ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908


    ตอนที่ ๙๐๘

    สนทนาธรรม ที่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ จ.นนทบุรี

    วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วละเอียดกว่านั้นมากละเอียดทุกอย่าง ละเอียดทุกคำ แม้แต่ที่กายยังละเอียดยิบใช่ไหม เพราะมีอากาศแทรกคั่นอยู่จนสามารถที่จะแตกย่อยทำลายได้ ที่ว่าแข็งเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอากาศช่องว่างคั่นอยู่อย่างละเอียดมากพร้อมที่จะแตกย่อย แขนขาดเมื่อใด ตัดผมเมื่อใด หรือว่าตัดเล็บ หรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกสิ่งทุกอย่างแตกสลายย่อยยับได้เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แล้วนั่นหรือคือเรา แล้วนั่นหรือคือของเรา สิ่งที่มีเพียงอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน แล้วมีอากาศแทรกคั่นเหมือนกองฝุ่นซึ่งมีสีต่างๆ กองฝุ่นนี้มั่นคงมากไม่แตกให้เราเห็นปลิวไป แต่รวมกันจนกระทั่งมีสีต่างๆ เป็นคิ้วบ้าง เป็นตาบ้าง เป็นหูบ้าง เป็นเท้าบ้าง เป็นเล็บบ้าง ทั้งหมดก็คือสภาพลักษณะที่แข็งหรืออ่อนก็แล้วแต่ ซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตาไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วไม่ใช่ใครด้วย นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทำให้เราค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ไม่เดือดร้อนเพราะเหตุว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ธรรมก็ต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยบังคับบัญชาไม่ได้

    เพราะฉะนั้นอีกความหมายหนึ่งของอนัตตา นอกจากว่าไม่ใช่อัตตา ก็คือว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้เลย ธรรมอยู่ที่ไหนตอนนี้ เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม มีแน่ๆ แล้วก็ที่ตัวก็มี นอกตัวก็มี ทุกหนทุกแห่งที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นจึงปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งใดไม่เกิดก็จะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งที่เรากล่าว เกิดทั้งนั้นเลย เห็นเมื่อใด เห็นเกิดเมื่อนั้น ได้ยินเมื่อใดได้ยินเกิดเมื่อนั้น คิดเมื่อใด คิดเกิดเมื่อนั้น เจ็บเกิดเมื่อใด เจ็บเกิดเมื่อนั้น ถ้าเจ็บไม่เกิดก็ไม่มีเจ็บ เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมทั้งหมด เข้าใจถูกต้องไหม จริงหรือเปล่า ไม่ใช่บังคับเลยให้เชื่อ แต่คิดไตร่ตรองเป็นจริงอย่างนั้นไหม ถ้าจริงใครสอน เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นแล้วจะไม่รู้เลย พระองค์สอนให้เข้าใจความจริงว่าเกิดแล้วตาย ใครก็หนีความตายไม่พ้น แล้วก่อนตายทำอะไรบ้าง ดีหรือชั่ว ซึ่งเป็นเหตุ ผลต้องมีแน่นอน เมื่อเหตุมีผลต้องมี แล้วเกิดมาแล้วก่อนตายทำกรรมไว้มากไหม กรรมดีกรรมชั่วทั้งหลายรู้ได้ด้วยตนเอง แล้วกรรมดีและกรรมชั่วก็ให้ผล ให้ผลอย่างไร ตายแล้วเกิดอีกแน่ เพราะผลของกรรมที่ได้ทำไว้ ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็เกิดเป็นมนุษย์ ความดีก็มีหลายระดับตั้งแต่เป็นมนุษย์ยากไร้จนกระทั่งเป็นเศรษฐีมั่งมี มีรูปสวยมีสมบัติมากต่างๆ เหล่านี้ เป็นผลของความดีทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นเหตุต้องมีผลจะช้าหรือจะเร็วก็ตามแต่ และผลก็คือ ขณะแรกที่เกิด เกิดต่างกันแล้วใช่ไหม เลือกพ่อแม่ที่จะเกิดหรือเปล่า เลือกพี่น้องหรือเปล่า เลือกวงศาคณาญาติหรือเปล่า เลือกบ้านช่องตระกูลสมบัติหรือเปล่า เลือกไม่ได้เลย เกิดแล้วตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นคนไทยเราก็ใช้คำที่ติดปาก แต่อาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งว่าตามบุญตามกรรม ฝืนไม่ได้ บุญทำมาอย่างไร ผลของบุญก็เป็นอย่างนั้น อกุศลกรรมทำมาอย่างไร ผลของอกุศลกรรมก็เป็นอย่างนั้น มีใครบ้างที่อยากเจ็บไข้ ไม่มีเลย มีใครบ้างที่อยากเป็นทุกข์ก็ไม่มี แต่ทำไมมี ทั้งๆ ที่ไม่อยากมี เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่มีเหตุที่ได้กระทำไว้ ผลนั้นๆ ก็เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่ามีอีกมากที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่เราไม่รู้ แต่จะค่อยๆ รู้ขึ้นเพราะว่าอย่างไรก็ต้องตาย อยากตายไหม เสียดายไหม ยังไม่อยากตายใช่ไหม แล้วจะไม่ตายได้ไหม ถ้าไม่ได้อย่างไรก็ต้องตาย แล้วจะทำอะไรดีก่อนตาย ทำชั่วหรือทำดี นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ เเต่ต้องเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นธรรมก่อน อย่างไรอย่างไรวันนี้ฟังมาแล้วอาจจะมากหลายเรื่อง ลืมไปก็อาจมี แต่ขอให้รู้ว่าธรรมคืออะไร สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง คำว่าธรรมเป็นภาษามคธีภาษาบาลี ภาษาไทยคือสิ่งที่มีจริง ถ้าเราบอกคนอื่นว่าเห็นนี่แหละเป็นธรรม แล้วเขาไม่ได้ฟังเลยเขาเชื่อไหม เขาต้องคิดว่าธรรมต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องใหญ่โต เรื่องอริยสัจจะ เรื่องอะไรต่างๆ แต่รู้ไหมว่าถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน แล้วจะมีอริยสัจจะ จะมีธรรมอื่นๆ หรือมีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นไปตั้งแต่เกิดจนตายได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่หวังว่าทุกท่านจะไม่ลืม ก็คือเริ่มเข้าใจว่าธรรมเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ของสิ่งที่มีจริงไม่ปะปนกันเลย แล้วก็อย่างละเอียดด้วย จนกระทั่งทำให้ผู้ที่ได้เข้าใจ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเป็นขั้นต้น ซึ่งจะทำให้ละกิเลสได้ต่อไปจนถึงความเป็นพระอรหันต์ ผู้หมดจดไม่มีกิเลสใดๆ เหลืออีกเลย กิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ดีคนก็รู้ แต่ไม่มีวิธีที่จะให้หมดกิเลส ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นก็ให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง จากเมื่อสักครู่นี้ได้ฟังท่านอาจารย์พูด แล้วก็รู้เรื่องว่าธรรมคือสิ่งที่เราเห็นจริง เกิดขึ้นขณะนี้มีจริง

    ท่านอาจารย์ อีกนิดหนึ่งได้ไหมคือว่าไม่มีเรา แต่มีเห็น มีคิด มีทุกอย่างที่เป็นชีวิตจริงๆ เลย แต่ทั้งหมดไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง แต่ทีนี้ผมก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา วันนี้ก็เกิดพรุ่งนี้ก็เกิดแบบเดียวกัน ยกตัวอย่างที่ว่า เวลาเราชอบใคร หรือเกลียดใคร คนๆ นั้นก็อยู่ในใจเราตลอด แล้วเดี๋ยวเราเจอคนนั้นคนนี้ คนนี้ก็ชอบคนนี้ก็เกลียด ผมอยากจะรู้ว่าเป็นเหตุและปัจจัยหรือเปล่า ที่ทำให้เราชอบเราไม่ชอบ เรามีทุกข์กับสุขกับพวกสิ่งเหล่านี้ เกิดจากสิ่งที่เราเคยทำไว้แล้วหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ คำตอบตั้งแต่ขั้นต้นก็มี ขั้นกลางก็มี แต่ขั้นต้นกว่าจะถึงขั้นกลางก็คงยาวต้องตามลำดับด้วย เพราะฉะนั้นขอเชิญคุณธีรพันธ์

    อ. ธีรพันธ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน จริงๆ แล้วก็อย่างที่ได้ทราบแล้วใช่ไหมว่า เป็นธรรม ถ้าเขาไม่เข้าใจความเป็นธรรมเลย ก็จะเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว เป็นผลของกรรม แต่ว่าเมื่อเห็นแล้ว อะไรเกิดต่อ โดยความรวดเร็วของจิต จิตไม่ชอบก็มี ชอบก็มี เป็นกุศลก็มี เป็นบุญก็มี เป็นบาปก็มี เพราะฉะนั้นเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัย ที่เป็นบุญเป็นบาปเพราะอะไร สะสมมาที่จะคิดอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็ขอย่อยคำตอบ เพราะว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าเราไม่ย่อยคำตอบเราจะไม่เข้าใจเลย อย่างที่ถามว่าทำไมผลของกรรมทำให้เราเห็นสิ่งนั้นนาน บ่อย ใช่ไหม นี่เป็นคำถามตอนแรก เพราะเหตุว่ากรรมๆ หนึ่งกว่าจะสำเร็จไปได้บางกรรมคิดอยู่หลายวันใช่ไหมก่อนที่จะกระทำ บางครั้งก็คิดเป็นเดือนเป็นปีกว่ากรรมนั้นจะสำเร็จไปได้ แสดงว่ากรรมไม่ใช่เพียงหนึ่งขณะของจิตซึ่งสั้นมาก แต่หลายๆ ขณะกว่ากรรมนั้นจะสำเร็จ เช่น จะทำบุญ อาจจะทำอะไรก็ได้กว่าสิ่งนั้นจะเสร็จก็ต้องมีการซื้อการหา การกระทำต่างๆ กว่าจะสำเร็จเป็นบุญที่ได้กระทำแล้ว แต่ขณะจิตนั้นทราบไหมว่า ไม่ได้เป็นบุญตลอด สลับกับอกุศลบ้าง อย่างเวลาที่ไปตลาดตั้งใจจะซื้อของ เห็นสิ่งที่ไม่ดีนี่ไม่ดี ไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบก็ต้องเป็นอกุศล ถูกไหม แต่นี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราจะต้องค่อยๆ ขยายให้เข้าใจขึ้น แต่ให้ทราบว่ากรรมหนึ่งกว่าจะสำเร็จลงไปได้ ก็ต้องมีเจตนาที่เป็นกุศลและอกุศลมากไม่ใช่เพียงหนึ่งขณะเดียว เพราะฉะนั้นผลของกรรม เช่น เม็ดมะม่วงเม็ดหนึ่งทำให้เกิดผลมะม่วงเท่าไหร่ คือพอเป็นต้นแล้วใช่ไหม แล้วก็ทุกปีที่ออกผล คิดดูมาจากเม็ดมะม่วงเม็ดเดียวที่ฝังลงไปในดิน

    เพราะฉะนั้นการกระทำของเราที่ทำไปแล้ว จะให้ผลซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าให้ผลหมดสิ้นหรือยัง หรือว่ามีกรรมอื่นมาแทรก เช่น เราเกิดมาเป็นผลของกุศลกรรมแน่นอนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ก็จำแนกตามกำลังของกุศล ทำให้เราต่างกันไป แต่เราก็เกิดในบ้านนี้ แล้วก็เห็นห้องนอนนี้ เห็นสนามหญ้านี้ที่ตรงนี้ ตั้งแต่เด็กมาเลย ยังไม่ย้ายบ้าน กรรมก็ทำให้ที่ทำแล้วให้ผลให้จิตเห็น เห็น เห็น เห็น สิ่งที่เป็นผลของกรรมนั้นจนกว่าจะมีกรรมอื่นที่เปลี่ยน เช่น ออกจากบ้านไปเห็นอย่างอื่นแล้ว เห็นคนถูกรถทับตายบ้าง เห็นอะไรบ้างพวกนี้ ก็ไม่ใช่ผลของกรรมที่ทำให้เราเกิดมาแล้วอยู่ในสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งที่เป็นผลของกรรมนั้นนาน

    เพราะฉะนั้นแต่ละวันก็แสดงให้เห็นว่ากรรมให้ผลเมื่อใด เราต้องเข้าใจ มิฉะนั้นเราก็พูดแคบๆ สั้นๆ ผ่านๆ ว่ากรรมมี ผลของกรรมมี แต่มีเมื่อใดต้องบอกด้วยตั้งแต่เกิดเลย ขณะแรกจิตแรกขณะแรกที่เกิด คือจิตเกิดเป็นผลของกรรม ถ้าช้างเกิด ช้างก็เกิดเหมือนกัน จิตขณะแรกของช้างเป็นผลของกรรมแน่ๆ แต่เป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดเป็นช้าง อกุศลกรรมไม่สามารถที่จะได้ยินได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรม ได้ศึกษา ได้อะไรเลย ก็แค่กินแค่อยู่จนกว่าจะตาย แล้วกรรมที่ทำให้เกิดเป็นมดมีไหม ก็ต้องมี นี่คือความหลากหลายของกรรม เริ่มเห็นความเป็นอนัตตาว่าไม่มีใครทำอะไรให้ใครได้เลย นอกจากจิตแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง เวลาให้ผลขณะแรกคือให้เกิดขึ้นหนึ่งขณะจิต แล้วดับไป แต่ทำไมยังมีเรานั่งอยู่ตรงนี้ หรือว่าพอเกิดมาแล้ว ทำไมยังมีลักษณะที่จะต้องเติบโตจนกระทั่งคลอดออกมาจากครรภ์มารดา แล้วก็มีการเติบโตขึ้น ก็เพราะเหตุว่าใครยับยั้งจิตไม่ได้ ธาตุรู้มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การดับไปของจิตธาตุรู้ก่อนเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะฉะนั้นเกิดเป็นหนึ่งขณะจิต ตายเป็นหนึ่งขณะจิต ต่างกันแล้วใช่ไหม ขณะที่เกิดกับขณะที่ตาย แต่จากเกิดก็ต้องมีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อทีละหนึ่งขณะ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายที่เราใช้คำว่าตาย ภาษาบาลีจะใช้คำว่าจุติ หมายความว่าเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลยสักหนึ่งขณะ จะไปขอร้องอย่างไรก็ไม่ได้ นี่คือกรรมและผลของกรรม

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าความละเอียดว่าเมื่อมีกรรมแล้ว ก็ทำให้ชีวิตเป็นไปตามกรรมที่ทำให้เกิด อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นๆ จนกว่าจะมีกรรมอื่นให้ผลเมื่อใด ป่วยไข้เมื่อใด ไม่ใช่ผลของกรรมที่ทำให้เกิดแล้ว เพราะเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่ต้องมีใครที่จะทำให้เราบาดเจ็บ ตกบันไดเองก็ได้ ตกเขาเองก็ได้ ทำตัวเองก็ได้ มีดบาดก็ได้ ใครทำ เพราะฉะนั้นให้เข้าใจสภาพธรรมซึ่งเป็นธรรมจริงๆ แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ใคร แต่ว่าเป็นจิตเจตสิกเกิดพร้อมกัน เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ และเป็นรูปซึ่งไม่รู้อะไรเลย แต่เกิดพร้อมจิตได้ทุกขณะ นี่แสดงให้เห็นว่าเราต้องศึกษาให้เข้าใจอีกมาก แต่ละคำที่พูด เรายังไม่รู้เลย เพียงแค่ ก ไก่ ยังไม่มีสระอา สระอิ อะไรทั้งสิ้น ตั้งกี่ตัวกว่าจะรวมกันแล้วก็สามารถที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมพอสมควร ที่ยังไม่เคยได้ฟังมาก่อนตามลำดับขั้น ร้านอาหารสังเกตได้เลย อยู่ติดกันสองร้าน ร้านหนึ่งคนเข้าเต็มทุกวัน อีกร้านไม่มีคนเข้าเลย ใครไปทำอะไรให้ เริ่มรู้แล้ว ไม่มีใครทำให้เลย นอกจากกรรมของเราที่ได้ทำแล้ว

    เพราะฉะนั้นผลของกรรมก็แสดงไว้หลายอย่าง แม้แต่การค้าจะได้กำไรหรือขาดทุนเพราะเหตุคืออะไร ถ้าเป็นผลของกุศล ก็นำสิ่งที่ดีมาให้ได้กำไรมากเพราะทำสิ่งที่ดีเกินกว่าที่เขาต้องการ เพราะฉะนั้นผลก็มากกว่าที่คิดไว้ หรือว่าการที่ได้กำไรน้อยก็เพราะเหตุว่าก็ทำพอสมควร ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าศึกษาโดยละเอียด เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎกเป็นสิ่งซึ่งจะทำให้เราได้เข้าใจสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แต่ก่อนที่จะเข้าใจพระไตรปิฎกได้ต้องมีพื้นฐานความเข้าใจธรรม และจิต เจตสิก และรูป จนกระทั่งมีความมั่นคงว่า ข้อความทั้งหมดในพระไตรปิฎกไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา นี่ก็เป็นคำตอบตอนต้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะคิดถึงคำถามทั้งหลาย ก็จะต้องรู้ว่า ถ้าตอนต้นเรายังไม่ได้เข้าใจ ตอนหลังเราจะเข้าใจไม่ได้เลย แต่ถ้าเราเข้าใจตอนต้นแล้ว คำหลังก็สามารถที่จะเข้าใจได้แม้จะโดยไตร่ตรองเองก็ได้

    ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยกล่าวถึงคำว่าการรู้อารมณ์ด้วยความเข้าใจจึงสงบ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ต้องเริ่มตั้งแต่ขณะนี้มีสภาพรู้หรือเปล่า มี เมื่อมีสภาพรู้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จะมีรู้โดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่นี้คุณสุวินัยพูดถึงคำว่าอารมณ์ บางคนอาจจะไม่เข้าใจ เพราะว่าภาษาไทยเราบอกว่าวันนี้อารมณ์ดี แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์จริงๆ คืออะไร เพียงแต่ว่ารู้สึกสบาย แต่ว่าความจริงอารมณ์หมายความถึงสิ่งที่ถูกจิตรู้ จิตกำลังรู้สิ่งใด สิ่งนั้นเฉพาะสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต การศึกษาธรรมต้องละเอียดมาก แม้แต่คำเดียว เช่น คำว่าอารมณ์ ภาษาบาลีจะออกเสียงว่าอารัมมณะ แต่คนไทยก็ตัดเสียงสั้นๆ ว่าอารมณ์ ที่เราเคยพูดในภาษาของเรา ตั้งแต่เกิดก่อนที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เข้าใจคำที่เราพูดเลย กล่าวได้จริงๆ ว่าเราพูดคำที่เราไม่รู้จัก เราพูดคำว่าอารมณ์ เราพูดคำว่านามธรรม เราพูดคำว่ารูปธรรม แต่เราเข้าใจอะไรหรือเปล่า แต่ว่าการศึกษาธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่ง เพราะเหตุว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร อันนี้ลืมไม่ได้เลย ที่จะต้องมีความเคารพสูงสุดคือว่าเมื่อได้ยินได้ฟังแต่ละคำ ขอให้เข้าใจคำนั้นก่อนที่จะผ่านไป คิดเอาเองบ้าง หรือว่าเชื่อคำของคนอื่นบ้าง หนังสือต่างๆ บ้าง แต่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพูดถึงทุกคำชัดเจนถูกต้อง ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ ขณะนี้ที่กำลังได้ยิน อะไรเป็นอารมณ์ กำลังได้ยินอะไรเป็นอารมณ์

    ผู้ฟัง เสียง

    ท่านอาจารย์ เสียง เฉพาะเสียงที่จิตได้ยินเสียงนั้นเท่านั้น เสียงอื่นไม่ใช่ เสียงในป่า เสียงที่ถนนไม่ใช่เป็นอารมณ์ของจิต ต่อเมื่อใดจิตใดเกิดขึ้นรู้สิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต เพราะฉะนั้นคำถามของคุณสุวินัย ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง

    ผู้ฟัง การรู้อารมณ์ด้วยความเข้าใจจึงสงบ

    ท่านอาจารย์ การรู้อารมณ์ด้วยความเข้าใจจึงสงบ สงบที่นี่ไม่ใช่นั่งคนเดียว เงียบๆ ในห้อง ไปป่า หรือว่าในถ้ำ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่สงบที่นี่หมายความว่าสงบจากอกุศลธรรม สงบจากกิเลส สงบจากโลภะ สงบจากโทสะ และสงบจากโมหะความไม่รู้ นี่คือความละเอียดยิ่ง เพราะส่วนใหญ่คนจะต้องการเพียงสงบจากความโลภ หรือว่าสงบจากความโกรธ จริงๆ แล้วสงบจากความโลภรู้สึกจะไม่ค่อยจะอยาก อยากจะโลภมากๆ สนุกมากๆ เพลินมากๆ ทำอย่างไรถึงจะหัวเราะ หรือว่ามีความสุขมากๆ นั่นคือไม่เคยคิดที่จะสงบจากโลภะ เพราะฉะนั้นไม่ได้มีความเข้าใจเลยว่า ธรรมละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าไม่รู้ว่าสงบจากโลภะด้วย สงบจากโทสะด้วย และสงบจากโมหะด้วยจึงจะสงบ ถ้าตราบใดที่มีโมหะความไม่รู้จะสงบได้อย่างไร คิดไปต่างๆ นานา คิดเองทั้งนั้นเลย แล้วก็เป็นเหตุให้เกิดความยินดีติดข้อง ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ มั่นใจยึดถือว่าเป็นของเรา ความจริงแม้ร่างกายที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเราก็ไม่ใช่ของเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่ใช่ของเราเลย จากโลกนี้ไปแล้ว ไหนเป็นของเราหรือ ไม่ใช่ของเราอีกต่อไปเลย

    เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเป็นของเราเลยทั้งหมด เพราะฉะนั้นการฟังคือการรู้ธรรมด้วยความเข้าใจจึงสงบ เพราะว่าขณะนั้นความเข้าใจไม่ใช่ความไม่รู้ และถ้ามีความเข้าใจแล้ว ความติดข้องในสิ่งที่เข้าใจจริงๆ ไม่มี จึงสามารถที่จะละหรือดับโลภะ โทสะ โมหะได้ ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ มิฉะนั้นจะฟังธรรมทำไม ก็ให้มีโลภะมากๆ อย่างเคย ให้ไม่รู้เหมือนเดิม จะเกิดที่ไหนจะตายเมื่อใด จะไปนรก หรือว่าจะเป็นเปรต จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่สนใจ เพราะเหตุว่าไม่อยากจะรู้ หรือว่าคิดว่าไม่รู้ดีกว่าสบายดี ไม่ต้องเดือดร้อนที่จะต้องมานั่งฟังนั่งไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นแต่ละคำเผินไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำว่าสงบ ต้องรู้ทันทีว่าสงบจากโลภะความติดข้อง เคยคิดไหม สงบจากโทสะความขุ่นเคืองใจ แม้เพียงเล็กน้อย แม้วาจาที่จะเป็นโทษให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเสียใจ ขณะนั้นก็เพราะโทสะ เคยคิดไหมที่จะสงบจากอกุศลประเภทนั้น และสงบจากความไม่รู้เพราะรู้ขึ้น ถ้าไม่รู้อยู่ไม่มีทางจะสงบจากโลภะ โทสะ โมหะ แต่ขณะใดที่รู้ รู้คือเข้าใจถูก ละความไม่รู้เมื่อนั้นทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะหมด ก็คือสงบจริงๆ

    ผู้ฟัง แม้คำพูดหรือเสียงในขณะที่กล่าวหรือพูดถึงเรื่องราวของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สภาพธรรม ณ ขณะนั้น ก็เกิดดับไป ณ ขณะนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ใครรู้บ้างว่าจิตเจตสิกเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายเลย เราสนใจแต่สิ่งที่จิตรู้ คนนั้น คนนี้ โต๊ะนั้น ดอกไม้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตกำลังรู้ เราสนใจภายนอกที่จิตรู้สิ่งนั้น แต่ลืมว่าถ้าจิตไม่เกิดไม่มีเห็น คนตายไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิด ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกนี้ด้วยการไม่รู้ว่า แท้ที่จริงสภาพธรรมที่มีจริงคือจิตเจตสิกหลากหลายมาก ซึ่งเกิดดับสืบต่อตั้งแต่เกิดจนตายถึงขณะนี้ และต่อไปอีกจนถึงตาย ก็เกิดอีกต่อไปอีกไม่จบเป็นสังสารวัฏ จนกว่าจะมีการค่อยๆ ดับความไม่รู้จนความไม่รู้หมด เมื่อนั้นจึงจะไม่มีการเกิดดับ ซึ่งไม่ใช่เราเลย แต่เป็นธาตุซึ่งต้องเป็นไปอย่างนั้น ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    21 ก.พ. 2568