา

    อีกคำหนึ่งของภิกขุ ซึ่งหมายความถึงภิกษุ ภิกขุ คือผู้ที่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเพื่อดับกิเลส ถูกต้องไหม มิฉะนั้นจะเป็นภิกขุทำไม

    ผู้ฟัง เรื่องของความมั่นคง ในฐานะที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล ซึ่งถ้าเป็นท่านพระโสดาบันก็จะต้องมีความมั่นคงในธรรมมาก แต่ถ้าเป็นปุถุชน นอกเหนือจากการฟังธรรมอย่างต่อเนื่อง จะต้องมีการพิจารณาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คุณหมอเชื่ออะไรบ้าง

    ผู้ฟัง เชื่อในเรื่องของกรรม การกระทำ และผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่า เห็นขณะนี้เป็นผลของกรรม

    ผู้ฟัง จากการศึกษา เข้าใจว่าเป็นผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อย่างอื่นจะมาทำให้เห็นเดี๋ยวนี้ได้ไหม ถ้าไม่ใช่กรรม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น

    ผู้ฟัง ถึงแม้ว่า จะมีปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อธิบายไม่ได้เพราะไม่รู้ ใช่ไหม แต่ถ้ารู้ว่ามีเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับไป ถ้าไม่สนใจก็จะไม่ทำให้คุณหมอต้องลำบากคิดมาก ในเมื่อมีความรู้ว่า ดับแล้ว หมดแล้ว เท่านั้นเอง และก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏสืบต่อซึ่งไม่รู้ ถ้ารู้และเข้าใจสิ่งนั้น ก็ไม่มีสิ่งอื่นที่จะเข้ามาแทรกได้ แต่เพราะเหตุว่าไม่รู้ ก็มีสิ่งอื่นที่มาแทรกทำให้คิดไปต่างๆ นานา แต่ตามความเป็นจริงทั้งหมดก็คือ มีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป แล้วควรจะไปกังวลเรื่องซึ่งหาคำตอบไม่ได้หรือ? แต่คำตอบจริงๆ ก็คือ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เกิดแล้วดับหมดแล้ว ถ้ากังวลถึงก็หมายความว่ายังไม่ละ ยังไม่สละ ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นการที่จะละความเป็นเราจึงยากมาก แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่าขณะนั้นเป็นเรา แต่ว่าถ้ารู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นอะไร ก็เป็นแค่คิด แล้วก็ดับ กลับมาอีกไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ขอเรียนสนทนาว่าเห็น ที่ฟังแล้วเป็น รอบรู้ กับ ฟังแล้วยังเป็น ตัวเราเห็น จะมีความต่างอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่หมดความเป็นเรา แต่รู้ไหม ว่าเห็นต้องเกิด

    ผู้ฟัง เห็นต้องเกิด

    ท่านอาจารย์ เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่าไม่ใช่เราที่จะไปทำให้เห็นเกิด คำสั้นๆ คำเดียว เรื่องเดียว แต่คิดไตร่ตรองจนกว่าสามารถจะเข้าถึงความไม่ใช่เราในสิ่งที่กำลังมี ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมาก เพราะเหตุว่าเรายึดถือว่าเป็นเราเพราะไม่รู้มานานมาก เพียงแค่ฟังอย่างนี้แล้วจะให้รู้ว่า ไม่ใช่เราที่เห็น ก็เป็นไปไม่ได้ สัจจะคือความตรง เพียงแค่ฟัง แต่เริ่มเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สามารถที่จะประจักษ์แจ้งเห็นที่เกิด และดับ เพราะเห็นเกิดจริงๆ ดับจริงๆ นี่คือมั่นคง ไม่ใช่พยายามไปหาทางให้มั่นคง แต่มั่นคงในความเป็นอนัตตา สะสมอกุศลตั้งมากมายมากี่กัปป์ แล้วก็จะให้ฟังครึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงหนึ่งแล้วจะให้เข้าใจขึ้นมากๆ ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ฟังไว้ ฟังไว้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา สภาพจำก็จำไว้ แล้วก็มีสภาพธรรมอื่นปรากฏ ก็จำอย่างอื่นไป

    วันหนึ่งๆ จำธรรมมากหรือว่าจำน้อย แต่จำอย่างอื่นไว้มาก แค่คนนั้นเป็นใครจำได้เเล้ว จำทุกคนในห้องนี้ มากไหม แล้วยังจำสิ่งต่างๆ ในห้องนี้ได้อีกด้วย แต่จำว่าไม่ใช่เราน้อยมากใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังจนกว่ามีปัจจัยพอที่จะระลึกได้ ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังทำหน้าที่เห็น ทำหน้าที่ได้ยิน ทำหน้าที่คิดนึก เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องที่จริง แต่ลึกซึ้งที่ต้องอาศัยกาลเวลา ซึ่งเป็นบารมี

    ผู้ฟัง ฟังแบบรอบรู้ ก็คือเข้าใจจริงๆ ในคำนั้น ไม่ใช่เพียงแต่พูดตาม หรือจำได้ แต่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ จึงเป็นการรอบรู้เมื่อเข้าใจจริงๆ ได้ยินคำว่าธรรมที่ไหน เข้าใจจริงๆ รอบรู้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าเข้าใจจริงๆ คือ รอบรู้

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า เห็น ได้ยินคำว่า ธาตุ ได้ยินคำว่า อายตนะ มั่นคงหรือยังว่าเป็นธรรม กี่คำๆ ก็มั่นคงหรือยังว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นคำแรก คำเดียวเป็นธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ

    ผู้ฟัง ในการเริ่มต้นฟังก็จำเป็นมากว่าฟังเพื่อเข้าใจอย่างที่ท่านอาจารย์ย้ำ ไม่ใช่เพื่อจำคำ ไม่ใช่เพื่อคิดว่าอยู่ในตำรา แต่ธรรมก็คือต้องเป็นขณะนี้ เดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพื่อให้สติสัมปชัญญะเกิด ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย แต่ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นธรรมว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ซึ่งเมื่อเริ่มต้นถูกเช่นนี้ ก็จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปได้เรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องละตั้งแต่ต้นเลย ไม่ได้ไปติดข้องที่คำไหน ไม่ได้ไปอยากรู้นั่น อยากรู้นี่ แต่ว่าแม้แต่สิ่งที่ได้ฟังคือความมั่นคงในความเป็นธรรม ก็จะทำให้รู้ความเป็นธรรมของสิ่งที่มีโดยความเป็นอนัตตา ทั้งหมดต้องเป็นเรื่องละ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เพื่อละความไม่รู้ เพื่อละกิเลส

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงรูปที่แยกย่อยไม่ได้แล้วว่ามี ๘ รูป แล้วสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งจะมีส่วนประกอบพร้อมกันมากน้อยแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ จิตหนึ่ง เป็นธาตุรู้ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ คือจิตที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ทางตาเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ทางหูจิตได้ยินเสียงอย่างนี้ เฉพาะเสียงที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ จิตเป็นจิตซึ่งหลากหลายมาก เพราะว่าอาศัยตาเกิดขึ้นเห็น อาศัยหูเกิดขึ้นได้ยิน จะให้เป็นจิตเดียวกันได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ และจิตจะเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้ ต้องมีปัจจัยคือเจตสิก ซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเจตสิกแต่ละหนึ่ง ต้องเป็นหนึ่งจริงๆ แม้ว่าบางอย่างจะคล้ายคลึงกันมาก แต่ก็ไม่ใช่อย่างเดียวกัน จึงต้องศึกษาในความละเอียดของเจตสิกแต่ละหนึ่ง ให้รู้ว่าเป็นหนึ่ง ซึ่งไม่ปะปนกัน อย่างความรู้สึกที่ทุกคนมี ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ใช่จำ แต่จำไม่รู้สึกอะไรเลย จำเกิดขึ้นจำ เดี๋ยวนี้ก็กำลังจำ เห็นอะไรก็จำ เพราะฉะนั้นก็เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่ง ทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท เกิดพร้อมกันได้ แต่แยกเป็น แต่ละหนึ่งๆ ๆ ๆ จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก ไม่รู้จักกันด้วย อาศัยกันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

    จิตแต่ละประเภทก็ต่างกันตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย คุณเบญจมาศต้องทราบก่อนว่า ทรงจำแนกเจตสิกตามประเภทของเจตสิก เจตสิกบางอย่าง ได้แก่ เจตสิก ๗ ประเภทต้องเกิดกับจิตทุกประเภท แปลว่าจิตจะขาดเจตสิก ๗ ดวงนี้ไม่ได้เลย แต่ว่าเจตสิกอื่นที่จะเกิด หรือไม่เกิด ก็ทำให้จิตนั้นหลากหลาย เช่น โลภะเกิดกับจิต ก็ทำให้จิตนั้นเป็นจิตที่มีโลภะเกิดร่วมด้วย ถ้าโทสะเกิดร่วมด้วย ก็ทำให้เป็นจิตอีกประเภทหนึ่งซึ่งต่างกับโลภมูลจิต เพราะเหตุว่ามีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็จำแนกจิตออกไป ถ้าเป็นทางฝ่ายกุศลก็ต้องมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง ผลของกรรม คือ

    ท่านอาจารย์ กรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง กรรมคือเจตนาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เจตนาคืออะไร

    ผู้ฟัง เจตนาคือการจงใจ ตั้งใจที่จะกระทำ

    ท่านอาจารย์ เจตสิกแต่ละหนึ่งต่างกันไปโดยลักษณะ โดยกิจหน้าที่ โดยอาการปรากฏ โดยเหตุใกล้ที่ให้เกิดเจตสิกนั้นๆ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ถ้ากล่าวถึงเจตสิก ก็เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่งๆ ไม่ซ้ำกัน ต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท อย่างตั้งใจหรือเจตนาเจตสิก เกิดกับจิตทุกประเภท เกิดกับจิตที่เป็นเหตุ ต้องต่างกับเจตนาที่เกิดกับจิตที่เป็นผล เพราะฉะนั้น ขณะนี้เจตนาที่จะช่วยคนอื่นดับแล้ว ขณะนี้เห็นเกิดขึ้น มีเจตนาเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่เจตนาช่วยคนอื่น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่ขวนขวายกระทำกิจให้สำเร็จ กระตุ้นเตือนสหชาตธรรม คือเจตสิก และจิตที่เกิดร่วมกันให้ทำกิจหน้าที่ ซึ่งต้องรู้ลักษณะของเจตสิกด้วย ต้องรู้กิจของเขาด้วย แต่ละหนึ่ง

    ผู้ฟัง ผลของกรรมที่ได้กระทำ

    ท่านอาจารย์ ผลของกรรมที่ได้ทำแล้วในชาตินี้ มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ จากโลกนี้ไปแล้ว ยังมีกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผล ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ หลังจากที่ตาย คือจุติ จิตขณะสุดท้าย ใช้คำว่าจุติ เพราะว่าทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ทันทีที่จิตนี้ดับ กระทำกิจเคลื่อนพ้นความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลยสักขณะเดียว ที่เราใช้คำว่าตาย ต้องเข้าใจแต่ละคำด้วย เพราะฉะนั้นจิตขณะสุดท้าย คือจุติจิต ทำกิจจุติ เคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ แต่กรรมที่ยังไม่ได้ให้ผลมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เรากำลังพูดถึงเรื่องกรรม และผลของกรรม เพราะฉะนั้นกรรมหนึ่งจะเป็นปัจจัยทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้น แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกรรมใด ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมที่ไม่ดีก็ทำให้เกิดในนรก เป็นเปรต หรือว่าเป็นอสูรกาย ที่เรามองเห็นในชาตินี้คือเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในโลกนี้ก็มีการเกิดซึ่งไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์บนบกบ้าง ในน้ำบ้าง เป็นปลา เป็นนก มีขาบ้าง ไม่มีขาบ้าง มีขามากบ้าง ก็แล้วแต่กรรมทั้งสิ้น พอจะเห็นกรรมไหมว่า ทำให้มีการเกิดหลากหลายตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว แม้แต่เกิดเป็นสุนัขยังไม่เหมือนกันเลย มีตั้งหลายพันธุ์ พันธุ์เดียวกันก็ยังไม่เหมือนกันอีก เหมือนเราแต่ละคนก็เกิดเพราะกรรมหนึ่งที่ทำให้เป็นคนนี้ ยังไม่จากความเป็นบุคคลนี้ เพราะว่าจุติจิตยังไม่ได้เกิดขึ้น จะให้เกิดก็ไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่จะสิ้นสุดกรรมที่ทำให้เป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ ที่เราใช้คำว่าถึงแก่กรรม คือถึงแก่กรรมที่จะทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ถ้ายังไม่เกิดขึ้นก็ต้องเห็นต่อไป ได้ยินต่อไป

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า กรรมที่ยังไม่ได้ให้ผล กรรมนั้นมีโอกาสจะให้ผลหลังจากที่ตายแล้ว ก็ทำให้เกิดขึ้น หนึ่ง เช่นเกิดเป็นคนนี้ แล้วกรรมอื่นๆ รวมทั้งกรรมที่ทำให้เกิดก็ยังสามารถที่จะให้ผล ทำให้มีจิตเห็นสิ่งที่น่าพอใจเป็นผลของกุศล เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศล ได้ยินเสียงที่น่าพอใจเป็นผลของกุศล ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศล กล่าวถึงชีวิตประจำวันโดยละเอียดให้รู้ว่าขณะใดเป็นผลของกรรม และขณะใดไม่ใช่ผลของกรรม

    ผลของกรรมหลังจากที่เกิดแล้วก็จะต้องเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้างโดยเลือกไม่ได้ และถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก กรรมก็ยังทำให้หลับสนิท ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นไว้จนกว่าจะตื่นขึ้น เห็นอีก ได้ยินอีก เป็นต้น นี่คือกรรม และผลของกรรม

    ผู้ฟัง ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่เมื่อ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส หรือว่ากระทบสัมผัส

    ท่านอาจารย์ ในวันหนึ่งๆ เท่าที่จะรู้ได้ก็คือว่า ขณะใดที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายสุขบ้างทุกข์บ้าง เป็นผลของกรรม นอกจากนั้นแล้วไม่ใช่ผลของกรรม คิดนึกต่างๆ ไม่ใช่ผลของกรรม คิดชั่วก็มี คิดดีก็มี ไม่ใช่ผลของกรรม

    ผู้ฟัง แล้ว ลาภยศ สรรเสริญ เงินทอง

    ท่านอาจารย์ ลาภคืออะไร

    ผู้ฟัง ลาภก็คือสิ่งที่ได้มาแล้วรู้สึกเป็นสุข

    ท่านอาจารย์ ได้อะไรมาทางไหน

    ผู้ฟัง อย่างได้เงินมา

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็นหรือเห็น

    ผู้ฟัง ก็เห็นด้วย สัมผัสด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นนำมาซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่น่าพอใจ ซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้รับสิ่งที่น่าพอใจเมื่อไหร่ ก็เป็นผลของกุศลกรรมเมื่อนั้น

    ผู้ฟัง แต่ว่ามันไม่ใช่วัตถุสิ่งของ ถ้าจะพูดถึง รูป รส กลิ่น เสียง

    ท่านอาจารย์ ถ้าได้มาแล้วไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่เป็นกลิ่น ไม่เป็นรส ไม่เป็นสิ่งที่กระทบสัมผัสที่น่าพอใจ จะเป็นผลของกรรมไหม ถ้าไม่มีอะไรจะต้องการไหม แต่ที่ทั้งวันแสวงหา ก็คือรูปทางตา ต้องการเห็น เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก รสต่างๆ ทางลิ้น และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย

    ผู้ฟัง อย่างแค่เห็นเงิน แต่ว่าไม่ใช่เงินของเรา ก็แค่เห็น ก็ไม่ใช่ลาภ

    ท่านอาจารย์ เงินไม่ใช่เศษกระดาษใช่ไหม เงินนำมาซึ่งสิ่งที่ต้องการ นำมาซึ่งสิ่งที่เราเรียกว่าลาภ จะเป็นเสื้อสวยๆ กระเป๋า รองเท้า วิทยุ จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดนำมาซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ภาษาบาลีใช้คำว่า โผฏฐัพพะ เพราะทางกายกระทบเย็นร้อน ธาตุไฟหนึ่งรูป อ่อนแข็ง ธาตุดินหนึ่งรูป ตึงไหว ธาตุลมหนึ่งรูป รวมเรียก ๓ รูปนี้ว่าโผฏฐัพพะ เพราะว่าเดี๋ยวเย็น เดี๋ยวร้อน แต่ละหนึ่งรูป เพราะฉะนั้นเงินนำมาซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ได้ลาภ คือได้สิ่งที่เงินนำมา ถ้าเงินเป็นเศษกระดาษ ก็ไม่อยากได้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง แต่ความต้องการนั้น ก็ทราบว่า เป็นกิเลส ก็แสวงหาในสิ่งที่ชอบ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้แล้วเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่ได้ในสิ่งที่พอใจก็เป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกข์มาจากไหน

    ผู้ฟัง ก็มาจากการที่ไม่ได้สิ่งที่พอใจ

    ท่านอาจารย์ มาจากความติดข้อง ต้องการ เพราะฉะนั้นผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ถึงความเป็นพระอรหันต์ไม่เดือดร้อน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    14 พ.ค. 2568