ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934


    ตอนที่ ๙๓๔

    สนทนาธรรม ที่ คุ้มภูผาหมอก จ.เลย

    วันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ถ้ายังคงเป็นเรา ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็จะเข้าใจ อย่างนั้นอย่างนี้ ก็คือปฏิเสธคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นเข้าใจเมื่อไหร่เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากได้แล้วไปปฏิบัตินั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชาติ

    ผู้ฟัง อีกคำถามหนึ่ง ถ้าจะพูดกันว่าสิ่งที่ดิฉันไปฟังมากับท่านอาจารย์สุจินต์นี่ จะรู้ได้อย่างไรว่าอันนี้ถูก แล้วสิ่งที่เขาฟังผิด เขาก็บอกว่ามาจากพระไตรปิฏกซึ่งเป็นพุทธวัจนะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ต้องศึกษาอย่างละเอียด แม้คำเดียวว่าธรรม จะเป็นพระพุทธพจน์ หรือไม่ใช่พระพุทธพจน์ไม่ต้องคำนึงถึงเลยแต่ว่าธรรมคืออะไร นี่คือความเข้าใจ แล้วจะรู้ได้ว่าความเข้าใจนี้มาจากใคร ท่านพระสารีบุตรเข้าใจธรรมไหม คำของท่านพระสารีบุตรจริง หรือเปล่า ทำให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงความเป็นพระโสดาบัน แล้วท่านพระสารีบุตรเป็นใคร พูดแล้วไม่ต้องเชื่อ เชื่อแต่พระพุทธพจน์หรือ เพราะเขาไม่รู้ว่าพุทธพจน์คืออะไร พุทธะคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธวัจนะก็คือคำของพระองค์ พระองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดที่พูดความจริงถูกต้อง ผู้นั้นพูดคำของเราทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำจริงไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง ท่านพระสารีบุตร พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งหมด พูดคำที่จริงทุกคำ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพูดความจริงอย่างนั้นได้ไหม เพราะฉะนั้นก็รู้ได้เลยว่าคำจริงทั้งหมดที่ถูกต้องเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ชัดเจน มิเช่นนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ถ้าสิ่งนั้นไม่มี และอะไรมีจริงเดี๋ยวนี้ เห็นมีจริงๆ เมื่อเห็นมีจริง เห็น ธรรมเป็นธรรม หรือเปล่า แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของเห็นหรือเปล่า ทรงประกาศความจริงของเห็นหรือเปล่าว่าเห็นเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้าฟังอย่างนี้แล้วก็รู้ได้เลย ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นคำใดก็ตามที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจถูก ผู้นั้นได้ฟังคำนั้นแล้วเข้าใจ จึงสามารถที่จะพูดความจริงของสิ่งนั้นได้ ไม่ใช่ปฏิเสธต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัส แต่ว่าใครก็ตามที่พูดคำจริง ความจริง เพราะได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูด ทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง แล้วเราจะทราบได้อย่างไร ว่าเป็นคำของพระพุทธเจ้า ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร หาได้ไหม ใช้คำว่าตรัส ไม่ใช่แค่รู้ แค่เข้าใจ แต่ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของอะไร เพราะฉะนั้นข้อคิดก็คือว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ถ้าไม่รู้คำนี้ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แค่คำเดียวต้องรู้ทีละคำ ทีละคำ อย่างมั่นคง ใครก็ช่วยใครไม่ได้ ต่างคนก็ต่างสะสมมาที่จะพิจารณาว่าอะไรถูก อะไรตรง อะไรจริง อะไรผิด อะไรไม่ถูก อะไรไม่ตรง เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรง แล้วก็เป็นคำจริงซึ่งไม่ค้านกันเลย ทุกคำสอดคล้องกันหมดแม้แต่คำว่าอนัตตา ก็ไม่ใช่ให้ใครไปทำอะไร ถ้าให้ใครไปทำอะไร ไม่เข้าใจอะไรเลย ยิ่งส่งเสริมความเป็นเราที่จะทำ นั่นเป็นคำสอนของคนที่ไม่ใช่ผู้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นที่จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไรก็คิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร เพราะทุกคนก็บอกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้นทรงตรัสรู้อะไรที่เป็นความจริง แล้วจะตั้งต้นอย่างไร ตั้งต้นด้วยการเชื่อคำของคนอื่นแต่ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงด้วย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงไหม มีอะไรเป็นสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง อยา่งเห็น ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังธรรม เรารู้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทราบเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าเห็นเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่เรา เพราะว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา คำนี้ปฏิเสธไม่ได้เลย อนัตตาหมายความว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจคำนี้ฟังต่อไป ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่เราได้ยิน แต่ธรรมเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ส่วนธรรมที่ได้ยินก็ไม่ใช่ธรรมที่เห็น แต่เป็นสิ่งที่มีจริง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็ปรากฏ ไม่รวมกันให้เข้าใจหลงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะความจริงกำลังเกิดดับสืบต่อตลอดเวลา นี่เป็นคำที่เป็นคำจริงหรือเปล่า พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าอริยสัจ ๔ คืออะไร ทุกคำสอดคล้องกันหมด ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น เพื่อให้ปฏิปัตติ ปัญญาอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้น สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทีละหนึ่งตรงตามความเป็นจริงได้ เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งจากปริยติ เป็นปฏิปัตติอบรมจนกว่าจะแทงตลอดว่าสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟังทั้งหมด ไม่มีเรา เป็นธรรมทั้งหมด นี่ต่างกับคำของคนอื่นใช่ไหม คำคนอื่นให้ทำ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธเจ้าให้เข้าใจถูก เป็นปัญญาของผู้ฟังเอง เป็นมรดกที่ล้ำค่า เพราะว่าเราไม่มีปัญญาเองแน่ๆ ใช่ไหม มาจากใคร มาจากคำของพระสัมมาสัมพุทธจ้า เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเข้าใจเริ่มเกิดแล้วก็ค่อยๆ อบรมไป จนสามารถที่จะดับกิเลสได้ พอที่จะเห็นความต่างหรือยัง

    ผู้ฟัง พอที่จะเห็นความต่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นรู้ได้ว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ให้เกิดปัญญาจะไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าคิดพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนให้คนโง่หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธจะสอนให้คนไม่เข้าใจหรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนให้คนติดข้องหรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงสอนให้คนรู้ความจริงของสิ่งซึ่งกำลังปรากฏหรือ ชัดเจนอยู่แล้วว่าคำสอนของพระองค์เพื่อให้คนที่ได้ฟังมีความเข้าใจเป็นของตัวเองที่เกิดขึ้นจากการที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย

    ผู้ฟัง อย่างกรณีที่คนเจ็บ หรือว่าคนป่วยใกล้จะสิ้นชีวิต ถ้าสมมติว่าเขาไม่เคยฟังพระธรรมเลย หรือว่าเคยฟังมาบ้างแต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิตเขาค่อนข้างว้าวุ่น ถ้าเราเอาพระธรรมไปเปิดให้ฟังไม่ทราบว่าผู้ป่วยจะสามารถรับรู้ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ที่บ้านมีกี่คน

    ผู้ฟัง คนเดียว

    ท่านอาจารย์ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เขาฟังธรรมหรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงตอนตาย ตอนเป็น

    ผู้ฟัง ตอนเป็นเขาก็ฟังอย่างอื่นๆ ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นเนกขัมมะเราหรือเปล่า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพิธีกรรมต่างๆ อะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังด้วยความเคารพตั้งแต่เริ่ม ไม่ใช่ไปฟังกลางๆ ไม่ได้ไปฟังเพราะอยาก ไม่ใช่ไปฟังเพราะคิดจะช่วยคนอื่นให้เกิดความเข้าใจ ถ้าเราช่วยเขาตอนนั้นได้ เราช่วยคนที่อยู่ขณะนี้ยังไม่ตายได้ ให้เขาสนใจใช่ไหม แต่เราช่วยได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ฉันใดคนจะตายหรือไม่ตายก็ฉันนั้น

    ผู้ฟัง อย่างนั้นก็แสดงว่าที่เอาเทป หรือว่านิมนต์พระไป นี่คือก็ไม่สามารถที่จะได้ผลเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ รู้จิตคนอื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถ้าว่าเราไม่รู้เลย จะเป็นโอกาสที่เขาจะได้เข้าใจไหม แต่ว่าดูพฤติกรรมระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ว่าเขาเข้าใจ หรือไม่เข้าใจธรรม ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยง่ายเลย ใครจะตายก็ไปเอาธรรมไปเปิดให้ แต่ตอนเป็นไม่ฟังเลย แล้วตอนตายจะฟังหรือ

    ผู้ฟัง อย่างกรณีที่เป็นอนุสัย ที่ดิฉันเรียนท่านอาจารย์ไปเมื่อสักครู่จริงๆ แล้วก็ไม่สามารถที่จะขจัดออกจากจิตเราได้ แล้วเวลาที่เราสะสมอะไรมาเยอะๆ ตั้งแต่เด็กมาอะไรอย่างนี้ในเรื่องที่ไม่ดีต่างๆ อยู่ๆ บางทีก็ลอยขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ ฉะนั้นความเป็นอนัตตาก็ไม่เห็น ใช่ไหม เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ เหมือนได้ยินเดี๋ยวนี้ก็มีปัจจัยเกิด แม้ขณะนั้นก็มีอะไรเกิดก็ไม่รู้ ยังคงเป็นเราสงสัยว่าอยู่ดีๆ ไม่ใช่ ต้องมีปัจจัยให้ต้องมีปัจจัย

    ผู้ฟัง คือเป็นเพราะเราคิดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ธรรมนี่ไม่ใช่ฟังเพื่อที่เราจะไปเข้าใจเฉพาะตอนที่เราต้องการเข้าใจ ยังมีความเป็นเราที่อยากจะเข้าใจ แต่ต้องฟังเพื่อละความไม่ใช่เราทั้งหมด เพราะฉะนั้นเห็นก็เป็นเรา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรา คิดก็เป็นเราทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นต้องศึกษาทั่ว ตั้งแต่ต้นตามลำดับ

    ผู้ฟัง แล้วอย่างคำว่าสติ ที่จะต้องให้เกิดอยู่เสมอ หรือว่าบ่อยๆ อะไร หมายความว่าอะไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้จักสติ หรือว่ารู้จักสติแล้ว

    ผู้ฟัง ก็อย่างที่เขาต้องกัน

    ท่านอาจารย์ ก็เขาพูดกัน ใครจะพูดอย่างไร ก็พูดได้ทั้งหมด แต่เราจะพูดอย่างนั้นไหม จะทำอย่างนั้นไหม เพราะเราไม่ได้เข้าใจอย่างอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทุกคำต้องเข้าใจ แม้แต่คำว่าสติ เพราะฉะนั้นอย่างหนึ่งซึ่งทุกคนไม่รู้ก็คือว่าตั้งแต่เกิดพูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ยังคงพูดคำที่ไม่รู้จักไปจนตาย แม้แต่สติก็พูดกันมานานมากใช่ไหม แต่ว่าสติจริงๆ คืออะไร ยังไม่รู้จักเลย แต่ก็พูดล่ะเรียกแล้วว่าสติ เพราะฉะนั้นควรจะต้องรู้จักให้ถูกต้องไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องสติว่าอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เราคิดเอง เพราะฉะนั้นก่อนอื่น คำถามที่ถูกต้องที่สุดคือไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไร เริ่มต้นด้วยคำว่าคืออะไรก่อน เราจะได้พูดถึงคำนั้นให้ละเอียดขึ้น เข้าใจยิ่งขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ตั้งต้นว่าคืออะไรเราก็พูดคำอะไรที่เราไม่รู้จักเหมือนเดิม แล้วก็คิดไปต่างๆ นานา

    ผู้ฟัง ก็อยากให้ท่านอาจารย์อธิบายเลยได้ไหมว่า สติคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีอยู่จริง และกำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ สติเป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมประเภทไหน เห็นไหมถามอะไรก็จะตอบไม่ได้เลยเพราะไม่ไปตามลำดับ เวลานี้มีจิตไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แล้วจิตเป็นอย่างไร เห็นไหมถ้าไม่ได้ฟังธรรมจะรู้ไหม ไม่รู้เลย บอกได้แค่ว่ายังไม่ตายก็มีจิต และมีวิญญาณด้วยไหม

    ผู้ฟัง คือการรับรู้ก็มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีจิต มีวิญญาณใช่ไหม แล้วต่างกัน หรือเปล่า จิตกับวิญญาณ

    ผู้ฟัง จิตในความคิด ก็คือการรับรู้ วิญญาณคือการรับรู้

    ท่านอาจารย์ เหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง น่าจะเหมือน

    ท่านอาจารย์ น่าจะ ไม่มีเลยถ้าศึกษา ถ้ากล่าวว่าจิตมีหลายประเภทถูกต้องไหม และทำไมถึงจิตหลากหลายเป็นต่างๆ นานาเพราะอะไรต้องมีเหตุ ทั้งๆ ที่จิตเป็นธาตุรู้ แต่ก็มีจิตหลายประเภทไม่ใช่ประเภทเดียว แล้วก็ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตแต่ละขณะที่เกิด แล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง เพราะฉะนั้นตั้งต้นใหม่ดีไหม

    ผู้ฟัง ดี

    ท่านอาจารย์ คือเริ่มฟังธรรมทีละคำ แล้วก็เข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง และแต่ละคำก็จะสอดคล้องกันทั้งหมด แล้วจะรู้ด้วยว่าสติคืออะไร สติเป็นจิตรึเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ นี่เห็นไหม นี่ก็ไม่ถูกแล้วไม่ถูกทั้งนั้น เพราะไม่ได้สอนให้เข้าใจ ไม่ได้บอกให้เข้าใจ ไม่ได้กล่าวคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ถ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อให้คนที่ได้ฟังเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็บอกว่าจิตกับสติเป็นอย่างเดียวกัน แต่ความจริงไม่ใช่ นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง จิตมีจริงๆ หรือเปล่า เป็นเราหรือเปล่า แม้แต่จิตเป็นเราหรือเปล่า ต้องไปปฏิบัติอะไรที่จะรู้ว่าจิตไม่ใช่เรา หรือว่าฟังพระธรรมค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปฏิบัติอย่างไรถึงจะรู้ว่าจิตไม่ใช่เรา ในเมื่อตัวเราไปทำเพื่อที่จะรู้ ก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะจิตไม่ใช่ปัญญา จิตไม่ใช่สติ สติไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดที่มีเดี๋ยวนี้ไม่รู้เลย ถูกปิดบังไว้ด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ที่มากมายมหาศาล แล้วขณะนี้กำลังมีสภาพธรรมปรากฏความไม่รู้นั้นจะเปลี่ยนเป็นความรู้ได้อย่างไร จนกว่าจะได้ฟัง แล้วมีความเข้าใจขึ้น ก็ทำให้ความไม่รู้ค่อยๆ ลดน้อยลงไป เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเลย ไม่ใช่ว่าเราต้องไปนั่งทำอะไร แต่ต้องเป็นปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ที่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีตามปกติ

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ นั่นคือสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักพระองค์แค่ไหน รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน

    ผู้ฟัง ถ้าถาม ตอนนี้ก็เหมือนจะไม่รู้เลย เหมือนได้ชื่อแต่พูดอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ ใช่ เห็นไหมถ้าสมมติว่าไม่ได้ฟังเลยนี่ไม่มีทาง ได้แต่กราบไหว้ นโมตัสสะ ภะคะวะโต แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ที่ตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง และให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ละคลายความเป็นตัวตน ละคลายกิเลส จนกว่าจะประจักษ์แจ้งว่า ทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริง นั่นคือปฏิเวธ เพราะปัญญาที่จะเกิด ก็เหมือนอย่างอื่น ต้องตามลำดับ ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะฉะนั้นจากไม่รู้อะไรเลย แล้วไปนั่งทำอะไร เพราะฉะนั้นรู้ได้เลยว่านั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะไปรู้อะไร ได้ยินแต่บอกให้ทำ ไม่ให้เข้าใจ

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้คุณสมุยเขาก็ถามแล้ว ท่านอาจารย์จะไม่กรุณาธิบายว่าจิต วิญญาณเป็นสภาพธรรมเดียวกัน แต่ท่านใช้ชื่อต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจตามลำดับ ไม่ใช่ว่าพอถามเรื่องสติ ถามเรื่องปัญญา ถามเรื่องจิต อะไรก็พูดไป แต่ว่าตามลำดับตั้งแต่ต้น ไม่มีเราแต่มีธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมีลักษณะที่ต่างกัน ใช่ไหม อย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แข็ง เสียง กลิ่น มีแต่ไม่รู้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ซึ่งมีจริงๆ เป็นธรรม แม้แต่คำนี่ก็ยากแสนยากที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่มีจริงๆ เป็นธาตุ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วรู้ ไม่รู้ไม่ได้ นี่คือกำลังจะเปิดสิ่งที่ถูกปิด หงายของที่คว่ำ เพราะเวลานี้ทุกคนกำลังมีจิตแน่นอนทุกขณะ แต่ไม่รู้ถึงจิต รู้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นต้นไม้ เป็นดอกไม้ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงค่อยๆ เข้าใจธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เป็นปรมัตถธรรม เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของธรรมนั้นได้เลย เปลี่ยนแข็งให้เป็นหวานก็ไม่ได้ เปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยินก็ไม่ได้ เปลี่ยนโกรธซึ่งเกิดแล้วดับ ให้เป็นไม่โกรธก็ไม่ได้ เพราะเกิดแล้วดับแล้ว ค่อยๆ ถึงความหมายของคำว่าธรรม แล้วถึงจะค่อยๆ รู้ว่าธรรมหลากหลายอย่างไร ต่างกันอย่างไร เพราะแม้แต่คำว่าธาตุ รู้สภาพรู้ ได้ยิน เดี๋ยวนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น แต่อวิชชาปิดบัง ไม่ให้เข้าใจตัวธรรมซึ่งเกิดขึ้นรู้แล้วดับ แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะมีธาตุรู้ทั้งนั้น เกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็น ใบตอง ต้นกล้วย ภูเขาทั้งหมดนี้ถ้าไม่มีธาตุรู้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่มี ปรากฏไม่ได้

    ผู้ฟัง อันนี้คือจิตใช่ไหม อาจารย์ ที่เป็นสภาพรู้

    ท่านอาจารย์ ยังไม่บอก บอกแต่ว่าสิ่งที่มีจริงใช่ไหม เป็นธรรมมั่นคงหรือยัง ว่ามีจริงๆ

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ในภาษาไทยเราใช้คำว่ามีจริง แต่ภาษาบาลีไม่มีคำว่ามีจริง เขาไม่พูดคำนี้กัน แต่เขาพูดคำว่าธรรม เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดที่ยังไม่เข้าใจว่าธรรม ธรรมดา ธรรมดา เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ธรรมดามาจากคำว่าธรรมตา ภาษาบาลี ไม่ใช้ตัว ด เด็ก แต่ใช้ตัว ต เต่า หมายความถึงความเป็นไปของธรรม คือธรรมทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นไปอย่างทุกวัน ทุกวันนี้ แต่เราไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมอะไร ต้องมีความเข้าใจมั่นคงว่า ธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่บอกว่าจิตไม่ใช่เราเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ นั่นคือฟังแต่ว่าเดี๋ยวนี้ มีธาตุรู้ ไม่ใช่ธาตุที่ไม่รู้อะไร มี ๒ อย่างเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นธาตุที่มีจริง อย่างแข็ง เปลี่ยนแข็งให้เป็นอย่างอื่นบ้างไหม แล้วใครรู้ว่า แค่ทันทีที่แข็งปรากฏ ดับแล้ว ใครจะรู้ นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้ใครไปทำให้รู้อย่างนี้ แต่ต้องเข้าใจขึ้น ละคลายความไม่รู้ ละคลายความติดข้องว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกระทั่งถึงเวลาที่สภาพธรรมจะปรากฎ และการฟังเข้าใจ สภาพธรรมจึงจะปรากฏ เพราะว่าอวิชชาที่กั้นมานานมากในแสนโกฎกัลป์ ค่อยๆ น้อยลงไป พอที่สามารถจะเข้าใจได้ โดยหวังไม่ได้เลยว่าเมื่อไหร่ แต่ว่าเดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกำลังฟังคำที่กล่าวถึงความจริงที่มีจริง ทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งเข้าใจว่าธรรมคืออะไรก่อน มั่นคงหรือยัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเกิดมานี้เป็นธรรมทั้งหมดเลย สิ่งที่มีจริงทั้งหมด จำมีไหม เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมที่รู้ หรือไม่รู้

    ผู้ฟัง ถ้ามีสภาพรู้ ก็น่าจะ

    ท่านอาจารย์ น่าจะ คือคิดเอง แต่ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง แล้วมั่นคงจำมีไหม

    ผู้ฟัง จำมี

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ นะ คือธรรม ที่เราพูดถึงธรรม คือพูดถึงตัว ธรรมจริงๆ ไม่ได้พูดถึงใคร เพราะฉะนั้นจำมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มีแน่ๆ ใครไปทำให้จำเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่จำ มีหมายความว่า จำเกิด ถ้าไม่เกิด ไม่มีใช่ไหมจำเป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ถึงเป็นธรรม

    ผู้ฟัง มีอยู่จริง

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้ว ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แล้วกี่ครั้งกี่คำที่เราจะได้ฟังคำนี้ ถ้าเรามัวไปปฏิบัติ ไปนั่งที่โน่น ไปทำที่นี่ไม่มีโอกาสจะเข้าใจเลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เราเกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องตามลำดับขั้น ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจในเบื้องต้น ไปนั่งทำอะไร ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม มีจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่หลากหลายมาก แต่ว่าต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ สภาพธรรมที่ไม่รู้เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไร

    ผู้ฟัง อะไรที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เห็นไหมว่าเราจะฟังจริงๆ แล้วค่อยๆ เข้าใจ เพราะฉะนั้นคนที่รีบร้อน เหมือนจะรู้แต่ไม่เข้าใจ ความเข้าใจนี่ยากมาก ทุกคำลึกซึ้ง และละเอียด ฟังใหม่ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริงๆ ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดจะมีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี แต่เมื่อเกิดแล้ว ไม่มีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เพราะเกิดแล้วจึงมีจริงๆ สิ่งที่มีจริงใครไปเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจธรรมว่า ไม่ใช่อะไรเลย ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เป็นแต่ละหนึ่งธรรม ซึ่งมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น เป็นแต่ละหนึ่ง แล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย เมื่อวานนี้หมดแล้ว เมื่อวานนี้ไปไหนมาบ้าง

    ผู้ฟัง ก็เป็นอดีตหมดแล้ว ผ่านไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ผ่านไปแล้ว แต่ไปแล้วใช่ไหม เมื่อวานนี้

    ผู้ฟัง ไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ กลับมาอีกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้สักขณะเดียว นี่คือความจริงของธรรม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ดับไปนี้ต้องเข้าใจเลยไม่มีวันกลับมา จึงใช้คำว่าดับไป เป็นธรรมดาไหม

    ผู้ฟัง เป็นธรรมดา

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดา เพราะฉันเดี๋ยวนี้มีธรรมอะไรไม่ใช่สภาพที่รู้

    ผู้ฟัง ก็อย่างโต๊ะ อาคาร ไมโครโฟน

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมนี่ยังไม่ถึงตัวธรรม นี่เราเรียกชื่อ แต่ตัวธรรมแม้ไม่มีชื่อ แต่ใครเปลี่ยนลักษณะของธรรมนี้ไม่ได้ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย ภาษาจีนจะเรียกอะไร ภาษาไทยจะเรียก อะไรภาษาญี่ปุ่นจะเรียกอะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567