ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905


    ตอนที่ ๙๐๕

    สนทนาธรรม ที่ ชลพฤกษ์รีสอร์ท จ.นครนายก

    วันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดแล้วถึงจะได้รู้ว่า มีกายเพื่ออะไร ผลของกรรมอยู่ตรงไหน อยู่ตรงที่มีสิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม กายก็เจ็บป่วย กระทบแล้วสัมผัสแล้วเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นการที่จะป่วยไข้ได้เจ็บ ใครยับยั้งได้ เพราะมีเหตุที่จะให้เกิดแล้ว ถ้าเป็นอกุศลกรรมวันหนึ่งวันใดก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เราคิดว่าคนอื่นทำให้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย กรรมที่ได้ทำแล้วต่างหาก บางคนปอกผลไม้ก็เฉือนนิ้วตัวเอง ใครทำให้อยู่ดีๆ ก็ตกบันได ตกภูเขา ใครทำให้ ไม่มีใครผลักเลย

    เพราะฉะนั้นกรรมเป็นมือที่มองไม่เห็น จะเจ็บมากเจ็บน้อยจะป่วยไข้ตรงไหนอย่างไร ก็เป็นสิ่งซึ่งได้กระทำกรรมนั้นแล้วที่จะให้ผลเกิดขึ้น ที่จะให้เกิดทุกข์ทางกาย เพราะฉะนั้นทุกข์ทางกายไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะหมดแล้วจบแล้ว แต่พลังหรือแรงของปัจจัยซึ่งเป็นกรรมปัจจัย ก็สามารถที่จะให้ผลได้ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังประชวรก่อนที่จะดับขันธปรินิพพาน ตอนขณะที่ท่านพระเทวทัตกลิ้งหิน ถ้าไม่มีกรรมก็ไม่ถูกแน่ เพราะฉะนั้นใครทำ อดีตกรรมทรงแสดงไว้เลยว่าเคยทำอะไรมาแล้ว เพราะฉะนั้นหินก็กระทบกันทำให้สะเก็ดหินถูกที่พระบาท เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำให้เลย ใครจะทำร้ายเราสักเท่าไหร่ โกรธเขาทำไมในเมื่อเป็นกรรมของเราต่างหาก ถึงเขาไม่ทำเราก็เป็น ไม่มีใครมาทำให้เราเป็นมะเร็ง ไม่มีใครมาทำให้เราเป็นอะไรเลยทั้งสิ้น แต่กรรมที่ได้ทำแล้ว ห้ามไม่ได้ ช่วยไม่ได้ แลกเปลี่ยนกันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่าเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้นทุกข์กายเกิดจากอดีตกรรม ทุกข์ใจเกิดจากกิเลส เพราะฉะนั้นบางคนทุกข์กายก็ไม่เดือดร้อน อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอนาคามี ไม่มีโทมนัสเวทนา แต่มีทุกข์กาย เพราะทุกข์ที่เกิดจากกิเลสเมื่อดับกิเลสระดับนั้นแล้วก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ เป็นธรรม เปลี่ยนแปลงไม่ได้บังคับไม่ได้เป็นอนัตตา

    อ. อรรณพ ขออนุโมทนาสหายธรรมที่นครนายกด้วยที่ถามเรื่องอนุปัสสนา ก็มีความทุกข์ใช่ไหมว่าคุณแม่ก็มีความทุกข์กายทุกข์ใจ เราก็ทุกข์กายทุกข์ใจ นี่คือเดิมที่ไม่ได้ฟังธรรม หรือในขณะที่ปัญญาไม่เกิด แม้ฟังธรรมแล้วแต่ปัญญาไม่เกิดก็เป็นคุณแม่ที่ทุกข์กายทุกข์ใจ แล้วก็เป็นเราที่ทุกข์กายทุกข์ใจ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงแสดงเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพื่อให้รู้ว่า ไม่มีคุณแม่ที่ทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่มีเราที่ทุกข์กายทุกข์ใจ แต่เป็นเพียงสภาพความรู้สึกที่ทุกข์กายหรือทุกข์ใจ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเราไม่มีใคร แต่เป็นความรู้สึก

    ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายเกี่ยวกับเรื่องของปฏิสนธิจิตที่ท่านอาจารย์เคยพูด แต่ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าปฏิสนธิจิตประมวลมาซึ่งผลของ

    ท่านอาจารย์ ทำกรรมมากี่กรรมเเล้วชาตินี้ นับไม่ถ้วน ชาตินี้นับไม่ถ้วน ชาติก่อนนับได้ไหม แล้วชาติก่อนๆ นับไม่ได้ แล้วกรรมทุกกรรมตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพานยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ที่จะดับการเกิด กรรมนั้นๆ ยังสามารถที่จะให้ผลคือทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง หมายถึงว่า กรรมทุกอย่างที่จะเกิดในชาตินี้

    ท่านอาจารย์ ที่ได้กระทำแล้วไม่ว่าชาติไหน สามารถที่จะทำให้ผลเกิดขึ้นในชาติหนึ่งชาติใดเมื่อถึงเวลาที่สมควร ถ้ายังไม่ถึงเวลา กรรมนั้นก็ไม่สามารถที่จะทำให้อะไรเกิดขึ้นได้ แต่ที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้เพราะถึงเวลาที่กรรมนั้นสามารถให้ผลได้ เรายังไม่ป่วยไข้ แต่อกุศลกรรมที่ทำแล้ว ขณะใดก็ตามที่ป่วยไข้ก็ถึงเวลา ท่านใช้คำว่าสุกงอมพร้อมที่จะให้ผลเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง สมมติว่าชาตินี้เราได้เกิดเป็นมนุษย์

    ท่านอาจารย์ เป็นผลของกรรมหนึ่งแล้วก็ยังทุกวันที่ดำรงชีวิตไป เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ก็เพราะกรรมอื่นๆ ที่ประมวลมาที่สามารถจะให้ผลในชาตินี้ บนสวรรค์ ไม่ต้องหุงข้าวอาบน้ำแปรงฟัน ใช่ไหม สบายไหม เพราะกรรมให้ผลที่จะให้ดำรงชีวิตที่ยืนยาวอยู่บนสวรรค์ต่างกับชีวิตของมนุษย์ แต่พอเป็นชีวิตมนุษย์นี่ก็แล้วแต่กรรมใดจะให้ผล

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นนั่นคือหน้าที่ของปฏิสนธิจิต

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่กรรมเดียว หมายความว่าถ้าใช้คำว่าหน้าที่ หมายความถึงหน้าที่ของจิตว่าจิตนั้นเกิดขึ้นทำกิจอะไร แต่จิตนั้นมาจากไหน ถ้าเป็นวิบากคือผลของกรรม ก็จิตนั้นมาจากกรรมที่ได้ทำแล้ว ถ้าจิตนั้นไม่ใช่ผลของกรรมเกิดเพราะอกุศลใช่ไหม ก็เป็นไม่ใช่ผลของกรรม มีทั้งกรรมมีทั้งกิเลส สะสมมาพร้อมที่ว่าเมื่อสำเร็จเป็นกรรมเมื่อใดก็สามารถที่จะให้ผลได้ ทางอะไร ตาเห็นสิ่งที่ดีถ้าเป็นผลของกุศลกรรม หูได้ยินเสียงที่ดีถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็เป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้นมีตา หู จมูก ลิ้นกายไว้ทำไม รับผลของกรรม ต้องเห็น บังคับไม่ได้ว่าจะให้เห็นอะไร

    เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงกรรมที่ได้กระทำแล้วหรือในชาตินี้ ก็ไม่รู้ว่าจะให้ผลเมื่อใด แต่เวลาที่จะให้ผลไม่พ้นจากเกิด จิตนั้นทำกิจปฏิสนธิ จะเกิดเป็นสุนัข เป็นนก เป็นงู เป็นปลา เป็นคน เป็นลิง แล้วแต่กรรม แม้แต่ขณะที่เกิดก็เป็นจิตที่ทำกิจสืบต่อจากจิต สุดท้ายของชาติก่อน พอพูดถึงปฏิสนธิต้องหมายความว่าเรากำลังกล่าวถึงกิจของจิต เพราะว่าจิตเกิดขึ้น ถ้าเราจะไม่เรียงลำดับเรื่องกิจ ๑๔ กิจ แต่เห็นขณะนี้ก็เป็นกิจหนึ่งของจิต และก็เป็นผลของกรรมด้วย เพราะฉะนั้นจิตอะไรทำกิจอะไร ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่าจิตไหนทำกิจอะไรไม่ได้

    ผู้ฟัง สมมติว่าเราได้เคยทำกรรมที่ร้ายแรงขนาดจะต้องตกนรก แต่ว่าบังเอิญ

    ท่านอาจารย์ เคยตกมาหรือยัง ก็ไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่มีทางจะรู้ได้เลย ตกไปแล้วก็ไม่รู้ จะตกก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นแต่ละกรรมเป็นสภาพที่ปิดบัง ขณะที่ทำกรรมก็ไม่รู้ว่ากรรมนั้นจะให้ผลอะไร เพราะฉะนั้นคนที่ทำอกุศลกรรมไม่รู้เลยว่าเวลาที่ให้ผลเขาจะอยู่ที่ไหน ได้รับผลของกรรมอะไร เพราะว่ากรรมเป็นสภาพที่ปกปิด แม้เดี๋ยวนี้การเกิดก็เป็นผลของกรรม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากรรมไหน และยังประมวลมาซึ่งกรรมอะไรที่จะเกิดต่อไปในชาตินั้นที่จะให้ผลต่อไป

    ผู้ฟัง เช่นสมมติว่า เกิดเป็นเทวดา

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะผลของกรรมดี

    ท่านอาจารย์ เพราะต้องได้ทำกรรมดีมาแล้ว เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิของชาติก่อนของเทวดา ก็ทำให้จิตใกล้จะจุติของชาติก่อน เป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดจากกรรมที่ได้ทำแล้วที่จะให้ผลทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เพราะฉะนั้นพอจุติจิตดับ ปฎิสนธิเกิดเป็นผลของกรรมดีที่ได้ทำไว้หนึ่ง คือขณะที่เกิดเป็นผลของกรรม เกิดมาแล้วยังต้องเห็นเป็นผลของกรรมอีก ขณะที่ได้ยินก็เป็นผลของกรรม ขณะที่ได้กลิ่นเป็นผลของกรรม ขณะที่ลิ้มรสเป็นผลของกรรม ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นผลของกรรม นอกจากนั้นไม่ใช่ผลของกรรม

    ผู้ฟัง ได้เกิดเป็นเทวดา ผลของกรรมชั่วก็ไม่มีโอกาสจะให้ผล เขาก็รออยู่

    ท่านอาจารย์ เสวยสุข เพราะฉะนั้นภูมิของเทวดาก็เป็นภูมิที่สนุกสนานร่าเริงเบิกบานมีแต่ความสุขชั่วขณะที่ยังไม่ตาย แต่พอตายคือจุติ แล้วแต่กรรมไหนจะให้ผล ตกนรกทันทีก็ได้

    ผู้ฟัง ค่อยเข้าใจขึ้นมาแล้วว่า ปฏิสนธิจิตก็ประมวลมาซึ่งผลที่จะให้ผลในชาตินั้น

    ท่านอาจารย์ ในชาตินั้น ถ้ามีกรรมเดียวก็ต้องเป็นผลของกุศลตลอด ไม่มีผลของอกุศลเลย เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีแต่ผลของกุศล

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นตกนรกก็เหมือนกัน กรรมดีก็ยังไม่ได้โอกาสเกิด

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่ว่าจะเกิดในภพภูมิไหน ถ้าเกิดเป็นภูมิมนุษย์ก็มีทั้งกุศลกรรมให้ผล อกุศลกรรมให้ผล แต่ถ้าเป็นในนรก กุศลกรรมก็ยากที่จะให้ผล ไม่มี นอกจากเวลาที่พระมหาโมคคัลลานะไป เห็นพระมหาโมคคัลลานะ จิตเห็นก็เป็นจักขุวิญญาณกุศลวิบาก แต่จิตต่อไปเป็นอกุศลได้

    อ. ณภัทร เพราะฉะนั้นที่เราเห็นตลอด ก็ไม่ได้ตลอดเวลา เพราะจริงๆ เห็นแล้วก็มีได้ยินก็สลับกันไป แต่ก็คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่หลังจากที่ ๕ ทวารนี้แล้ว ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ หลังจากเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว เพราะว่าถึงแม้ในทวารนั้นก็ยังเป็นกุศล และอกุศลได้ เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าเพียงแค่เห็น เราไม่พูดถึงความละเอียดว่าวิบากจิตต่อจากนั้นเป็นอะไร เพราะไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้มีเห็นแล้วก็มีชอบไม่ชอบ เพราะฉะนั้นโดยนัยของพระสูตรก็แสดงความจริงที่รู้ได้ว่า เห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกุศลใช้คำว่ากุศลวิบาก เห็นสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นจิตเป็นอกุศลวิบาก คือเป็นผลของอกุศลกรรม พอดับไปแล้วชอบหรือไม่ชอบ กุศลหรืออะไรทั้งหมด ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นผลของการสะสม สะสมความดีความเมตตาพอเห็นแล้วก็เกิดกรุณา บางคนก็เห็นแล้วก็เฉยๆ

    อ. ณภัทร การที่ร่างกายนี้ถ้ากระทบสัมผัสก็จะมีแข็ง

    ท่านอาจารย์ หรืออ่อน หรือเย็น หรือร้อน หรือตึง หรือไหว

    อ. ณภัทร แต่ไม่รู้ในความเป็นจริงเดี๋ยวนี้จึงยึดถือว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ หลับตาแล้วยังมีเราไหมที่ตัว หลับตาเราก็นั่งอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่ไม่เห็นเลย

    อ. ณภัทร แล้วถ้าบุคคลที่เข้าใจถูก ไม่ยึดถือสภาพเหล่านี้คือรู้ถูกต้องว่า มีแค่แข็งอ่อน เย็น ร้อน ตึง ไหว แค่นี้ ก็จะไม่ไปทำศัลยกรรมหรือเสริมความงาม เพราะว่านั่นคือความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นเรา จึงไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อให้ตัวเองดูดีอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วดับกิเลสหมดเลยไหม พอรู้ว่าไม่ใช่เรา

    อ. ณภัทร ก็ต้องเป็นไปตามระดับขั้นของปัญญา

    ท่านอาจารย์ นี่ก็คือคำตอบ

    ผู้ฟัง เราต้องเข้าใจเรื่องของกรรมและผลของกรรม ท่านไม่หายจากอัมพฤกษ์จากอาการของท่าน เราไม่ใช่ผู้กระทำให้ท่าน เราจะช่วยอะไรคุณพ่อได้ เราทำได้แค่ความเป็นลูกซึ่งไม่ละทิ้งท่านเท่านั้น ท่านต้องได้กระทำกรรมอันนั้นของท่านมาแล้ว ตอนที่ยังไม่ได้มาศึกษา คือความสงสารอยู่กับเราตลอดเวลาเลย จะกิน จะนอน จะอะไร เราก็สงสารเขา จนกลายเป็นเรานี่แหละจะป่วย เพราะจากความเครียดที่สงสารเขา

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ความต่างของสงสารกับเมตตาและกรุณา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงแยกไม่ออกเลยใช่ไหม สงสารดีไหม ต้องตรงต่อความเป็นจริง สงสารดีไหมต้องคิดละเอียด สงสารไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเลย แต่ความสงสารดีไหม นี่อาจจะเป็นภาษาไทย ซึ่งคนเข้าใจว่าสงสารดี เพราะว่าเห็นคนเขาลำบากป่วยไข้ก็สงสารคิดว่าดี แต่สภาพของธรรมละเอียดมาก เพราะเหตุว่าขณะที่สงสารคืออะไร เห็นไหมต้องแยก สงสารคืออะไร ไม่ใช่สงสารเขาแล้ว เราก็ร้องไห้เป็นทุกข์เพราะเราสงสาร นั่นไม่ใช่สงสาร เพราะฉะนั้นธรรมละเอียดมาก สงสารคืออะไร สงสารคือสภาพที่เข้าใจและเห็นใจในความทุกข์ของคนอื่น บางคนเห็นคนป่วยก็เฉย ไม่เข้าใจและเห็นใจในความทุกข์ของเขา

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ความเข้าใจและเห็นใจก็ต่างกับการที่เรารู้สึกเป็นทุกข์ เพราะขณะนั้นเป็นความเข้าใจในความทุกข์ของคนอื่น และเห็นใจในความทุกข์ของเขา เพราะฉะนั้นจึงคิดที่จะช่วยด้วยความหวังดีเมตตา ใช้คำว่ากรุณาสำหรับคนที่กำลังมีความทุกข์ และเราสามารถจะช่วยได้ แต่ถ้าเกิดร้องไห้เสียใจเมื่อไหร่ นั่นไม่ใช่สงสารนั่นเป็นสงสารในภาษาไทย เขาสงสาร แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปเพราะสงสาร นั่นไม่ใช่ สงสารคือขณะที่กำลังเข้าใจและเห็นใจ ในความป่วยไข้ ในความทุกข์เดือดร้อนของคนอื่น

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นใจของเราไม่ได้พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย เพราะกำลังเข้าใจในความทุกข์ เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นสิ่งซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใครทำกรรมใดมาก็ได้รับผลของกรรมนั้น ถึงเวลานี้กรรมนั้นที่จะให้ผล แม่ก็ช่วยลูกไม่ได้ ลูกก็ช่วยแม่ไม่ได้ ลูกเจ็บแม่ขอเจ็บแทนไม่ได้ แม่เจ็บลูกขอเจ็บแทนไม่ได้ ปัญญาเกิดแล้วใครก็ช่วยใครไม่ได้ เพราะเหตุว่าแล้วแต่เหตุปัจจัย ทำกรรมใดมาก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น แต่ว่าเข้าใจและเห็นใจ แล้วทำสิ่งที่ดีที่สุดกับคนนั้นด้วยความเข้าใจและเห็นใจ แทนที่จะเพิกเฉยละเลย ไม่เข้าใจในความเป็นกรรมและผลของกรรม เพราะความเห็นถูกเข้าใจถูก กรรมที่ได้ทำแล้วก็แล้วไป แต่ผลของกรรมปรากฏให้เห็นที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจในกรรมด้วยว่าเพราะกรรม และขณะนั้นก็มีความเข้าใจและเห็นใจ ถ้าสมมติว่าคนอื่นใครก็ตามแต่ จะเป็นคนร้ายคนชั่วสักเท่าไหร่ก็ตาม เข้าใจและเห็นใจไหมว่าไม่ใช่เขาแต่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น จะหลีกเลี่ยงเปลี่ยนแปลงอย่างไรได้ สะสมความเห็นแก่ตัว การเบียดเบียนมาสารพัดจนกระทั่งเขาเป็นอย่างนั้น โดยเขาไม่รู้เลยว่าผลคืออะไร เพราะเขาไม่รู้ แต่ถ้าทุกคนรู้ว่าผลคืออะไร จะมีการทำอย่างนั้นไหม ก็ไม่ทำเพราะผลของอกุศลต้องเป็นอกุศลที่ร้ายแรงมาก ตกนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นเดรัจฉานบ้าง เพราะกรรมที่เกิดจากอกุศล

    เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่าขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าขณะใดก็ตามที่เข้าใจและเห็นใจ ขณะนั้นเราไม่ได้ร้องไห้ เพราะเป็นปัญญาที่เข้าใจในเรื่องเหตุและผลด้วย ในเรื่องกรรมและผลของกรรมด้วย ไม่มีใครเลยนอกจากขณะนั้นเป็นธรรม มีแม่มากี่คนแล้วในสังสารวัฏ มีลูกมากี่คนแล้วในสังสารวัฏ ร้องไห้เพราะแม่เพราะลูกมากี่คนแล้ว ยังปู่ย่าตายายลูกหลานเหลนอีกไม่ใช่แต่เฉพาะพ่อแม่ใช่ไหม น้ำตาในสังสารวัฏยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร เพราะฉะนั้นแสดงว่าสังสารวัฏยาวนานแค่ไหน แล้วจะเป็นอย่างนี้อีกต่อไปข้างหน้าเท่านั้นหรือยิ่งกว่านั้นเลย ไม่มีหยุดเลย ไม่มีใครหยุดการเกิดดับของสภาพธรรมได้เพราะเป็นธรรม นอกจากความเข้าใจที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือว่า มีความกตัญญูรู้คุณต่อคนที่ในชาตินี้เป็นแม่เราเป็นพ่อเราเป็นบุพการี หรือแม้มิตรสหายเพื่อนฝูงที่ทำดีต่อเรา เราก็รู้ในคุณความดีนั้นได้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้คุณของความดี มีหรือที่จะไม่ทำดี แต่ใครก็ตามที่ไม่รู้คุณของความดี คนนั้นจะไม่ทำดี แต่คนที่ทำดีเพราะเห็นว่าการทำดีเป็นประโยชน์เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ยังทำได้ เพราะฉะนั้นเขาทำดีบ้าง เราทำดีบ้าง ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ดีที่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ไม่ทำชั่วเพราะเหตุว่าถ้าทำชั่วเมื่อไหร่ ผลของความชั่วก็เป็นอย่างที่เห็นๆ นี่แหละ ส่วนผลของความดี ก็อย่างที่เห็นๆ นี่แหละ แต่ว่าเราจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ถ้ามีปัญญาไม่พอก็ไม่เห็นอย่างนั้น ถ้าปัญญาไม่พอก็ร้องไห้ แต่ถ้าปัญญาพอขณะนั้นเป็นธรรมซึ่งเป็นธรรมดา ร้องไห้ก็ไม่นาน ชั่วขณะที่เกิดความรู้สึกเสียใจโทมนัสเวทนาในภาษาบาลี ก็ทำให้มีกิริยาอาการของสภาพธรรมนั้น บังคับบัญชาไม่ได้ แต่พอปัญญาเกิด อกุศลใช่ไหม ขณะที่ร้องไห้เริ่มรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ การร้องไห้ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น ความเสียใจก็ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ความเห็นถูกความเข้าใจถูกต่างหาก ที่จะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีทั้งหมด แทนที่จะร้องไห้เสียใจ เห็นใจได้เข้าใจได้ทำดีที่สุดได้ แต่ไม่ทุกข์โทมนัส เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นปัญญานำไปในกิจทั้งปวง ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็อีกเรื่องหนึ่งแล้ว ยึดถือ แต่ว่าคุณแม่ชาตินี้เป็นแม่ของเราชาติไหนมาก่อนหรือเปล่า หรือคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วยกัน เคยเป็นพ่อเป็นแม่เรามาหรือเปล่า ใครจะรู้ใช่ไหม แต่พอถึงชาตินี้ เขาทุกข์ยากก็ไม่เห็นเราเดือดร้อน แต่ถ้าเขาเป็นแม่เราชาติก่อน ลูกชาติก่อนต้องทุกข์ใช่ไหม แต่ลูกชาตินี้ไม่ทุกข์เพราะจำไม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้ใครเป็นพ่อแม่พี่น้องกันบ้างใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นแค่หนึ่งชาติ จะเกิดเป็นอะไรก็เฉพาะชาตินั้นจริงๆ ชาติก่อนไม่รู้ ชาติหน้าต่อไปไม่รู้ แต่ว่ารู้ได้ว่ามีแม่มาเเล้วกี่คน มีพ่อมาแล้วกี่คน มีพี่น้องเพื่อนฝูงมาแล้วกี่คน ทั้งหมดที่พบกันเคยเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องกันก็ได้ แต่ว่าชาตินี้ไม่เห็นจะรู้สึกว่าเป็นลูกที่จะต้องมาทำอะไรกับพ่อแม่คนนี้ในชาติก่อน เมื่อพันปีก่อนใช่ไหม แต่ขณะนี้มีแม่หรือพ่อซึ่งจะต้องรู้คุณความดีที่ทำด้วย ที่ได้ทำให้แก่เรา ก็ตอบแทนคุณด้วยความไม่เศร้าหมอง พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกร้องไห้ ตั้งแต่เราเกิดมาพ่อแม่ก็ไม่อยากให้เราเป็นทุกข์ แล้วเราจะมาเป็นทุกข์ให้พ่อแม่เห็นหรือ

    เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุด คือว่ามีความเข้าใจธรรมก็คือว่าทำดีที่สุดโดยรู้ว่าขณะไหนเป็นอกุศล ปัญญาเกิดก็ไม่เป็นอกุศล แต่ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ร้องไห้ไป แต่ถ้าเป็นธรรมดา ร้องไห้ห้ามไม่ได้ เกิดเเล้วหมดไปชั่วคราว ทุกอย่างชั่วคราว อยู่ในโลกนี้ชั่วคราว แต่ละขณะก็ชั่วคราว ทำดีดีที่สุดแต่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องโทมนัสเสียใจถ้าเป็นได้ จากเสียใจมากๆ ก็จะเหลือเพียงไม่มากเท่าไหร่ เพราะเข้าใจถูกต้องว่าการร้องไห้การโศกเศร้าไม่มีประโยชน์

    ผู้ฟัง บางคนเขาก็เกริ่นมาว่า ถ้าท่านวิทยากรบางคนไปบวช ถ้าหากท่านผู้นี้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของพระวินัย ก็น่าที่จะสอนหรือว่าได้เกื้อกูลให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้ฟังพระวินัยว่า อะไรควรทำไม่ควรทำ หรือว่าฆารวาสที่ควรจะปฏิบัติต่อพระภิกษุอย่างไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ใครจะไปรู้การสะสมของแต่ละคนมา ลึกล้ำมากมายสักแค่ไหนในสังสารวัฏ พระโพธิสัตว์บางพระชาติเป็นคฤหัสถ์ บางพระชาติเป็นพระภิกษุหรือบรรพชิต ลองคิดดู พระโพธิสัตว์ผู้ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่กล่าวไม่ได้เข้าใจความจริงเลย และก็ไปคิดถึงคนอื่นด้วย คนนั้นน่าจะอย่างนี้คนนี้น่าจะอย่างนั้น เหมือนเขารู้อัธยาศัยที่สะสมมาของแต่ละคน ซึ่งคำพูดนั้นไม่เป็นสาระ เพราะเหตุว่าใครจะรู้อัธยาศัยแม้ของพระโพธิสัตว์แต่ละชาติ แต่ว่าวิทยากรมีปัญญาที่จะรู้อัธยาศัยของตนเอง ทุกคนที่ไม่บวช เพราะรู้ว่าไม่สามารถที่จะรักษาพระธรรมวินัยที่จะประพฤติปฏิบัติได้ดุจสังข์ขัด ตั้งแต่เช้าจนหลับ เป็นกุศลตลอด ไม่ว่าจะตื่น ไม่ว่าจะบริโภคอาหาร ไม่ว่าจะเดินบิณฑบาตทุกอย่างหมด ผู้ที่จะมีความประพฤติตามพระวินัย เป็นผู้ที่เป็นบุตรที่เกิดจากอุระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    14 มี.ค. 2568