ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
ตอนที่ ๙๑๗
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ได้ยินมีจริงหรือไม่
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือไม่
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นโลกหรือไม่
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะเป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามถ้าไม่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นจะมีโลกหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี แต่ในสิ่งที่ไม่มีเลยทั้งหมด มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นเป็นโลก เพราะฉะนั้นที่เราบอกว่าในโลกนี้มีอะไรตั้งหลายอย่าง ก็หมายความว่ามีแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นมากมายไปหมด แต่ละ ๑ ก็เป็นโลก เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ร้อนหรือไม่
ผู้ฟัง ร้อน
ท่านอาจารย์ ร้อน รู้อะไรหรือไม่
ผู้ฟัง รู้ว่าจริง ว่าเป็นร้อนจริง
ท่านอาจารย์ ตัวร้อนเอง ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ลักษณะที่ร้อนไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เสียงรู้อะไรหรือไม่ เสียงมีจริงๆ แล้วเสียงนี่รู้อะไรหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นธรรมมี ๒ ประเภทใหญ่ๆ สภาพธรรมอย่างหนึ่งเกิดจริงๆ มีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร แข็ง เสียง ร้อน เย็น เพราะฉะนั้นก็มีคำที่ต้องบัญญัติให้รู้ว่าคำนี้จะหมายความถึงอะไร ถ้าหมายความถึงสิ่งที่เกิดแล้วไม่รู้อะไรใช้คำว่ารูปธรรม รูปะ กับธรรม เป็นรูปธรรม และสภาพธรรมที่ไม่มีรูปเลยสักรูปเดียวปะปน แต่เกิดเมื่อไรเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่าง มองก็ไม่เห็น จะไปหาจิต จะไปหาได้ยิน จะไปหาเห็นที่ไหน มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่เห็นไม่มีรูปร่างที่จะปรากฏ ให้รู้ว่าเป็นเห็น แต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นซึ่งไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นรู้อะไรหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม ส่วนสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจคำว่าธรรม ค่อยๆ เข้าใจรูปธรรม ค่อยๆ เข้าใจนามธรรม เพราะฉะนั้นที่กำลังนั่ง ที่เข้าใจว่าเป็นเรา นี้เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมประเภทไหน
ผู้ฟัง ประเภทจริง
ท่านอาจารย์ ธรรมจริงทั้งนั้น แต่มี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเกิดขึ้นมีจริงๆ แข็งบ้าง หวานบ้าง
ผู้ฟัง ร้อนบ้าง
ท่านอาจารย์ เป็นกลิ่นต่างๆ บ้าง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แค่เกิดเป็นแข็งให้เป็นอื่นไม่ได้ แต่แข็งมีจริงๆ เป็นธรรมจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ เป็นรูปธรรม แต่สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลย เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้น และต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เช่นบอกว่าเห็น นี้เห็นหมายความว่า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะบอกว่าเห็นได้หรือไม่
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นสภาพที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องพูดอะไรเลยเพราะกำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย และมีสภาพเห็น ซึ่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่เห็น ไม่ใช่สภาพรู้แต่ว่าสภาพรู้เกิดขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่สีสันวัณณะต่างๆ รูปร่างสัณฐานต่างๆ แต่เป็นธาตุที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น รูปธรรมเป็นรูปธรรม รูปธรรมจะเปลี่ยนเป็นนามธรรมไม่ได้ประเภทหนึ่ง แต่ถ้ามีเพียงรูปธรรมเท่านั้น อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น เกิดขึ้นได้ยิน เกิดขึ้นคิดนึก เพราะฉะนั้นที่เห็น ที่ได้ยิน ที่คิดนั้นมีจริงๆ แต่เป็นนามธรรม เพราะไม่มีรูปร่างเลยทั้งสิ้น เกิดแล้วต้องรู้ อาจจะรู้ทางตาอาศัยตาเกิดขึ้นเห็น อาศัยหูเกิดขึ้นได้ยิน อาศัยจมูกเกิดขึ้นรู้กลิ่น อาศัยลิ้นเกิดขึ้นรู้รส อาศัยกายเดี๋ยวนี้รู้อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เพราะฉะนั้นสภาพรู้เป็นธรรมอย่างหนึ่งเป็นนามธรรม สภาพธรรมที่เกิดแต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม ค่อยๆ เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ นามธรรม รูปธรรม เพราะฉะนั้นที่เป็นคุณนวลปราง ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมหรือไม่
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ธรรมอะไร
ผู้ฟัง รูปธรรม
ท่านอาจารย์ เท่านั้นหรือ
ผู้ฟัง แล้วก็เป็นนามธรรมด้วย
ท่านอาจารย์ ทั้ง๒ อย่าง เริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่เรา เริ่มฟังแต่ละคำแล้วเข้าใจขึ้น และก็มั่นคงขึ้น ลืมไม่ได้เลย ถ้าไปสำนักปฏิบัติ เป็นเราใช่หรือไม่ที่ไป
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่รู้เรื่องรูปธรรมนามธรรมเลย เพราะฉะนั้นค้านกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่
ผู้ฟัง ค้าน
ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ซ้ำไปซ้ำมา เพื่ออะไร ไม่ใช่ต้องจำ แต่ไตร่ตรอง มั่นคงเข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เริ่มรู้เลยว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนี้ทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ฟัง คือปริยัติ แต่ว่าแค่ฟังไม่พอ เห็นหรือไม่ ฟังแล้วไม่พอ เข้าใจเล็กๆ น้อยๆ มั่นคงไม่พอ เพราะว่าถามแล้วงงบ้าง ใหม่จริงๆ ก็สับสนบ้างใช่หรือไม่
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วก็ยังมีอีกมาก แค่นี้นิดๆ หน่อยๆ ใช่หรือไม่ แต่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รอบรู้ในพระพุทธพจน์ อย่างคำว่าธรรม ถ้ารอบรู้จริงๆ ไม่เปลี่ยน อย่างไรๆ ก็ไม่เปลี่ยน สิ่งที่มีจริงนั้นคือเป็นธรรมอย่างหนึ่ง แต่ละ ๑ แต่ละ ๑แต่พอรวมกันก็ไม่รู้ แต่ถ้าแยกออกแล้ว ก็เป็นแต่ละ๑ ซึ่งไม่ปะปนกัน ขนมหวานหรือไม่
ผู้ฟัง หวาน
ท่านอาจารย์ ขนมแข็งหรือไม่ อ่อนหรือไม่
ผู้ฟัง แข็ง
ท่านอาจารย์ ขนมเย็นหรือไม่
ผู้ฟัง เย็น
ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ รวมกัน แล้วเราเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งคือขนม แต่ว่าถ้าแยกออกไป อ่อนหรือแข็งไม่ใช่หวาน ไม่ใช่เค็ม อ่อนเป็นอ่อน หวานเป็นหวาน เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ นี้เป็นธรรมซึ่งต้องเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นไม่ประจักษ์การเกิดดับ แล้วจะรู้จักนิพพานได้อย่างไร แค่ชื่อให้คนหลง พยายามไปถึงนิพพาน แต่ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร ความไม่รู้ถึงนิพพานไม่ได้ เพราะว่านิพพานหมายความถึงดับกิเลส กิเลสเกิดเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้จะนำไปสู่การดับกิเลสไม่ได้ ฟังเหนื่อยหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่เหนื่อย ดีเพราะเพิ่งใหม่จริงๆ เพิ่งเคยได้ฟังอย่างนี้ ส่วนมากจะฟังแบบทางโลกๆ
ท่านอาจารย์ แต่ตอนนี้โลกกับธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง คือความจริง
ท่านอาจารย์ ความจริงซึ่งที่เราใช้คำว่าโลก ก็คือธรรม
ผู้ฟัง ต้องกลับไปทบทวนอีกมาก
ท่านอาจารย์ หรือมิฉะนั้นได้ยินคำแต่ละคำ อย่าเพิ่งคิดว่าเข้าใจแล้ว
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ แค่ธรรมคือสิ่งที่มีจริงนั้นเข้าใจแล้วหรือ ถ้าถามต่อไปก็จะรู้ว่าเข้าใจจริงๆ หรือไม่ มั่นคงหรือไม่ ถ้ามั่นคงคือมีจริงแน่ๆ และก็ความจริงนั้นต้องต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือเป็นรูปธรรมไม่รู้อะไร อีกอย่างหนึ่งก็เป็นนามธรรมเกิดขึ้นต้องรู้ ตอนหลับรู้อะไรหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่รู้
ท่านอาจารย์ แต่มีจิตหรือไม่ มีธาตุรู้หรือไม่
ผู้ฟัง มีธาตุรู้
ท่านอาจารย์ ยังไม่ตายใช่หรือไม่
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแม้จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ก็หลากหลาย เกิดขึ้นเห็น เป็นจิตประเภทหนึ่ง อาศัยตาเกิดขึ้น ได้ยินเป็นจิตอีกประเภทหนึ่งไม่ใช่จิตที่เห็นแล้วมาได้ยิน ต่างกันแล้ว สภาพที่ทำให้เกิดเห็นก็ไม่ใช่สภาพธรรมที่ทำให้เกิดได้ยิน ขณะที่กำลังคิดนึกไม่ต้องอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่สภาพที่จำทุกอย่างไว้เป็นปัจจัยให้คิดถึงสิ่งที่ได้จำไว้ โดยไม่ต้องอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต่างกันแล้ว แล้วสภาพธรรมซึ่งมีจริงเกิดดับ แต่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกเลยก็มี ขณะที่นอนหลับสนิท ไม่ได้ตาย เพราะยังมีธาตุรู้เกิดดับ แต่ขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก มีหรือไม่
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ นั่นคือเริ่มเข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรม ธาตุรู้อีกชนิดหนึ่งซึ่งสามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้โดยไม่ต้องอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น ในขณะที่เกิดขณะแรก ถ้าไม่มีธาตุรู้คือไม่มีจิต จะไม่มีสิ่งที่มีชีวิต รูปเกิดได้ เป็นเนื้องอก งอกขึ้นมาได้ แต่เนื้องอกไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นต้องแยกกันโดยสิ้นเชิง เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ไม่ว่าจะเป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นนามธรรม หรือเป็นสภาพซึ่งไม่รู้อะไร นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้มีความเข้าใจถูกตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อะไร ก็ตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ แต่มีจริงๆ ทุกขณะ
ผู้ฟัง ปัจจุบันนี้มีการประยุกต์ใช้พุทธศาสนา เรื่องการประกอบอาชีพต่างๆ การพัฒนาบุคคล การพัฒนาองค์กร อะไรมากมาย ก็เกิดความสงสัยว่าจริงๆ แล้วตรงนี้เกิดประโยชน์กับพุทธศาสนิกชน หรือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือเผยแพร่ความเข้าใจผิด หรือว่าเป็นโทษอย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมนั้นๆ ประโยชน์ก็คือว่าทำให้มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นจะไปอาศัยอ้างอิงประยุกต์เพื่อเหตุอื่นไม่ได้ เพราะเหตุว่าเหตุอื่นๆ ก็มีที่จะทำให้เขาได้รับประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่การเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่จะกล่าวว่าพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงพระพุทธศาสนาก็คิดว่าเมื่อไรก็ตาม คำใดก็ตามที่ได้ฟังแล้วมีความเข้าใจถูก แล้วรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น นั่นจึงจะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จะใช้คำนี้ไปอ้างเพื่อเหตุอื่นแต่ไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่ควรที่จะใช้คำว่าพระพุทธศาสนา หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงจะมีวิชาการก้าวหน้าสักเท่าไร จะไปเลียนแบบประเทศโน้นประเทศนี้สักเท่าไร เอามาช่วยกันสร้างสรรค์ คิดสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นคนชั่วมีประโยชน์หรือไม่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเพราะไม่ได้เข้าใจความจริง ก็เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาจะเอื้ออำนวยต่อการที่จะให้มีความคิดสร้างสรรค์ มีอะไรต่างๆ แต่อย่างนั้นเป็นคนดีหรือไม่ หรือว่าเป็นคนชั่วที่คิด แต่ฉลาดมากที่จะคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าอยู่ที่ว่าความสามารถในการทำการงาน แต่ต้องอยู่ที่สภาพลักษณะของธรรม ซึ่งเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนดีทำอย่างนั้นก็ได้ เก่งกว่าที่คิดก็ได้ แล้วก็เป็นคนดี แต่ว่าเก่งอย่างไรก็ตาม แต่ว่าเป็นคนชั่วทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพื่อทำลายโลกก็ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วคำสอนก็คือว่าให้เข้าใจความจริง ว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แม้แต่ที่เข้าใจว่าเป็นคนนั้นคนนี้ มีความสามารถอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดก็ต้องจากโลกนี้ไป แล้วใครจะรู้ว่า จะไปเป็นอะไรต่อไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด คือการสามารถต่างๆ ที่จะทำสิ่งต่างๆ เลียนแบบประเทศนั้นประเทศนี้ และเอามารวมกันให้ยิ่งกว่านั้นอีกก็ไร้ประโยชน์ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เมื่อมีสิ่งนั้นแล้วดีอย่างไร หรือว่าติดข้องมากแค่ไหน หรือว่าเมื่อทำแล้วเกิดความสำคัญตน แล้วก็สามารถที่จะใช้วิธีการทุจริต ซึ่งไม่ใช่สุจริต ในการที่จะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นพระธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องของการที่จะไปสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยไม่รู้ไม่เข้าใจความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วคนดีที่มีความรู้ความสามารถ ก็ใช้ความรู้ความสามารถไปในทางที่ดี แต่ว่าถ้าเป็นคนไม่ดี ถึงแม้จะมีความรู้ความสามารถเท่าไรก็ใช้ไปในทางที่ไม่ดีซึ่งต้องไม่มีประโยชน์แน่นอน
ผู้ฟัง คนที่อยู่กับสื่อแล้วไม่เข้าใจคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็ให้ความรู้อะไรที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ก็ยิ่งทำให้เกิดความไขว้เขวกันมากขึ้น ซึ่งในสังคมไทยก็ไขว้เขวกันจนงงกันไปหมดแล้ว ว่าตกลงอะไรเป็นอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นแต่ละคนที่เห็นคุณประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจพระธรรมถูกต้อง แล้วก็เริ่มศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และในขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้ที่มีเมตตากับผู้ที่ไม่รู้หรือว่าเข้าใจผิด โดยการที่ชี้แจงสิ่งที่ถูกต้อง เช่น เราพูดเรื่องของสำนักปฏิบัติ ให้เป็นที่เข้าใจให้ถูกต้อง เรื่องของการเชียร์ฟุตบอลไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย เพราะเหตุว่าถ้าจะถามผู้ที่บวชจะต้องรู้ว่าบวชเพื่ออะไร และเมื่อบวชแล้วทำอะไร บวชแล้วก็คือว่า ก่อนบวชต้องรู้ว่าเพื่อจะได้เข้าใจพระธรรม โดยการที่สามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ซึ่งเป็นชีวิตที่สะอาดตั้งแต่ตื่นจนหลับเพราะเห็นคุณค่าของพระธรรม ไม่มีสิ่งอื่นที่จะยิ่งกว่าลาภยศทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เคยมี ไม่เท่ากับการสละหมดเพื่อประโยชน์ต่อการที่จะได้เข้าใจธรรมมากกว่าเพศของคฤหัสถ์ และเพราะเหตุว่าเมื่อได้เข้าใจพระธรรมแล้วก็รู้การขัดเกลากิเลสเพราะปัญญาที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ด้วยเหตุนี้จึงสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง เพราะทรงรู้ว่าข้อใดความประเภทใด ที่จะทำให้ภิกษุอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก ขัดเกลากิเลส ถึงการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม นั่นเป็นพระภิกษุในธรรมวินัยคือมีกิจ ๒ อย่าง คือศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นถ้าถามผู้ที่บวช ว่าบวชทำไม ก็ต้องตรงจุดประสงค์ มิเช่นนั้นแล้วก็เป็นคฤหัสถ์ก็ฟังธรรมได้ไม่ต้องบวช และเมื่อบวชแล้วนั้นรักษาพระวินัยตามที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเพื่ออะไร ต้องเพื่อการขัดเกลากิเลส เพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย
เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่จะเข้าใจได้จากการที่ได้เข้าใจถูกต้อง โดยการศึกษาธรรม เห็นคุณของพระธรรมว่า เพราะธรรม ความเข้าใจนี้เองนำไปสู่การที่จะเห็นคุณของการประพฤติปฏิบัติตาม พระวินัย สิ่งใดที่ถูกต้องก็ต้องประพฤติตาม ไม่ใช่ไปทำสิ่งที่ผิดๆ และอ้างว่าพระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงบัญญัติ เรื่องคอมพิวเตอร์ เรื่องเกม เรื่องอะไรต่างๆ แต่ว่าต้องไม่ลืมจุดประสงค์ของการสละเพศคฤหัสถ์ ซึ่งมากไปด้วยความสนุกสนาน บันเทิงต่างๆ วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ เพราะเห็นว่าไร้ประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เท่ากับการที่จะได้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าเพื่อเข้าใจพระธรรม และประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส ตามพระวินัย มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรม ในเพศบรรพชิต เมื่อไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพราะฉะนั้นก็รู้ได้เลยสิ่งที่ถูกต้องถูก การกล่าวคำจริง เป็นการกล่าวเพื่ออนุเคราะห์ ให้คนที่ไม่รู้ ได้เข้าใจถูกต้อง ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เพื่อที่จะได้ไม่ประพฤติในทางที่ไม่ควร
ผู้ฟัง วันนั้นมีข่าวก็ไปสัมภาษณ์พระรูปหนึ่ง ไปเชียร์ฟุตบอลอยู่ข้างสนาม นักข่าวก็ถามว่าตกลงท่านมาทำอะไร พระท่านก็บอกว่าอาตมาไปทำอคาเดมีไว้แถวทางภาคเหนือ สร้างกิจกรรมให้เด็กๆ กลับมาเป็นคนดีจากการใช้กีฬา ตอนนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ
ท่านอาจารย์ หน้าที่ของคฤหัสถ์ หน้าที่ของพระภิกษุคือ ศึกษาพระธรรมวินัย และก็รักษาพระวินัย ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท ไม่ใช่เป็นผู้ตามพุทธบริษัทว่า พุทธบริษัทต้องการอะไรก็ทำอย่างนั้น ในสมัยพุทธกาล ไม่มีผ้ายันต์ ไม่มีสิ่งที่มีในสมัยนี้ เพราะอะไร เพราะบุคคลในครั้งโน้นเห็นประโยชน์ของการที่จะเป็นพระภิกษุในธรรมวินัยซึ่งต่างกับคฤหัสถ์ แต่ถ้าประพฤติอย่างคฤหัสถ์ บวชทำไม ต้องเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ ละอายใจ
ผู้ฟัง ต้องให้เขาละอายเอง
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
ผู้ฟัง ตอนนี้มีหลายเรื่องจริงๆ ทั้งนั้นเลย พระทั้งนั้น พระเล่นตลกๆ แสดงหนัง มากมาย เราเป็นชาวพุทธดูแล้วไม่สบายใจ
อ.กุลวิไล คฤหัสถ์ถ้าไม่ได้ศึกษา ก็คิดว่าพระภิกษุท่านทำถูกต้องแล้ว เห็นท่านศึกษาพระธรรม แต่ท่านอาจจะมีความเห็นผิด แล้วก็ประพฤติปฏิบัติผิดด้วย ก็ยังคิดว่าเป็นทางที่ถูก เพราะฉะนั้นขาดความเข้าใจธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่พึ่งคนอื่น มีตนเองเป็นที่พึ่งโดยเข้าใจพระธรรมมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จึงจะพึ่งได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่อาศัยไหว้วานพึ่งคนอื่น ด้วยเหตุนี้ไม่เกี่ยงให้คนอื่นศึกษาธรรม แต่ๆ ละคนเมื่อเห็นประโยชน์แล้วก็ศึกษา ถ้าเป็นอย่างนี้ทั้งประเทศก็ศึกษาธรรม ไม่ใช่พูดว่าพุทธศาสนาดีมาก แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง แล้วให้คนอื่นเขาศึกษา ให้เด็กๆ ศึกษา แต่ตัวเองก็ไม่ได้ศึกษา อย่างนั้นเป็นผู้ที่ไม่ตรง ไม่จริงใจ แต่ถ้ารู้ว่าสิ่งใดประเสริฐ เห็นค่าจริงๆ เพราะฉะนั้นทั้งชีวิตนี้ควรจะเป็นอย่างไร เพื่ออะไร เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก็แสนยากใช่หรือไม่ แล้วจะเป็นพระภิกษุที่ดีจะยากกว่าสักแค่ไหน และถ้าไม่เป็นพระภิกษุที่ดีก็เป็นโทษแก่ตนเอง เป็นโทษที่หนักมาก เพราะเหตุว่านอกจากตนเอง จะทำลายประโยชน์ของตน แล้วก็เมื่อสิ้นชีวิตจากโลกนี้ไปแล้ว โทษหนักที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพูดคำที่ไม่จริง มุสาวาท เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับ พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สภาพธรรมเป็นธรรมไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่สอนให้ทำ สอนให้เป็นตัวตน สอนทุกอย่างที่จะให้ติดข้อง ไม่ใช่เป็นการละกิเลส เพราะฉะนั้นก็ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โทษต้องหนักมาก ด้วยเหตุนี้เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก่อน ถ้ารู้สึกตัวว่า ไม่สามารถที่จะเป็นพระภิกษุที่ดีได้ ลาสิกขาบทได้ แล้วก็ศึกษาพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นดิฉันเคยกล่าวว่าใครก็ตามที่ลาสิกขาเพราะไม่สามารถจะเป็นพระภิกษุที่ดีได้ ดิฉันดีใจ และขออนุโมทนาด้วย
อ.คำปั่น ถ้ามีความประสงค์ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจความจริง ก็สามารถที่จะเริ่มต้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใดก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละบุคคล ว่าจะเห็นคุณของพระธรรม เห็นคุณของความเข้าใจความจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าถ้าหากว่าบวชเป็นพระภิกษุเป็นบรรพชิต แต่ว่ามีความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควรก็มีโทษมาก การเกิดในนรก การเกิดในอบายภูมิรออยู่แล้วสำหรับพระภิกษุที่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ซึ่งผู้ที่เข้าใจความจริง เป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมก็รู้ได้เลยว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นไม่ใช่กิจของพระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่ภิกษุที่ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เพราะว่าไม่ได้มีการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่มีการขัดเกลากิเลส แต่ว่าพฤติกรรมที่ท่านทำนั้นตรงข้ามกัน เป็นการบิดเบือนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการล่วงละเมิดสิกขาบทต่างๆ และที่สำคัญพอกพูนสะสมหมักหมม ในสิ่งที่เป็นโทษให้กับตนเองไว้มากมาย ซึ่งท่านไม่รู้ตัวว่าท่านกำลังทำทาง ให้ตัวของท่านเองไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นบุคคลที่น่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะว่าไม่ได้คล้อยตามพระธรรมวินัย ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ มีแต่โทษโดยส่วนเดียวจริงๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 920
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960