ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๑๙

    สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ จ.ลำพูน

    วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ลองคิดดูนะคะ ตั้งแต่เกิดมาแล้วเนี่ย ทุกอย่างที่มีเมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือเลย เมื่อกี้นี้ก็ไม่เหลือเลย ทุกขณะก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงขณะสุดท้าย ที่จะต้องจากโลกนี้ไป แต่ก็มีสิ่งที่สะสมแล้วในโลกนี้นะคะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งดี และชั่วอยู่ในจิต แล้วแต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรม ประเภทไหนเกิดขึ้นนะคะ ก็บังคับบัญชาไม่ได้เห็นความเป็นอนัตตา ความตรงต่อความจริงของพระธรรม ตั้งแต่ต้นซึ่งถึงที่สุดเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สิ่งนั้นต้องเกิด แต่ข้อความต่อไปนะคะ สิ่งที่เกิดนั่นแหละ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปรอจนกระทั่งพรุ่งนี้นะคะ แต่ขณะนี้เองสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ค่ะดับแล้ว ถ้าเป็นผู้ที่สะสมปัญญามามาก อย่างท่านพระสารีบุตรนะคะ ฟังแล้วท่านประจักษ์แจ้งความจริง แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น ก็รู้ได้ว่าคำทุกคำที่เคยได้ยิน ที่เคยได้ยินแล้ว คำเก่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ปัญญาของผู้ที่ฟังนี่ค่ะ ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ละเอียดขึ้น

    จนกระทั่งแม้แต่ขณะนี้นะคะ มีใครเห็นโลกว่างเปล่าบ้าง เพราะว่าโลกต้องหมายความถึงสิ่งที่เกิดขึ้นดับ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยโลกก็ไม่มี เพราะฉะนั้นที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ทั้งหมดนะคะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นั่นคือความหมายของโลก ซึ่งคนไทยใช้คำว่าโลก ถ้าเหนือโลกก็โลกุตตระ ซึ่งเราก็เคยได้ยินคำนะคะ แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ค่ะ เป็นเรื่องที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทุกชาติ ซึ่งไม่รู้ว่ามีโอกาสจะได้ฟังอีกมั้ยในชาติต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดในชาตินี้ก็คือว่า มีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้วก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นความเข้าใจนี่ไม่ง่ายนะคะ แล้วก็ละเอียด และก็ลึกซึ้ง สมควรในการที่เราจะได้เข้าใจจริงๆ จากการที่ถ้ามีข้อสงสัย หรือไม่เข้าใจอะไรนะคะ หรืออยากจะเข้าใจคำนั้นเพิ่มขึ้น ก็สนทนากันได้ที่บ้านของเรา คือบ้านธรรมนี่แหละค่ะ

    ผู้ฟัง ผมธนพลครับ อย่างเรื่องทรัพย์สิน เงินทองอะไรต่างๆ แล้วก็ให้เขาได้ แต่ให้มีความเลื่อมใส ในการฟังพระธรรม ให้กันไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตรงกับพระธรรมที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ค่ะ บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ไม่ใช่ของใครด้วย เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัย ที่อาศัยปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เลือกให้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้นะคะ แล้วแต่ปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น พระธรรมทุกคำ คือการให้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้ให้อย่างอื่นเลยนะคะ เพราะเห็นว่าอย่างอื่นให้แล้วก็หมดไป แต่ว่าถ้ามีการให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง สะสมไป ก็จะเป็นผู้ที่ตรงนะคะ มีเหตุผลสามารถที่จะเข้าใจความจริง เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่ละเอียดขึ้น เพราะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ก็ต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญกุศลบารมีมาก เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น คนที่ไม่ได้รับ ไม่ได้ฟังคำสอนเลยนะคะ จะเห็นประโยชน์เห็นคุณของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้ามั้ยคะ ถ้ารู้ว่ากว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ด้วยความยากลำบาก เกินกว่าบุคคลใดที่จะทำได้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้บำเพ็ญมาทั้งหมดนะคะ ก็คือเพื่อให้แต่ละคำ กับคนที่สามารถที่จะรู้ความจริง เข้าใจความจริงได้ เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ได้อะไรมาสิ่งนั้นก็หมดไปแต่ความเข้าใจถูกนี่ค่ะจะมี และก็สะสมแล้วก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่สุดของทุกชาติ ก็คือว่าได้มีโอกาสเข้าใจพระธรรม เราต้องเกิดอีกแน่ๆ เพราะมีปัจจัยที่จะต้องเกิด ชาตินี้เป็นอย่างนี้ ชาติหน้าอีกต่อไปแสนโกฏฏ์กัปป์ เราก็จะเป็นอะไรต่อมิอะไร ซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้เลย ว่าจากโลกนี้ไปแล้วเนี่ย จะเป็นอะไรต่อไป จะเป็นอะไรเนี่ย บังคับบัญชาไม่ได้ ต้องเป็นไปตามปัจจัย แต่เมื่อได้มีความเข้าใจธรรมแล้วนะคะ ความเข้าใจอันนี้ค่ะ ก็สามารถที่จะเติบโตเจริญขึ้น เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม เพราะว่าทุกคนในขณะนี้นะคะ ไม่เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม เป็นส่วนมากเพราะว่า รู้ว่ามีการฟังธรรม มาฟังธรรมมั้ย ไม่มาใช่ไหมคะ ก็แสดงว่าไม่ได้เห็นประโยชน์เลย ว่าการฟังธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย โอกาสที่จะได้ยินได้ฟังเนี่ย มีบ่อยไหม ไม่ใช่ว่าจะมีได้บ่อยๆ ถ้าสมมติว่าเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย มาไม่ได้ หรือว่า อาจจะมีความเจ็บปวดทรมาน จนกระทั่งไม่สามารถที่จะรับฟังได้ เพราะว่าปัญญาที่สะสมมาเนี่ยไม่พอ

    เพราะฉะนั้น ถ้าสะสมมาที่จะเห็นค่าที่สูงที่สุด ประโยชน์สูงสุดไม่มีอะไรจะเทียบได้นะคะ ก็คือว่า โอกาสที่ได้มีโอกาสฟัง แล้วก็เข้าใจธรรม ชาติหน้าต่อไปเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่ก็มีโอกาสที่จะได้สะสมความเข้าใจ ซึ่งไม่สูญหาย จึงได้มาถึงชาตินี้ที่กำลังนั่งฟังอยู่ขณะนี้ ก็เพราะเหตุว่าได้ สะสมบุญแล้วแต่ปางก่อน ที่สำคัญที่สุดของการฟังธรรมนะคะ ต้องไม่ลืมว่าเพื่อเข้าใจ ประโยคธรรมดานะคะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้เองค่ะ ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นไม่มีเห็น ถ้าได้ยินไม่เกิดขึ้นก็ไม่มีได้ยิน ถ้าไม่มีคิดเกิดขึ้นก็ไม่มีคิด แต่ธรรมดาธรรมดาอย่างนี้นะคะ กว่าจะถึงความสมบูรณ์ของปัญญา ที่สามารถจะถึงการประจักษ์แจ้ง สิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลา ที่จะทำให้ความเข้าใจนะคะ มั่นคงจริงๆ ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ไม่ไปแสวงหาอย่างอื่น ไม่ทำอย่างอื่น และกว่าจะถึงการที่สามารถจะเข้าถึงการที่จะสละ ละการที่เคยยึดถือธรรมว่าเป็นเรา ก็จะถึงการที่จะเข้าใจประโยคนี้ชัดเจนว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดคือเดี๋ยวนี้เองนะคะ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลยเพียงแค่สิ่งที่เราติดข้องนะคะ เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี

    เพราะเหตุว่าขณะนี้ค่ะ ทุกสิ่งที่มีขณะนี้นะคะ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงความจริงว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก มิฉะนั้นแล้ว เราก็ยังคงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะหลงเข้าใจว่ายังมีอยู่ เพราะว่าสิ่งที่เกิดไปแล้ว ดับไปแล้ว ไม่กลับมาก็จริงนะคะ แต่มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น แน่นหนามากมาย ปกปิดความจริงซึ่งสิ่งนี้ ขณะนี้ทุกอย่างเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นนะคะ ก็จะถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นอภิสมัย สมัยที่ยิ่งใหญ่ในสังสารวัฎฏ์ ซึ่งไม่เคยมีมาเลย คือได้รู้ความจริงว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเป็นความจริง ด้วยการประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เพียงด้วยการเพียงฟัง แล้วก็เริ่มค่อยๆ เห็นค่อยๆ เข้าใจ แต่ก็ห่างไกลกันมาก เพราะว่าขณะนี้ไม่มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะรวมกันหมดเลยค่ะ เป็นตั้งกี่คนอยู่ที่นี่ เป็นดอกกุหลาบ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่ความจริงนะคะ ที่เข้าใจว่าเป็นนั้นน่ะ มีสิ่ง ๑ หนึ่งค่ะ หลายๆ สิ่งค่ะที่รวมอยู่ในที่นั้น ซึ่งไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็ทำให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็เพราะเห็นว่าไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเนี่ยนะคะ ก็จะมีความเข้าใจที่มั่นคง ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องต่างกับทุกคน ห่างไกลกันแสนไกล ยิ่งฟังยิ่งรู้จักพระคุณ ว่าถ้าไม่มีการตรัสรู้ ด้วยการทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะให้ช่วยให้เราเนี่ย ซึ่งไม่มีบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อได้ฟังแล้วนะคะ ก็ยังสามารถที่จะเข้าใจได้ แล้วก็ค่อยๆ สะสมไป เป็นปกติ แล้วก็จะเป็นจริงอย่างนั้น เมื่อนั้นนะคะ ก็จะไม่มีความหวั่นไหวเลย ในศรัทธาที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระธรรม และในสิ่งที่เป็นจริงจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นคำจริง ซึ่งคนฟังไม่ต้องไป จะใช้คำว่ากระเสือกกระสน ไปพยายามทุกทาง อย่างอื่นที่จะรู้เนี่ย เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าต้องเป็นความเข้าใจ ที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรมนี่ค่ะ ก็คือว่าได้เข้าใจอย่างที่ฟังมั้ย ถ้าเข้าใจแล้วนะคะ ก็ยังไม่ได้ประจักษ์เป็นจริง อย่างที่เข้าใจ เพราะว่าแค่เข้าใจนิดนิดหน่อยหน่อย และขณะนี้เรารู้ล่ะ มีตั้งหลายอย่าง แล้วก็แต่ละอย่างเนี่ย ต้องเกิดแล้วก็ดับไปด้วย เร็วมาก เมื่อเข้าใจความจริงอย่างนี้นะคะ เปลี่ยนได้ไหมคะ เปลี่ยนไม่ได้เลย ต้องเป็นจริงอย่างนี้แล้วเราจะรู้ได้มั้ย เรา รู้ไม่ได้ แต่ปัญญาความเข้าใจที่เริ่มเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นนั่นแหละ ละความไม่รู้นะคะ ละคลายการยึดถือชำระจิต ซึ่งขณะนี้เนี่ยไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุว่าจากแสนโกฏฏ์กัปป์ มากมายเกินกว่านั้น ที่สะสมความไม่ดี อกุศลทั้งหลาย ทุกอย่างที่เกิดนี่ค่ะ จิตเกิดแล้วดับก็จริงนะคะ แต่ว่าจิตขณะต่อไปสืบต่อ มีทุกอย่างเหมือนจิตก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิด

    เพราะฉะนั้นเรารู้ไหมคะว่าเรานั่งรับประทานอาหารอร่อย หมักหมมอกุศล หรือเปล่า เห็นไหมคะ สะสมไปเรื่อยเรื่อย ฟังธรรมหน่อยนึง ก็เข้าใจนิดนึง แล้วก็สะสมอกุศลต่อไปอีก แต่ให้ทราบว่านะคะ ไม่เสียหายเลย ในการที่จะได้ฟังธรรม เพราะเหตุว่าบังคับให้ปัญญาเกิดเร็วๆ ไม่ได้ แต่ในความเข้าใจลึกซึ้ง ว่าบังคับไม่ได้ อันนี้ก็ป้องกันล่ะ ไม่ให้ไปสู่ความเห็นผิด และก็เริ่มมีความอดทน ขันติบารมีที่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อยังไม่เป็นอย่างนี้ ก็จะต้องอาศัยเหตุที่สมควร คือไม่ใช่มีความเป็นตัวตนไปเร่งรัด ไปทำอะไรเลยนะคะ แต่เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงซึ่งขณะนี้เป็นปกติ หมายความว่าเป็นธรรมดาของธรรม ปกติคือธรรมดา ภาษาบาลีจะใช้คำว่า ธรรมตา แต่คนไทยจะใช้ ด เด็กแทน ต เต่า นะคะ เราก็ไม่พูดว่าธรรมตา แต่พูดว่าธรรมดา หมายความว่า ความเป็นไปของธรรมเวลานี้ทั้งหมดค่ะ ทุกขณะเป็นความเป็นไปของธรรม เป็นใคร ไปทำอะไรให้เกิดขึ้น เป็นอีกนั้นได้ไหม ไม่ได้เลย แต่ก็ถูกปกปิดว่า เราทำ เรากำลังฟัง เรากำลังคิดทั้งหมด เพราะฉะนั้นกว่าปัญญานะคะ จะค่อยๆ ชำระจิต ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งดำมืดนะคะ ค่อยๆ คลายลง จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจความจริง ตามลำดับขั้น ตามลำดับขั้นนี่ ประจักษ์แจ้งจริงๆ นะคะ ในแต่ละคำที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ และปัญญาแต่ละขั้นก็ต้องตามลำดับ คือขั้นฟัง เป็นใช้คำว่าปริยัติ

    เราคงได้ยินบ่อยๆ นะคะ พระปริยัติ โรงเรียนปริยัติ หมายความว่าการศึกษา คือการฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ฟังคนอื่น คำอื่น นักวิทยาศาสตร์จะพูดเรื่องเซลล์ ซึ่งจะพูดเรื่องอะไรๆ ก็ตาม เขาเป็นใคร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แล้วจะฟังใคร มีใครที่รู้เกินกว่าพระองค์มั้ย ที่เราจะพยายามไป ติดตามชื่นชมว่า เขาเก่งเขาฉลาด เขาสามารถเค้าทำสิ่ง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะทำได้ แต่เขาก็ไม่รู้ความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นเปรียบไม่ได้เลย ไม่มีใครจะเปรียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้น การที่ได้ยินได้ฟังแต่ละคำนี่นะคะ ซึ่งกว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดง ๔๕ พรรษา นับคำสิคะ ว่าเท่าไหร่ แล้วเราจะต้องเข้าใจจริงจริงด้วย ความไม่ประมาทในแต่ละคำ ด้วยความเคารพจริงๆ เพราะคำนั้นจะนำความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ให้เกิดขึ้นนะคะ ทีละเล็กทีละน้อย จากการที่ไม่เคยฟังเลย คนที่ฟังเนี่ย ก็จะบอกว่าฟังมานานเท่าไหร่ หมดไหมคะใน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดง ยังไม่ถึงไหน เพราะว่าแต่ละคำเนี่ย ไม่ใช่ฟังเผินว่าฟังแล้ว เหมือนกับพระไตรปิฏกมี ก็อ่านแล้ว อ่านแล้วเข้าใจแค่ไหน เพียงคำเดียวเนี่ย เข้าใจความลึกซึ้งของคำนั้นมั้ย

    เพราะฉะนั้นยิ่งเข้าใจธรรมนะคะ ยิ่งเห็นคุณค่า ยิ่งเห็นประโยชน์ และก็รู้ว่าประมาทไม่ได้ แต่ว่าเป็นสิ่งซึ่งเมื่อได้สะสมแล้วนะคะ แล้วก็จะเกิดเป็นใครต่อมิอะไร อีกแสนโกฏฏ์กัปป์ ก็แล้วแต่ อีกกี่หมื่นปีกี่ชาติก็ตามแต่ แต่สิ่งที่สะสมไว้ก็ไม่ได้หายไปไหนนะคะ เพียงแต่ว่าเมื่อมีโอกาสได้ฟังอีก เพราะใครจะรู้ว่าจากโลกนี้ไปแล้วจะได้ฟัง เป็นนกได้ฟังไหมคะ เป็นหนู เป็นปู ปลาใช่ไหมคะ เป็นได้ทุกอย่าง ไม่งั้นจะเป็นได้ยังไง ถ้าเราไม่เห็นสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้แหละ ที่ไม่ใช่มนุษย์เนี่ยมี เพราะฉะนั้นพวกนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรม แต่แม้เป็นมนุษย์แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนมีโอกาสที่จะได้เพิ่มความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น ถ้าเขาสะสมมาที่จะไม่เห็นประโยชน์ ของการฟังด้วยความเคารพว่า เพื่อความเข้าใจเท่านั้น ไม่ต้องเป็นเรา ไปเร่งรัดอะไรเลยนะคะ เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะเหตุว่าปัญญาความเห็นถูกไม่ใช่เรา ถ้ามีแล้วความเห็นถูกนั้น ค่อยๆ เกิดขึ้น เจริญขึ้นนะคะ ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ค่อยๆ ละความเป็นเรา

    แต่เดี๋ยวนี้ละหรือยัง ยัง ฟังมานานเท่าไหร่ ก็ยัง แต่ฟังต่อไป เหมือนจับด้ามมีดนี่ค่ะ ทรงแสดงไว้เลย ใครรู้บ้างว่าแต่ละครั้งที่จับเนี่ย ด้ามมีดสึก แต่ถ้าไม่มีการจับด้ามมีด จะสึกได้มั้ย แต่สึกเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ ฉันใดนะคะ ปัญญาความเข้าใจถูก ความเห็นถูกแต่ละครั้ง ก็มีคุณค่าอย่างนั้น คือสามารถชำระจิตที่ไม่บริสุทธิ์ ลองคิดถึงนะคะ ไม่บริสุทธิ์ขนาดไหน รู้ตัวมั้ย ค่ะ ถ้าบริสุทธิ์พอสมควรนะคะ ก็เข้าใจธรรมพอสมควรยิ่งขึ้น นั่นคือจิตได้แต่บริสุทธิ์ขึ้นนะคะ ชำระแล้วด้วยปัญญา ที่เข้าใจธรรม แต่ใครก็ตามที่ไม่ได้ฟังไม่เข้าใจ และจะไปนั่งวิปัสสนา ไปทำอะไรอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็จะเป็นการทำลายคำสอนของพระองค์ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถ ว่าพระองค์ไม่ได้สอนอย่างนั้น ไปเข้าใจว่าพระองค์ทรงแสดงอย่างนี้ เพราะว่าไม่ได้ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเห็นถูกต้องของตัวเอง เพราะฉะนั้นก็แต่ละคนนะคะ ก็มีปัญญาเป็นที่พึ่ง และก็ปัญญานั้นมาจากใคร ก็มาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ใช่พึ่งให้เราไปร่ำรวย ให้เราหายโรค ให้เราโชคดี ให้เรามีเกียรติยศ ให้เรามีคนสรรเสริญ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะคะ เป็นที่พึ่งซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะให้เขาเองเป็นที่พึ่งได้ อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเขาไม่ได้ให้ใครเกิดปัญญา แต่ที่พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ เพราะเหตุว่าพระองค์สามารถจะทำให้มีความเข้าใจถูกเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ไม่มีอะไรที่จะชำระกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้นก็ฟังไป แล้วก็เห็นประโยชน์เห็นคุณค่า ว่าทั้งวันเมื่อวานนี้ค่ะ ทำอะไรบ้าง ได้อะไรบ้าง เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า แม้แต่เมื่อกี้นี้เองค่ะ ธรรมก็เกิดขึ้น และดับไป ไม่มีใครรู้เลย แล้วได้อะไรจากสิ่งที่เกิดแล้วดับ นอกจากความไม่รู้ และความติดข้อง จนกว่าจะเป็นผู้ที่เห็น ประโยชน์ของบารมีนะคะ บารมีคือกุศล ถ้ากุศลไม่เกิดอกุศลเกิด เพราะฉะนั้นกุศลเท่านั้นนะคะ ที่ถ้ามีมากขึ้น อกุศลก็น้อยลง เพราะฉะนั้นกุศลทั้งหลายเนี่ยเป็นบารมี บารมีหนึ่งก็คือขันติบารมี รู้ว่าอีกไกลนัก อีกกี่ชาติก็ไม่สำคัญ แต่ถึงได้ นี่ก็ทำให้สามารถที่จะเป็นผู้ที่อดทนนะคะ แสวงหาความจริงรู้ความจริง ไม่เอาของปลอม เพชรเก้หรือว่าอะไรๆ ก็ตามแต่ ซึ่งไม่ใช่ของจริงนะคะ ไม่มีประโยชน์

    เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักของจริง และเป็นประโยชน์ ก็จะมีขันติความอดทน ที่แต่ละคำเนี่ย มีค่า ฟังแล้วเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น แล้วก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง สัจจบารมีถ้าไม่ตรง อย่างนี้จะละกิเลสได้ไหม มีแต่เพิ่มพูน แล้วก็มีวิริยบารมีนะคะ แต่ไม่ใช่เรามานั่งทำความเพียร ขณะนี้ค่ะธรรมคือจิต และเจตสิก สภาพนามธรรมซึ่งเกิดกับจิตนะคะ หลากหลายมากเจตสิกมีถึง ๕๒ ประเภท แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปพยายามรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นจิตอะไร เป็นเจตสิกอะไร เพราะว่าเพียงแต่เข้าใจว่า ไม่ใช่เราเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ยังไม่ได้เริ่ม ต่อเมื่อไหร่ฟังแล้วนะคะ ไม่ต้องขวนขวายที่จะจำชื่อ โกรธมีไหมคะ นั่นแหละค่ะไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก แต่ไม่ใช่ว่าเรา จะมานั่งเรียนชื่อ แล้วก็ไปพยายามหา มีแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ นะคะ ก็จะรู้ว่าพระธรรมแต่ละคำเนี่ย ทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่อดทนนะคะ เป็นผู้ที่มีสัจจะความจริงใจ และก็มีความเพียร ซึ่งขณะนี้ค่ะเพียรแล้ว เพียรนั่ง เพียงฟัง เพียรแต่ละคำที่จะเข้าใจ ไม่ใช่มีตัวตนจะไปทำอย่างอื่น เพราะว่าทรงแสดงไว้โดยละเอียด โดยนัยของพระอภิธรรมว่า วิริยเจตสิกที่เพียรไม่ใช่เรานะคะ เกิดกับจิตเกือบทุกขณะ ขณะเห็นไม่ต้องมีวิริยะค่ะ กรรมที่ได้ทำแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดธาตุที่กำลังเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เมื่อเป็นผลของกุศลกรรม และขณะใดที่เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นแล้วก็เป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมแต่ละคำนี่ค่ะ ก็ทำให้ปัญญาเนี่ยค่ะค่อยๆ ละความเป็นเรา และรู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้น สมบูรณ์ขึ้นนะคะ เพราะฉะนั้นบารมีทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ ต่อการที่จะได้รู้ความจริง

    ผู้ฟัง ตะกี้ที่ท่านอาจารย์พูดว่า มีใครเห็นโลกนี้ เป็นความว่างเปล่ามั่ง ฟังพอเข้าใจได้นะครับ แต่ผมไม่มีทางที่จะรู้ตามนั้นได้จริงๆ ที่นี้อย่างเราก็มีกิจน้อย อยากจะทำตลอดเวลา ก็คงเหมือนท่านอาจารย์บอกว่า จิตก็ไม่ได้บริสุทธิ์ เพราะว่ามีแต่ความอยากอย่างงั้น ผมก็หมดโอกาสที่จะรู้ความจริง อย่างที่ท่านอาจารย์ว่ารึเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ หมดโอกาสคือไม่รู้เลย ไม่ได้ยินเลย ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่สนใจเลยนั่นคือหมดโอกาส แต่ถ้าฟังแล้วเห็นความลึกซึ้ง นั่นเป็นโอกาสที่เห็นประโยชน์ว่า ไม่ใช่ตัวเราจะไปรู้อย่างที่ทุกคนนี่นะคะ ไม่ว่าได้ฟังคำอะไรอยากรู้ไปหมดเลย ถามทำยังไงนะคะ จะฟังยังไงมั้ย แม้แต่ฟังก็จะฟังยังไง เพื่อให้รู้อย่างนั้น นั่นก็คือผิดทั้งหมด ไม่ได้เข้าใจเลยว่าธรรมนะคะ มีจริง แต่ว่าไม่ใช่เราจะไปทำ ธรรมเกิดแล้วค่ะเดี๋ยวนี้ ใครทำเห็นบ้าง ใครทำคิดบ้าง ใครทำความรู้สึกต่างๆ บ้างทำไม่ได้เลย เพราะเกิดแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นให้เข้าใจ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แต่ละขณะ เพราะฉะนั้นฟังธรรม ก็คือว่าเพื่อละความเป็นเรา ที่จะถึง แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้ และปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา ใครจะไปทำหน้าที่ของปัญญาไม่ได้เลย ธรรมแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่งนะคะ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะ หมายความว่ามีลักษณะที่ให้รู้ได้ว่า เป็นธรรมนั้นต่างกับธรรมอื่น มีกิจหน้าที่การงานของแต่ละธรรม มีอาการปรากฏ และก็มีเหตุใกล้ให้เกิดเฉพาะแต่ละ ๑ นี่คือให้รู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะไม่ใช่เราจริงๆ ปัญญาก็สามารถแทงตลอด สิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นฟังไว้ก่อน ฟังไว้ถูกไหมเข้าใจไหม สะสมไป โลกว่างเปล่าเพราะอะไร เพียงแค่สิ่งหนึ่งสิ่งใดคือเดี๋ยวนี่แหละ เกิดแล้วเพราะปัจจัย แล้วก็ต้องดับไป ไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาอีก ขณะนี้ยังไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรนะคะ ยังไม่เห็นภัย เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ปัญญาที่กำลังประจักษ์แจ้งอย่างนั้น แต่ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งอย่างนั้นนะคะ ไม่มีทางที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นก็คือเป็นปกตินะคะ แล้วก็อดทน และก็เห็นประโยชน์ แล้วก็ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาก็จะเจริญขึ้น ช้ามาก ทีละน้อยมาก แต่ก็กำลังเจริญในขณะที่เข้าใจ

    ผู้ฟัง อย่างที่อาจารย์ว่า แม้แต่เกิดดับไม่เห็นภัย ผมยอมรับว่าจริงๆ ว่าไม่เห็นภัยครับ แต่พอไปเรื่องยาวๆ อีกข้างหน้า แล้วจะแก่เนี้ย เริ่มรู้สึกนิดหน่อย แต่พอเกิดดับแต่ละเนี่ย ไม่รู้สึกเห็นภัย

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อปัญญาเจริญแล้วนะคะ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะเป็นคำจริง ที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะถึงที่สุด ของการตรัสรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567