ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
ตอนที่ ๙๑๒
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
อ.กุลวิไล มีผู้ที่ฝากคำถามมา ถ้าเป็นคนที่ลืมของบ่อยๆ ต้องไปทำสมาธิ เพราะสมาธิจะทำให้เกิดสติ
ท่านอาจารย์ นั่งสมาธิแล้วรู้อะไรที่จะไม่ลืมของ เพราะว่าการทำสมาธิไม่ใช่เพื่อไม่ลืมของ แต่ต้องรู้ว่า สมาธิคืออะไร แล้วจะทำสมาธิทำไม ทั้งหมดต้องเป็นเรื่องของความเข้าใจถูก ต้องเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจก็ไม่มีประโยชน์ไปหาใครก็ได้ที่เขาแนะนำให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็จะได้ไม่ลืมของ แต่ว่าที่จะบอกให้ทำสมาธิ แต่ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร ก็ต้องเป็นมิจฉาสมาธิ เพราะฉะนั้นไม่ต้องฟังธรรม เพราะเหตุว่าจุดประสงค์ต้องการที่จะไม่ลืมของ ไม่ใช่ต้องการที่จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ. กุลวิไล เขาก็อาจจะคิดว่าเป็นการหลงลืม
ท่านอาจารย์ แล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร เรื่องหลงลืม ไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คิดที่จะทำเพื่อประโยชน์ของตน คือแค่เพียงที่จะให้ไม่ลืมของ
อ.กุลวิไล แล้วก็เข้าใจว่าไม่หลงลืม ก็คือการมีสติ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใช้คำว่าสติ โดยที่ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเอง แล้วก็ใครบอกอะไรก็เชื่อ แต่ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์ที่จะให้เข้าใจ ทุกอย่างตามความเป็นจริง เดี๋ยวนี้มีอะไร ก่อนอื่นต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร เพราะว่าต้องพูดถึงสิ่งที่มี ถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่มีแล้วไปเข้าใจสิ่งที่ไม่มีอย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไร
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์มุ่งหมายถึงสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
อ.กุลวิไล เพราะถ้าผู้ไม่ศึกษาธรรม เขาก็อาจจะบอกว่ามีดอกไม้ มีคน มีสิ่งของ
ท่านอาจารย์ มีอะไรอีก ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมไม่บอก เมื่อไรจะบอก ได้แต่ถาม แต่ถามเพื่อจะให้ผู้ที่ถามคิด เพราะว่าถ้าไม่คิดเสียเลยได้แต่บอกเขา เขาจะรู้อะไร แต่ว่าเขามีการเห็น มีการได้ยิน มีการฟัง มีการที่จะไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นคนที่จะต้องการความจริงไม่ใช่ว่าฟังแล้วก็เชื่อ แล้วก็เข้าใจตามคำที่ได้ฟัง แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าคำนั้นถูกไหม เช่นทุกคนที่นี่มีตาเห็น มีหูได้ยิน ใช่ไหม มีใจคิดนึก มีความรู้สึกชอบไม่ชอบ เพราะฉะนั้นถามว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร เพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงๆ นี้คืออะไร
อ.กุลวิไล มีท่านใดจะร่วมสนทนากับท่านอาจารย์หรือไม่ ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร
ผู้ฟัง ขณะนี้มีเห็น
ท่านอาจารย์ เห็นคืออะไร
ผู้ฟัง ยังไม่รู้จักเห็น
ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้จักอย่างนี้ แล้วจะไปรู้จักสมาธิไหม กำลังเห็นอย่างนี้ แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าเห็นคืออะไร แล้วจะรู้จักสมาธิได้อย่างไร
ผู้ฟัง เห็นคืออะไร
ท่านอาจารย์ เห็นมีจริงไหม
ผู้ฟัง เห็นมีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นคน เป็นสัตว์หรือไม่ หรือเห็นเป็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น
ท่านอาจารย์ เห็นเป็นสภาพธรรมที่กำลังรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นอย่างนี้ นั่นคือเห็น เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเห็น เห็นว่าสิ่งที่มี ขณะนี้ที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องพูดไม่ต้องเรียกอะไรเลย แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่รู้อย่างนี้ จะรู้จักสมาธิไหม แม้แต่เห็นยังไม่รู้จัก
ผู้ฟัง แล้วอย่างนี้จะต้องรู้จักตาหรือไม่
ท่านอาจารย์ รู้จักทุกอย่างที่มีจริงๆ ตาเห็นไหม
ผู้ฟัง ตา ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีตา เห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ ต้องมีตาด้วย
ท่านอาจารย์ เป็นคนที่เริ่มมีเหตุผลว่า แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ให้ฟังเฉยๆ แต่กำลังมีเห็น แล้วเข้าใจให้ถูกต้องว่า แม้เห็นเดี๋ยวนี้ก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีตา เริ่มมีเหตุผลไหม เพราะฉะนั้นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นเราเห็นหรือไม่ หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป
อ.กุลวิไล ถ้าไม่รู้จักสิ่งที่มีจริงขณะนี้ จะไม่รู้จักสมาธิ
ท่านอาจารย์ แน่นอน
อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นคนยุคนี้ไม่ศึกษาพระธรรม ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่ต้องการรู้สมาธิ
ท่านอาจารย์ อยากรู้คำ ใครบอกก็เชื่อ ใครบอกให้ทำก็ทำ แต่ไม่มีปัญญาของตนเอง ไม่มีประโยชน์ แล้วจะรู้จักสมาธิได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่ากำลังเห็น ใครรู้จักเรื่องเห็น
อ.กุลวิไล พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เห็นไหม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำนี้ แต่ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้อะไร ตรัสรู้อะไร ก็ตรัสรู้เห็น ทั้งๆ ที่คนอื่นก็กำลังเห็น แต่ไม่มีใครรู้จักเห็นเลย ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้เรื่องเห็น คือสภาพธรรมที่กำลังเห็น พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่า เห็นต้องเกิด ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดได้ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นต้องมีปัจจัยที่อาศัยกัน และกันทำให้เกิดขึ้น ใครจะทำให้อะไรเกิดได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่เมื่อมีปัจจัยที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่ให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นได้ไหม
อ.กุลวิไล ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ว่าเพียงเป็นสิ่งที่มีจริง มีปัจจัยเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นที่เคยเข้าใจว่าเราเห็น ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเกิดขึ้นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ตามเหตุตามปัจจัย ทุกคนได้ยินคำว่าจิตใช่ไหม จิตใจปรากฏให้เราเห็นหรือไม่
อ.กุลวิไล ไม่
ท่านอาจารย์ แต่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นจิตใจนี้เป็นสภาพรู้แน่นอน เป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีจิตที่เกิดขึ้นรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เริ่มรู้จักจิต จากการที่เราบอกว่าเรามีจิต แต่ไม่เคยรู้เรื่องจิตเลย ให้รู้ว่าจิตเป็นสภาพที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทั้งหมด เสียงปรากฏ จิตได้ยินเสียง กลิ่นปรากฏ จิตกำลังรู้กลิ่นนั้น คิดกำลังปรากฏ จิตกำลังคิดเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีจิต อะไรๆ ก็ไม่มีที่จะปรากฏว่ามีได้ แต่เพราะเหตุว่าขณะนี้มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ลืมว่าเพราะจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น จิตเห็นกับจิตได้ยินเป็นขณะเดียวกันหรือไม่
อ.กุลวิไล คนละขณะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สั้นที่สุดก็คือว่าจิตเกิดขึ้น ต้องมีสภาพธรรมที่ปรุงแต่งให้จิตเกิด อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ด้วยกัน สภาพนั้นเรียกว่า เจตสิก ทำไมต้องเรียก เพราะเหตุว่าไม่เรียกก็ไม่รู้ว่าจิตกับเจตสิกนั้นไม่ใช่อย่างเดียวกัน แต่เกิดพร้อมกันแล้วก็ดับพร้อมกัน เดี๋ยวนี้เริ่มรู้ว่าแม้แต่เพียงเห็นนั้น ได้ยินคำว่าเห็น รู้ว่าเป็นธาตุรู้ ใช้คำว่าจิต แต่ก็จะต้องมีเจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมที่อาศัยทำให้จิตเกิดขึ้น และเจตสิกก็เกิดไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่มีจิตเจตสิกก็ไม่เกิด เจตสิกเกิดเมื่อไหร่ก็ต้องเกิดกับจิต ดับพร้อมจิต เพราะว่าทุกขณะสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา รู้ไหมว่าขณะนี้จิตเห็นดับแล้ว ไม่รู้จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องมีธรรมที่ไม่เที่ยง เพราะต้องเกิดจึงจะดับ เพราะฉะนั้นการเกิดดับนั่นคือไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ควรยินดีไหม ในเมื่อจากไม่มีเลย แล้วก็เกิดมีขึ้น และก็หมดไป แล้วก็ไม่เหลือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดดับไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ จึงใช้คำว่าเป็นทุกข์ แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย คือไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา ให้เป็นอย่างอื่นไปได้
เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังเห็นมีเจตสิกเกิดพร้อมกันกับจิต และถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะรู้ไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งจิตแต่ละประเภท แต่ละขณะ พร้อมทั้งทรงแสดงว่า จิต ๑ ขณะ มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นขณะเห็นเดี๋ยวนี้ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตเห็นได้ยินไหม
อ.กุลวิไล ไม่ได้ยิน
ท่านอาจารย์ จิตได้ยิน คิดหรือไม่
อ.กุลวิไล ไม่คิด
ท่านอาจารย์ แต่ละหนึ่ง ใช่ไหม แสดงว่าจิต ๑ ขณะ เกิดขึ้นเป็นสภาพรู้สิ่งที่ปรากฏให้รู้ทีละหนึ่ง เพราะเจตสิกหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นพร้อมจิตเป็นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์เดียว เพราะฉะนั้นจิตเห็นจะเห็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ จิตได้ยินเกิดขึ้นจะได้ยินเสียงอื่นไม่ได้นอกจากเสียงที่จิตกำลังได้ยิน เพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยประเภทหนึ่งซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า เอกัคคตาเจตสิก เป็นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง เพราะฉะนั้นจิต ๑ ขณะ เกิดพร้อมกับเจตสิกนี้ และเจตสิกอื่น แต่จิต ๑ ขณะจะเกิดขึ้นรู้ ๒ อย่างไม่ได้ เพราะว่าเอกัคคตาเจตสิกนี้เป็นเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์เดียว ด้วยเหตุนี้เอกัคคตาเจตสิกนี้ถ้าเกิดกับจิต และรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดนานๆ ลักษณะของเอกัคคตาก็ปรากฏเป็นสมาธิ เป็นเราหรือไม่ ต่อไปนี้ฟังสมาธิเริ่มรู้แล้วใช่ไหม เป็นอะไร ดีกว่าไปบอกให้ทำสมาธิ แล้วทำอะไร ไม่มีความรู้เลยว่าสมาธิคืออะไร แล้วจะให้ทำอย่างไร เรียกชื่อว่าสมาธิก็ไม่บอกว่าสมาธิคืออะไร
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นปัญญาที่ทำให้เข้าใจถูก ในสิ่งที่มี ส่องถึงความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่คนอื่นก็คาดไม่ถึง ว่าแม้แต่จิต ๑ ขณะเกิดขึ้น และดับไป และจะเกิดตามลำพังไม่ได้ ต้องมีเจตสิกที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น และจะรู้สิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่เจตสิกหนึ่งกระทบ ชื่อว่าผัสสเจตสิกไม่ได้ แล้วขณะนี้ที่กำลังได้ยิน เจตสิกที่ชื่อว่า ผัสสเจตสิกไม่ใช่จิต แต่เกิดกับจิต ๑ ใน ๗ กระทบเสียง เพราะฉะนั้นผัสสเจตสิกไม่ใช่สมาธิ ไม่ใช่เอกัคคตา ไม่ใช่ตั้งมั่นในอารมณ์ แต่ผัสสเจตสิกเป็นสภาพที่กระทบ เมื่อกระทบแล้วจิต และเจตสิกทั้งหมดที่เกิดพร้อมกับผัสสะ ต้องรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบ คนละหน้าที่กับเอกัคคตาเจตสิก เพราะฉะนั้นผัสสเจตสิกนี้เป็นอาหารปัจจัย นำมาซึ่งสภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วย ให้รู้เฉพาะอารมณ์ที่ตนกระทบ และเอกัคคตาเจตสิกก็ตั้งมั่นในอารมณ์นั้น ถ้าบ่อยๆ นานเข้าก็เรียกว่าเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นสมาธิไม่ใช่จิต ไม่ใช่ผัสสะเจตสิก แต่เป็นเจตสิกหนึ่งคือเอกัคคตาเจตสิก
อ.กุลวิไล ได้ยินขณะนี้ก็มีเสียง ขณะนั้นก็ต้องมีสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในเสียงด้วย
ท่านอาจารย์ ต้องมีจิต และเจตสิกเกิดกำลังรู้เฉพาะเสียงที่ปรากฏ และก็ดับไป แต่เราไม่เคยรู้เลย ไม่เคยรู้มาก่อนว่านี้เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เกิดมาก็มีเห็น มีได้ยิน แสดงว่าต้องมีจิตเกิดดับสืบต่อทีละขณะ จนกว่าจะรู้ว่าไม่มีเรา ทั้งหมดเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา
อ.กุลวิไล แม้แต่ทางตานี้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นด้วย ก็ต้องมีเอกัคคตาเจตสิกที่ตั้งมั่นในสิ่งที่ปรากฏทางตา
ท่านอาจารย์ เอกัคคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ ทุกประเภทไม่เว้นเลย ผัสสเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภทไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นจิต ๑ ขณะ จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท ใน ๗ ประเภทนั้น ๑ ผัสสเจตสิก อีก ๑ ก็คือเอกัคคตา เพื่อที่จะให้เข้าใจคำว่าสมาธิ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ใครว่าสมาธิก็สมาธิกับเขาด้วย แต่ไม่รู้เลยว่าสมาธิไม่ใช่เรา สมาธิเกิดแล้วก็ดับไปพร้อมกับจิต ซึ่งกำลังรู้อารมณ์ซึ่งกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เอง
อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นสมาธิก็คือ สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ โดยสภาพธรรมก็ต้องเกิดกับจิตทุกประเภททุกขณะด้วย แล้วผู้ที่จะไปนั่งสมาธิหลับตา ทำไมต้องไปค้นหาขนาดนั้น
ท่านอาจารย์ รู้อะไรหรือไม่ นั่งอย่างนี้แล้วก็บอกว่าหลับตา แล้วทำสมาธิแล้วรู้อะไรหรือไม่ เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ธรรม ไม่ได้ฟังธรรม เพราะไม่ได้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏที่กำลังมี เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่อยากจะไม่หลงลืม ก็ไปถามคนที่เขาฝึกหัดบ่อยๆ ให้ทำอะไร เพื่อตนเองจะไม่หลงลืม แต่ว่าจะไม่เข้าใจ แล้วถ้าใช้คำว่าสมาธิ เขาก็ให้ไปนั่งแล้วบอกว่านั่งแล้วก็จะเป็นสมาธิ แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความรู้ว่า สมาธิคืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเริ่มรู้ว่าละเอียดอย่างยิ่ง เพราะแม้จิต ๑ ขณะเดี๋ยวนี้ ก็ทรงตรัสรู้ความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราเลย ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เฉพาะสิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เช่นได้ยินต้องมีหู โสตปสาทรูป รูปพิเศษ ไม่ใช่ใบหูทั้งหมด แต่เป็นรูปที่อยู่กลางหูมองไม่เห็น เป็นรูปที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง กลิ่นกระทบรูปนั้นไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็กระทบรูปนั้นไม่ได้ เฉพาะเสียงเท่านั้นที่กระทบรูปนั้นได้ เมื่อกระทบแล้วก็เป็นปัจจัย เพราะผัสสเจตสิกขณะนั้นกระทบเสียงนั้น จิต และเจตสิกอื่นที่เกิดร่วมกันก็รู้เสียงนั้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา รวมทั้งสมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิกก็เกิดดับอยู่ทุกขณะ ทุกคำตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จักทั้งหมด ไม่ว่าจะสมาธิ หรือปัญญา หรือสติ หรืออะไรทั้งหมด จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ถึงจะรู้ว่าคืออะไร
อ.กุลวิไล ถ้าเราศึกษาเราจะพอทราบว่า สมาธิที่เป็นบุญก็มี เป็นบาปก็มี คนทั่วไปก็ไม่รู้ ว่าที่ไปนั่งนั้นจะเป็นบุญหรือเป็นบาป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง แล้วที่เข้าวัด ไปทำสมาธิ ทำบุญต่างๆ นั้น รู้จักพระรัตนตรัยหรือไม่ แต่กล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พึ่งตรงไหน พึ่งตอนไหน ยังไม่เห็นเลยว่าได้พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ถ้ายังไม่ได้ฟังพระธรรมไม่ได้พึ่งพระรัตนตรัยเลย ไม่ว่าจะเข้าวัด รักษาศีล ทำสมาธิ ก็ไม่รู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร แล้วทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม เพื่อให้คนเข้าใจถูก ในสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ เพื่อทุกคนจะได้เข้าใจถูกตาม ประพฤติปฏิบัติตาม นั่นคือเมื่อมีความเข้าใจถูกตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วคือปัญญา มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม คือสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว เพราะเหตุว่าเว้นเมื่อไหร่ก็คือไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งนั้นได้ถูกต้อง เห็นอย่างนี้ ใครรู้บ้าง ถ้าไม่ฟังพระธรรม เห็นอะไรยังไม่รู้เลยใช่ไหม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว จะเห็นความละเอียดอย่างยิ่ง ความถูกต้องอย่างยิ่ง และเห็นความเป็นพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์นั้นไม่มีทางที่จะมีความเห็นที่ถูกต้อง หรือมีความเข้าใจอะไรที่ถูกต้อง แม้จะได้ยินคำว่า เข้าวัด รักษาศีล ทำสมาธิ แล้วปัญญาจะเกิด ก็ไม่มีคำถามว่าปัญญารู้อะไร สมาธิคืออะไร ศีลคืออะไร ซึ่งทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัญญาทั้งหมดทุกคำ แม้แต่สมาธิ ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ก็บอกๆ ไป แต่ทุกคำที่บอกไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนนั้นไม่รู้จักสมาธิเลย ไม่รู้ขณะนี้มีสมาธิหรือไม่ และไม่รู้ว่าสมาธิไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต สภาพธรรมที่เกิดกับจิตนี้หลากหลาย ในบรรดาสภาพธรรมที่เกิดกับจิต ๑ เจตสิกซึ่งเป็นสภาพธรรมที่รู้ และเกิดกับจิต แต่ไม่ใช่จิตคือเอกัคคตาเจตสิก สภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ ๑ ทำให้จิตเกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิกนั้น รู้เฉพาะอารมณ์นั้น ที่เจตสิกนั้นตั้งมั่น
เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักสมาธิใช่ไหม ถ้าตั้งมั่นในอารมณ์เดียวนานๆ ลักษณะของอารมณ์อื่นไม่ได้ปรากฏ เราก็กล่าวว่ามีสมาธิเท่านั้นเอง แต่ว่ายังเป็นเราหรือไม่ ถ้ายังเป็นเราก็คือว่า ต้องฟังคำสอนต่อไปอีกว่า จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก เอกัคคตาเจตสิกเป็นเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์เดียวก็ไม่ใช่เรา ทั้งหมดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนำไปสู่ความเข้าใจธรรมแต่ละ ๑ จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประมวลแล้วก็คือว่า ที่จะต้องศึกษาต่อไป เข้าใจต่อไป จนถึงธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายคือเดี๋ยวนี้เป็นธรรมก็ไม่รู้ จนกว่าค่อยๆ รู้ ว่าเป็นธรรม จนกระทั่งเป็นธรรมทั้งหมด ธรรมทั้งหลาย รู้อย่างไรรู้ว่าไม่ใช่เรา คือเป็นอนัตตา ปัญญาคือความเห็นถูก เดี๋ยวนี้มีไหม ถ้าเราไปพูดถึงปัญญาแล้วก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีหรือไม่ แล้วเราจะไปเข้าใจปัญญาอะไรที่ไหน ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้ เข้าใจถูกเมื่อไหร่ไม่ใช่เรา แต่เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิต จิตมีหน้าที่อย่างเดียว รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่ชอบ ไม่ชอบ ดีใจ เสียใจ นั่นเป็นเจตสิกทั้งหมด
เพราะฉะนั้นอื่นใดจากสภาพธรรม ที่กำลังรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ สภาพรู้อื่นๆ ทั้งหมด เป็นเจตสิก ภาษาบาลีก็ออกเสียงว่าเจตสิกกะ เพราะฉะนั้นเราก็เริ่มมีความรู้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่พูดเฉยๆ อธิบายด้วยไม่ใช่เรา เพราะอะไร เพราะเป็นจิตเป็นเจตสิก แต่ละ ๑ และเป็นรูปซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นคำตอบของคำถามทุกคำถาม จะชัดเจน เมื่อผู้นั้นไตร่ตรอง ฟังแล้วคิด เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญาของคนนั้นเอง คือเป็นความเห็นถูกต้องของตนเองว่า ที่ได้ฟังนั้นถูกไหม จริงอย่างนั้นหรือไม่ ตรงตามความเป็นจริงขณะนี้หรือไม่ เช่นเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่มีธาตุรู้ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้นรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างนี้ เหมือนกับเสียง เมื่อเสียงปรากฏ ธาตุรู้นั้นก็รู้ว่าเสียงเป็นอย่างนั้น เฉพาะแต่ละเสียงแต่ละเสียง สภาพนั้นเป็นธรรมซึ่งเกิดเมื่อมีปัจจัย ถ้าเสียงไม่กระทบหู ธาตุรู้คือจิต จะเกิดขึ้นรู้แจ้งในเสียงนั้นก็ไม่ได้ และในขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย อย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภทนี่คือความรู้ตามลำดับ ที่ค่อยๆ รู้ขึ้น ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้จะเข้าใจไหมว่าสมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร ไม่มีทางเลย
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มีปัญญาไหม เดี๋ยวจะไปหาปัญญาไม่เจอ แต่ต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้ เข้าใจไหม เข้าใจถูกไหม เข้าใจนั้นคือภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา แต่ภาษาไทยเราก็ใช้คำว่า เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นนี่คือปัญญา เริ่มมีปัญญา แต่ปัญญาเท่านี้ ยังไม่ได้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเพียงแต่ได้ฟังนิดหน่อย เข้าใจนิดหน่อย ตั้งแต่เกิดจนตายมีทุกสิ่งทุกอย่าง มากมายหลากหลาย ทั้งหมดเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแล้วก็เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นสมาธิเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าถามคนที่ไม่ได้ฟังเลย ก็ไม่รู้จักทั้งธรรม ไม่รู้จักทั้งสมาธิ ถ้าถามเขาว่า สมาธิเป็นธรรมหรือไม่ เขาจะตอบว่าอย่างไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 920
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960