ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957


    ตอนที่ ๙๕๗

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ฟังดีดีเข้าใจถูกต้อง ก็คือว่าเป็นอะไรไม่ได้เลยค่ะ นอกจากเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรู้แล้วดับ นี่ค่ะคือความละเอียดที่ฟังธรรม เพื่อละความต้องการนะคะ กว่าจะถึงการที่ขณะเห็นก็มีสติ คิดดู เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่ใครฟังเผินๆ แล้วก็จะกล่าวว่ากำลังเห็นก็มีสติ กำลังได้ยินก็มีสติ กำลังรู้แข็งก็มีสติ กำลังคิดนี้ก็มีสติ นั่นเป็นอีกระดับหนึ่ง เพราะว่าถ้าเป็นสติสัมปชัญญะจริงๆ ต้องมีปัญญาระดับที่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่หลงลืมสติ เพราะฉะนั้นทุกอย่าง นี่ค่ะต้องละเอียดมาก ฟังทีละคำดีกว่า ขอให้เข้าใจคำนั้นจริงๆ แทนที่จะไปคิดถึงมากมายหลายเรื่องนะคะ เพราะฉะนั้นวันนี้จะพูดถึงคำอะไร ก็คือหนึ่งคำ ทีละหนึ่งคำ หนึ่งคำ ด้วยความไม่ประมาท ในความลึกซึ้ง เพราะว่าแต่ละคำนะคะ ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แน่นอนค่ะเราไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และก็ทุกคนฟังแล้วก็จะได้เข้าใจว่า ความเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เนี่ย มากน้อยแค่ไหน เป็นผู้ตรง ผู้ตรงเท่านั้นนะคะ ที่จะได้สาระจากพระธรรม

    เพราะเหตุว่าพระธรรมตรงค่ะ ผิดคือผิด ถูกคือถูก จริงคือจริง ไม่จริงก็คือไม่จริง ไม่มีใครเลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีความมั่นคงอย่างนี้นะคะ ก็จะค่อยๆ เห็นความต่าง ของผู้ที่ไม่ใช่พระอริยะบุคคล เป็นผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ชาติไหนก็ตามแต่นะคะ แต่เริ่มได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังเข้าใจแค่ไหน ก็เป็นเรื่องธรรมดาปกติ เพราะฉะนั้นจะเห็นความต่าง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับ ผู้ที่เคยฟังมั้ย ไม่เคยฟัง เคยฟังบ้างมั่ย เคยฟังแค่ไหน ก็รู้ตามความเป็นจริง ว่าไม่มีใครเปรียบได้ ด้วยพระมหากรุณา แม้เพียงคำเดียวที่เข้าใจ สามารถที่จะนำไปสู่การดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะคำหนึ่งคำหนึ่งคำหนึ่ง ก็เป็นทีละหนึ่งคำที่เข้าใจขึ้น เดี๋ยวนี้ธรรมหมดเลย เห็นไหมคะ โต๊ะต่างหาก เก้าอี้ต่างหาก คุณอรรณพนั่งอยู่ตรงนั้น ยังไม่ได้เป็นธรรม แต่ละหนึ่งประมาทได้ไหมล่ะคะ ทุกอย่างเป็นธรรมทุกอย่าง ไม่ได้บอกว่าเป็นคนโน้น หรือเป็นคนนี้ค่ะ แต่สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งนั้น เกิดขึ้นเป็นสิ่งนั้น แล้วก็ดับไป ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย

    อ.นภัทร กราบท่านอาจารย์ครับ ก็คือจริงๆ เนี่ย อยากจะเกื้อกูลเพื่อนคนนี้ ให้เขามีความเข้าใจที่ถูกต้อง เขาบอกว่าเดินแบบมีสติก็ได้ รู้อาการที่มึนๆ ก็ดับ รู้เซ เซก็ดับคือจริงๆ ผมก็ฟังแล้ว ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เลย ผมก็เลยโอเค ผมก็เลยมาเรียนถามท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ธรรมไม่ใช่ใครจะไปรู้ใจใครได้เลยนะคะ ขณะนี้ใครจะรู้ใจใครได้ ต่างคนต่างรู้ เพื่อประโยชน์ คือเป็นผู้ที่ตรง ฟังธรรม แม้แต่คำว่าทุกอย่างเป็นธรรม จะรู้อย่างนั้นได้อย่างไร แค่ฟังไม่สงสัยนี่คะ สิ่งที่มีจริง มีจริง สิ่งที่มีจริงนั้นแหละภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี มีจริงจริง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะทุกอย่างเป็นธรรม จะเป็นได้ยังไง ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น และธรรมปรากฏให้รู้ลักษณะ ซึ่งไม่ปะปนกัน ทุกอย่างต้องทีละหนึ่ง แล้วเดี๋ยวนี้ปะปนกันมั้ยคะเนี้ย คนนั้นนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้วยแก้วอยู่โน่น ดอกไม้อยู่นี่ ทุกอย่าง หรืออย่างแค่ดอกไม้ก็ไม่ใช่ทุกอย่างละ ต้องทีละหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอื่นไม่ได้ แค่นี้ค่ะ เป็นคนนั้นก็ไม่ได้ เป็นคนนี้ก็ไม่ได้ ความตรงก็คือว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงแค่นี้ แค่มีจริงก็หมดปัญญาใช่ไหมคะ ถ้าไม่ได้ฟังต่อไป ก็มีจริงใครว่าไม่มีจริง แต่มีจริงเป็นอะไรล่ะ

    นี่ต่างหาก ที่ต้องอาศัยพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าผู้นั้นก็เป็นพูดตรงๆ นะคะ ถึงเวลาของปัญญาที่จะรู้หรือยัง ถ้ายังไปขวนขวายด้วยความเป็นเราเนี่ย แล้วจะถึงหรือ นอกจากมีความเข้าใจถูกต้องว่า ปัญญาคืออะไร คือความเข้าใจ เวลาเนี่ยนะคะ เรากำลังสนทนาธรรม มีคำเยอะมาก เพราะฉะนั้นเข้าใจอะไร เข้าใจคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งคำ แต่ละสิ่งที่มีจริงเป็นทุกอย่างหรือยัง แค่ฟังเนี่ยก็หนักหนาแล้วใช่มั้ยคะ ที่เป็นผู้ตรงว่าทุกอย่าง ก็นี่แว่นตา นั่นไมโครโฟน มีดอกไม้ และก็ทุกอย่าง ละเอียดกว่าที่คิดมากค่ะ เพราะเหตุว่าแม้แต่หนึ่งก็กำลังเกิดดับ แล้วไม่เห็นมีอะไรดับสักอย่าง เกิดก็ไม่รู้ดับก็ไม่รู้ นี่เริ่มเห็นความต่างแล้วใช่ไหมคะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มองขึ้นไปบนฟ้าเกินแสนไกล พระปัญญาที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญนะคะ ที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับคนที่คิดเองอ่ะค่ะ ได้ยินคำไหนก็สติเกิด เห็นก็มีสติ ได้ยินก็มีสติ ถูกต้องอะไรก็มีสติ ทุกอย่างเป็นธรรมแค่คำนี้คำเดียว สักอย่างหนึ่งสิคะ บอกมาเลยอะไรเป็นธรรม ทีละหนึ่งจริงๆ

    อ.นภัทร ครับกราบท่านอาจารย์ครับ สภาพธรรมปรากฏทีละหนึ่ง แล้วก็ชีวิตดำรงอยู่

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เป็นหนึ่งด้วย ที่ปรากฏแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกด้วย

    อ.นภัทร งั้นที่เป็นเรื่องราวต่างๆ นานา เพราะว่าปัญญายังไม่ประจักษ์ ความเกิดดับที่เกิดขึ้น และดับไป

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่า ถ้าไม่มีธรรมเกิดเลย อะไรก็ไม่มี สักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นที่มีทั้งหมดเนี่ยเป็นธรรม ซึ่งไม่ประจักษ์การเกิดดับ

    อ.นภัทร งั้นคำว่าที่ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนนี่ ก็คือเป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ที่ปรากฏในแล้วก็ดับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรม มีมั้ยคะ ตัวตน สัตว์ บุคคล อะไรก็ไม่มี แต่ธรรมละเอียดกว่านั้น

    อ.นภัทร แล้วที่เราใช้ชีวิต แล้วรู้เรื่องราวต่างๆ ที่ดำเนินไปนี่ครับท่านอาจารย์ มันเสมือนหนึ่งว่า ถ้าธรรมปรากฏทีละหนึ่งจริงๆ แล้วปัญญารู้อย่างนั้นจริงๆ เนี่ย ในความที่จะรู้เรื่องราวที่จะชีวิตจะต้องดำเนินไป

    ท่านอาจารย์ เราไม่ไปไกลถึงแค่นั้นนะคะ นั่นคือไกลมาก แต่ต้องตั้งต้นจริงๆ ถ้าเราจะใช้ชีวิตนะคะ ก็คือว่าขณะที่กำลังฟังธรรมเดี๋ยวเนี้ย เราคิดถึงความเป็นตัวตน ไม่ใช่ธรรมเห็นไหมคะ แม้แต่การฟังธรรม นี่ก็ต้องรู้ว่าขณะนั้นแหละ เรากำลังคิดถึงตัวตน หรือว่าเราฟังธรรม ถ้าเราคิดถึงตัวตน ก็ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหมคะ เราใช้ชีวิตอย่างนั้นอย่างนี้ กับขณะนี้ไม่มีเรา แต่มีธรรม แต่ละหนึ่ง ที่กำลังปรากฏทางตา อย่างหนึ่ง ที่ปรากฏทางกายอย่างหนึ่ง ที่ปรากฏคิดนึกไปทางใจอีกอย่างหนึ่ง ทั้งวันถ้าเข้าใจอย่างนี้ จึงเป็นธรรม แต่ไม่ใช่ว่าเราใช้ชีวิตใช่ไหมคะ ก็มีความเป็นเราอีก เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังธรรม และความเป็นผู้ตรง ก็คือว่าไม่มีเรา เริ่มต้นที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม แม้แต่คำว่าธรรมเนี่ย ต้องเข้าใจก่อน

    เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังธรรม เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แต่ถ้าเป็นเราเมื่อวานนี้ทำอะไร เรารู้ใช่ไหมคะ ก็เป็นเราไปละทั้งหมด ไม่ใช่เป็นการฟังธรรมเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรมจะไม่มีคำว่า เราใช้ชีวิต แต่กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ เพราะไม่ใช่เรา ทั้งๆ ที่การเข้าใจว่า เรานั่งอยู่ตรงนี้ ยังไม่ได้หมดสิ้นไปเลยนะคะ เพราะการเข้าใจธรรม แต่ละหนึ่งยังไม่พอ เพราะฉะนั้นจะไม่มีความคิดอื่นเลยค่ะ ฟังธรรมคือธรรม คำนี้ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่เคยรู้มาก่อนจึงฟัง เพราะฉะนั้นทำไมล่ะคะที่ฟัง เพื่อเข้าใจถูก เข้าใจถูกต้องแค่ไหน แล้วแต่ ไม่ใช่เราจะไปถึงสติปัฎฐาน หรือว่าจะเปลี่ยนชีวิตของเรา จากการเคยเป็นคนอย่างนี้ ให้กลายเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ นั่นคือเรา เพราะฉะนั้นนั่นเป็นเราที่ฟังธรรมนั้น นั่นเป็นเราที่คิดว่า เราจะเปลี่ยนแปลงชีวิต นั่นเป็นเราที่เราหวังว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรม นี่เป็นสิ่งซึ่งละเอียด และก็ยากมากนะคะ

    เพราะฉะนั้นก็ตั้งต้นจริงๆ ค่ะ ไม่ผิดปกติเลย เพราะอะไรคะ ก็เป็นธรรม ธรรมนี่มีอีกคำหนึ่งที่คนไทยใช้บ่อยนะคะ คือธรรมดา มาจากคำภาษาบาลี ที่คุณคำปั่นได้ให้คำแปลไว้ ก็คือว่าเป็นคำรวมของคำว่า ธรรมกับตา ตาคือธรรมดา ความเป็นไปของธรรม เพราะฉะนั้นความเป็นไปของธรรมก็คือธรรมดา แดดออกหรือยังคะ เป็นธรรมดาของธรรม ใครเปลี่ยนแปลงได้ ทุกอย่างนะคะ เป็นธรรมดา คือเป็นธรรมดา คือความเป็นไปของธรรม เพราะฉะนั้นความเป็นไปขณะนี้นะคะ ของการสะสมของจิตแต่ละหนึ่งขณะ หลากหลายมาก แม้แต่กำลังคิดนั่นคือธรรมดา ความเป็นไปของธรรมที่สะสมมา ฟังธรรมเพื่อแม้แต่คำว่า ทุกอย่างเป็นธรรมเนี่ย จะได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ กระจ่างขึ้น ค่อยๆ รู้ว่ากำลังศึกษาธรรม ซึ่งไม่ใช่เราเลยนะคะ แต่ละเอียดยิ่งกว่านั้น อีกมากมายมหาศาล กว่าจะค่อยๆ ล้างสิ่งที่สกปรกติดแน่น ที่อยู่กับจิตนี่นะคะ ออกไปทีละเล็กทีละน้อยเนี่ย แค่คำพวกเนี่ยยังไม่ได้ล้าง อุปกรณ์ สบู่อะไรอะไรก้อได้ หมายความว่าเป็นปริยัติ

    คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าล้างได้ทันที ก็พอจบคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนก็สะอาด ไม่มีกิเลสเลย แต่นี่คำของพระองค์นะคะ เป็นที่พึ่ง ที่อาศัย ที่ปัญญา จะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงการดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำ แม้แต่พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะนะคะ ไม่ใช่สำหรับพูดโดยไม่รู้เรื่อง หรือไม่จริงใจ แต่เดี๋ยวนี้ค่ะ หลังจากที่ได้เข้าใจแล้วเนี่ย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งไหม ไม่ใช่มีคนอื่นอีกเลย ไม่ใช่ครูคนนั้น อาจารย์คนนี้ คำโน้นคำนี้ของคนอื่นเลย แต่ทุกคำที่เป็นคำจริง พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่าเป็นคำของเราทั้งหมด เพราะใครล่ะคะ จะพูดความจริงได้อย่างนี้ อย่างที่ได้ทรงตรัสรู้ทุกคำเป็นคำจริงตลอด ๔๕ พรรษา มากมายหลายคำ นับไม่ถ้วนเลยนะคะ เพื่อให้เราเป็นผู้ตรง ว่าแม้แต่แต่ละคำที่ได้ฟัง และมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ยังไม่ต้องไปมีสติปัฎฐาน ไปดับกิเลสอะไรเลยค่ะ แค่เข้าใจถูก เพราะว่าปริยัตินี่นะคะ หมายความถึงความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ไม่ฟังคำของคนอื่นจริง แต่คำของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ง่าย ที่คิดว่าจะเข้าใจได้โดยรวดเร็ว แม้แต่คำว่าสิ่งที่มีจริงนะคะ สิ่งที่มีจริงไม่ได้บอกว่าเป็นคน เห็นมีจริง เห็นดับ คนอยู่ที่ไหน ได้ยินมีจริงๆ เดี๋ยวนี้นะคะ ได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน และดับ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่เหลืออีก การฟังพระธรรมก็เพื่อที่จะให้กระจ่าง ในการที่ว่ามีสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ด้วยความไตร่ตรองจริงๆ ว่าแค่ทุกอย่างที่มีจริงเนี่ย ละเอียด จนกระทั่งจริงทุกอย่างที่ได้ฟัง เป็นผู้รอบรู้ในคำนั้นมั้ย รอบรู้ แทงตลอดไม่เปลี่ยนเมื่อไหร่ที่ไหนก็เป็นธรรม ขณะนั้นธรรมก็กำลังปรากฏ ทางตาเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น บอกว่าเป็นคนได้ไหม แล้วก็เห็นคนได้ไหม นี่ก็เริ่มละ ถ้าเป็นความคิดอย่างนี้นะคะ คือความเข้าใจเดิมๆ แต่พอฟังธรรมเมื่อไหร่ แม้แต่เมื่อได้ยินคำนี้ แต่ก็เริ่มคิด เพราะว่าทุกคนห้ามคิดไม่ได้ คิดถึงอะไร คิดถึงสิ่งที่เห็นแล้ว คิดถึงคำหรือเสียงที่ได้ฟังแล้ว คิดถึงทุกอย่างที่ประสบแล้ว จำไว้แล้วก็คิด

    เพราะฉะนั้นความจำทั้งวันเนี่ย จำบ้างมั้ย ในขณะที่กำลังกระทบว่า มีจริงแค่เห็น เห็นไหมคะ นี่คือแต่ละคำ ไม่ต้องไปเรียกชื่อว่าสติปัฏฐาน ไม่ต้องเรียกอะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ที่สำคัญที่สุด คือความเข้าใจคำที่ได้ฟัง ขณะใดก็ตามที่เข้าใจนี่คะ ก็ต้องมีสภาพธรรมที่เกิดกับสภาพที่เข้าใจด้วย เพราะเหตุว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี่ จะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย เห็นเพียงหนึ่ง แต่ว่าในขณะนั้นน่ะ ต้องมีสิ่งอื่นรวมอยู่ แต่ว่าไม่ได้ปรากฏ นี่เป็นคำที่ค่อยๆ ละเอียดขึ้น ค่อยๆ ละเอียดขึ้นนะคะ เพื่อที่จะได้รู้จักเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระปัญญาคุณ ที่ทรงบำเพ็ญมานี่ รู้จริงๆ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นคงไม่ต้องไปคิดถึงว่า คนโน้นคนนี้จะเกื้อกูลเค้า เพราะว่าจริงๆ นะคะ จิตหนึ่งขณะเป็นใครไม่ได้ เกิดคนเดียว เห็นก็คนเดียว คิดก็คนเดียว ได้ยินก็คนเดียว แล้วก็เกิดดับก็ไม่ใช่เราทั้งหมด นี่คือมีพระธรรมเป็นที่พึ่งนะคะ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังปล่อยไปเลย หรือฟังแล้วยากเหลือเกิน เมื่อไหร่จะถึง ฟังละสุดวิสัยคิดอย่างนี้ แล้วจะถึงได้ยังไง แต่ถ้ามีความรู้ความเข้าใจว่ายาก แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กละน้อย ความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีหรือที่ธรรมจะไม่เป็นไปตามธรรม คือว่าเป็นความเข้าใจก็เข้าใจนะคะ แล้วก็สะสมสืบต่อขณะนี้ที่ฟัง ตั้งแต่คำแรกจนถึงเดี๋ยวนี้นี่ค่ะ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่มีใครทำหน้าที่ของปัญญาเลย ในขณะที่เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจขณะนั้น ก็เป็นหน้าที่ของสภาพธรรมอื่นนะคะ ไม่เข้าใจมีจริงไหม มีจริง ภาษาไทยนะคะ ก็คือไม่รู้ใช่ไหม ไม่เข้าใจใช่ไหมก็คืออวิชชา

    เพราะฉะนั้นทุกคำเนี่ย เราไม่ได้ไปจำ เรียนคำ จำเสียง แต่ว่ารู้ว่าลักษณะนั้นสภาพธรรมนั้นมีจริงในขณะไหน ก็แล้วแต่ ขณะที่ไม่เข้าใจก็จริง ขณะที่เข้าใจก็จริงความไม่เข้าใจไหนจะมาทำหน้าที่ ของสภาพธรรมที่เข้าใจได้ไหม ก็ไม่ได้ ต่างมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นแต่ละหนึ่ง และก็ดับไป ฟังอย่างนี้เพื่อไม่ใช่เหรอ แค่นั้นค่ะ ใครจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ความคิดความอ่านแต่ละคน เพราะขณะนั้นก็เป็นเราที่กำลังคิดถึงเพื่อน หรือคิดถึงใครก็ตามแต่ ก็เป็นเรื่องซึ่งไม่อยู่ ในอำนาจบังคับบัญชานะคะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไร เพราะขณะคิดจะทำอะไร เราจะทำ จะช่วยเขา ขณะนั้นก็เป็นจิตซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ช่วยไม่ได้ ก็ไม่ได้จริงๆ นี่ พระธรรมก็มีไว้แล้วใช่ไหมคะ และก็ถ้าไม่อาศัยการเข้าใจพระธรรม และคำไหนจะไปช่วยใครได้ ไม่มีทางที่จะช่วยใครได้เลย แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังตรัสว่า แล้วเราจะว่าอะไรเขาได้ เพราะฉะนั้นก็ฟังธรรมนะคะ วันนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจในสิ่งที่มีซึ่งเป็นธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพค่ะ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ในแต่ละคำเนี่ยนะคะ ในลักษณะที่ไม่ใช่การเรียนวิชาอื่นๆ ยังงี้อ่ะคะ

    ท่านอาจารย์ ธรรมคืออะไรคะ

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงค่ะ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีมั้ย

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ แน่ใจ

    ผู้ฟัง แน่ใจค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    ผู้ฟัง แต่ละหนึ่งค่ะ

    ท่านอาจารย์ อะไรบ้างคะ

    ผู้ฟัง เห็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ รอบรู้หรือยัง

    ผู้ฟัง ยังค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ฟังจนกว่า จะรอบรู้ว่าไม่ใช่เราแน่นอน เห็นเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีตา จุดประสงค์ เพราะไม่ใช่เรา เห็นจะเป็นเราไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่มีตา เห็นก็เกิดไม่ได้แล้ว และเห็นเกิดไม่ได้ เราไปทำเห็นให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะเห็นจะเกิดต่อเมื่อมีปัจจัย นี่คือค่อยๆ รอบรู้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยนะฮะ แต่รอบรู้เพื่อที่จะเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่มีตาก็ไม่เห็น ฟังไปเถอะ ก็ยังไม่รู้ ลักษณะของเห็น แต่เริ่มที่จะรู้ว่าเกิดมาแล้วนี่นะคะ เห็นเกิดแล้วดับ แล้วไม่รู้ความจริงจนตาย จนกว่าบารมีมาแล้วค่ะ ความอดทนคือรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ทรงตรัสรู้เห็นอย่างที่กำลังเป็นเห็น เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นการที่จะรอบรู้ ก็คือว่าไม่รู้เรื่องอื่นแต่รู้ว่า เห็นนี่แหละเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่อย่างอื่น เพราะฉะนั้นฟังอีกแทบไม่มีตาก็ไม่เห็น ก็ยังไม่เห็นไปละความเป็นตัวตน หรือยังไง ฟังอีกจนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นสังขารขันธ์ กำลังทำหน้าที่ของปัญญา โดยไม่มีใครไปทำเลยค่ะ แต่ต้องมีความอดทน

    เพราะฉะนั้นบารมีไม่ใช่หมายความว่า เราไปทำทานใหญ่ เราไปวิรัตทุจริตใหญ่หรืออะไรนะคะ แต่ตามของความเป็นจริงก็คือว่า ชีวิตประจำวันอกุศลมาก แล้วก็เป็นอย่างนี้ โดยไม่รู้ตัวเลย แต่ว่าขณะใดก็ตามที่รู้ว่า ถ้าขณะนั้นไม่เป็นอกุศล กุศลก็เกิด ถ้าไม่เป็นกุศล อกุศลก็เกิด บังคับบัญชาไม่ได้เลยค่ะ ความดี แม้เล็กน้อย ในชีวิตประจำวัน นั่นคือบารมี เห็นของคนอื่นตก ไม่ต้องเก็บให้เค้าหรอก เดี๋ยวเค้ามาเก็บเอง เดี๋ยวก็เสียนิสัย เดี๋ยวเค้าเป็นอย่างงั้น เดี๋ยวเค้าก็เป็นอย่างนี้ กุศลหรืออกุศล เพียงแค่เก็บมานิดนึง เปลี่ยนเดิมแล้วใช่มั้ยคะ เปลี่ยนจากเดิมแล้ว แค่หนึ่งขณะที่เป็นกุศลสะสมไว้สิคะ นั่นคือบารมี มีผู้ที่กล่าวว่าท่านพระราหุลเป็นผู้ที่กวาด แล้วก็ทิ้งไม้กวาดไว้ ท่านไม่พูดสักคำ ไม่มีประโยชน์ก็ไม่พูดใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็จะพูดคำ ที่มีประโยชน์แค่นี้ก็บารมี ไม่ว่าจะกายหรือวาจานะคะ วาจาซึ่งเคยเสียงแข็ง คนอื่นฟังเนี่ย ทำไมถึงต้องให้เค้าไม่สบายใจด้วยล่ะ แค่เสียงของคำที่เขาได้ยิน ที่พูดกับเค้าเนี่ย เปลี่ยนซะนะคะ มีความเมตตา และขณะที่คิด มีความเป็นเพื่อนละ มีการที่จะไม่พูด หรือใช้คำที่คนอื่นจะไม่สบายใจ ขณะนั้นบารมี

    เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันทุกขณะ ที่กำลังขัดเกลา เพราะมีปัญญารู้ว่ากิเลสมากค่ะกายวาจาทั้งวันเนี่ย เป็นไปตามอกุศลทั้งนั้น กุศลด้วยความเป็นเรา หรือว่ากุศลรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นความดี ก็มีตั้งหลายขั้นมากเลยนะคะ กว่าจะค่อยๆ ชำระจิตแล้วอย่างนี้จะไปพูดเรื่องสติปัฎฐานสิ อย่างนั้นอย่างนี้สิ เป็นสิ่งซึ่งไม่ถูกต้องนะคะ อกุศลเกิดมาก แค่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจ นิดเดียว แต่ว่าถ้าบ่อยๆ มากขึ้น เหมือนน้ำทีละหยด เมื่อเทียบกับมหาสมุทร ก็อดทนที่รู้ว่า วันหนึ่งนี่ค่ะ ความดีจะค่อยๆ เกิดมากขึ้นมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะค่อยๆ รู้ธรรมที่ได้ยินได้ฟัง โดยที่ว่าเอ๊ะฟังแล้วก็เป็นเราเห็น ก็แน่นอนล่ะค่ะ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะว่าปัจจัย ที่จะให้เข้าถึงลักษณะของเห็นที่ไม่ใช่เรา ยังไม่ถึงเวลา เพราะเหตุว่า ความเข้าใจไม่พอ ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้ามนะคะ ข้ามชีวิตปกติธรรมดา ข้ามความเข้าใจว่าธรรมเนี่ย ก็คือว่าเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ โดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา สักอย่างเดียว เริ่มเห็นความต่าง ของขณะที่เป็นเรา กับขณะที่ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะแต่ละหนึ่งเนี่ย

    ท่านอาจารย์ เห็นหนึ่งรึเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ดับหรือยัง

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ หนึ่งมั้ย เอากลับมาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ให้เป็นสองได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ แต่ว่าความเข้าใจ ก็หนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ ดับแล้ว เข้าใจเมื่อกี้นี่ ไม่ใช่เข้าใจเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ถ้าจะพูดถึง ไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะพูดถึงว่าไม่มีเรา เข้าใจจริงๆ หรือยัง ว่าไม่มีเรา เห็นไหมคะ

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดถึงไม่มีเรา ก็ต้องไม่มีเราแล้ว เราก็ได้แต่พูดต่อไปค่ะ ถ้ายังไม่มั่นคง พูดถึงว่าไม่มีเรา แล้วก็ยังคงเป็นเราไปเรื่อยๆ เรื่องของเรามาละ แม้แต่คำที่ต้องละเอียด เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ละเอียดนะคะ ไม่มีทางเข้าใจพระธรรมได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567