ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914


    ตอนที่ ๙๑๔

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะความเข้าใจนั้นเอง สภาพธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ก็ปรากฏกับปัญญา โดยที่ว่าไม่มีการเลือกว่า เราจะต้องไปรู้สิ่งนี้ หรือไปรู้สิ่งนั้น แต่ว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ต้องเลือก เข้าใจขึ้นแล้วก็จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเป็นไปแต่ละขั้น เช่น ขณะนี้ที่ฟังนี้เป็นเพียงปริยัติ คำว่าปริยัติ หมายความว่าฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น เพราะคำของคนอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ในขณะนี้ แต่เพราะการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเข้าใจแม้แต่คำที่พูดถึงคือผัสสเจตสิก เราสามารถที่จะรู้หรือไม่ โลภะก็มีเราสามารถที่จะรู้หรือไม่ ทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟังนี้อยู่ในความมืด หมายความอะไร ไม่ได้ปรากฏ ต่อเมื่อไรปรากฏ ปรากฏกับอะไร ต้องปัญญา แล้วมีปัญญาพอที่สภาพนั้นๆ จะปรากฏหรือไม่ เห็นหรือไม่ว่าการศึกษาธรรมต้องเพื่อละความเป็นเรา ต้องรู้จริงๆ เราเป็นใคร ฟังธรรมเท่าไร และแต่ละคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งอยู่ในความมืด ยังไม่เปิดเผยปรากฏว่า ขณะนั้นเป็นอะไร แม้แต่ความติดข้องก็ไม่ใช่ผัสสเจตสิก แม้แต่ความรู้สึกก็ไม่ใช่ผัสสเจตสิก แม้แต่ความจำก็ไม่ใช่ผัสสเจตสิก แล้วเราจะพูดถึงผัสสเจตสิก ซึ่งจิตรู้สิ่งใดก็เพราะเจตสิกนั้นกระทบ แต่ขณะนี้เห็นแล้วรู้หรือไม่ว่าผัสสสะในขณะนั้นกระทบสิ่งที่ปรากฏพร้อมกับการเห็น นี้ก็เป็นสิ่งซึ่งยิ่งฟังยิ่งรู้ความห่างไกลกันมาก ระหว่างความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ว่าจากการที่ฟังธรรมทั้งหลาย รู้เองไม่ได้ แม้แต่ว่าเห็นอะไร ก็ยังรู้ไม่ได้ ได้ยินอะไร รู้ได้หรือไม่ จนกว่าจะได้ฟัง เพราะว่าเห็นอะไร เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ที่ให้เห็นนี้พร้อมกันเลย กับรูปร่างสีสันวรรณะ เป็นคนนั้นคนนี้ทันที แต่ความจริงจิตเกิดดับเท่าไรกว่าแต่ละหนึ่งๆ จะรวมกันปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานให้จำได้ แต่ละหนึ่งๆ นี้ละเอียดมาก

    เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความละเอียดยิ่งของธรรม ซึ่งห่างไกลกับการที่จะไปถึงการเป็นพระโสดาบัน หรือว่ารู้จักมรรค โดยที่ไม่รู้ว่ามรรคคืออะไร นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งพุทธบริษัทจะได้ตระหนักถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่ตรัสคำต่างๆ ที่ประกาศความจริงของสิ่งที่มีให้คนอื่นได้เริ่มเห็นได้เข้าใจ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ปรากฏเหมือนกับว่าเที่ยงทุกอย่างไม่ได้ดับไป เพราะฉะนั้นต้องฟัง และเข้าใจ แต่ละคำทีละหนึ่งคำ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ที่จะสนทนา ทีละหนึ่งคำ จะพูดถึงสมาธิ ก็ต้องรู้ว่าสมาธิคืออะไร แล้วถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมตามลำดับ จะเข้าใจหรือไม่ ก็เป็นเราที่ฟังเรื่องสมาธิ และเข้าใจว่าสมาธิคืออย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็คือเราเข้าใจ ซึ่งก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นเรา เพราะเหตุว่า ความจริงเป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง ตอนฟังใหม่ๆ นั้นก็มีความรู้สึกว่า ถ้ารูปกับรูปกระทบกันนั้นก็ยังมีความเข้าใจได้ แต่พอเป็นนามกับนามกระทบกันนั้นคิดไปเอง

    ท่านอาจารย์ คิดเองตลอด เพราะฉะนั้นฟังธรรมแล้วคิดเอง มีทางที่จะเข้าใจหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรม ไม่คิดเองแต่รู้ความลึกซึ้งว่า ขณะนี้จิตเห็นแค่ ๑ ขณะ ที่เกิดขึ้นเห็น มีเจตสิก ๗ ชนิด ๗ ประเภทเกิดรวมกัน และแต่ละ ๑ ทำกิจหน้าที่ของตนพร้อมกับจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แค่นี้ก็ลึกซึ้งแล้ว และเราจะมาคิดว่า จะไปรู้จักผัสสเจตสิก หรือว่ามนสิการเจตสิก ได้ยินชื่อก็อยากรู้

    ผู้ฟัง แต่หน้าที่ของผัสสะนี่ก็คือ หน้าที่ของการกระทบ

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าใครรู้

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีผัสสเจตสิก จิตจะเกิดได้หรือไม่ จะรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏได้หรือไม่

    อ.อรรณพ วันนี้เราก็สนทนากันส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่จะเตือนใจ ถึงเรื่องการปฏิบัติผิด การที่คิดว่าพุทธศาสนานั้นคือสิ่งที่ทำๆ กันมาด้วยความเคยชิน

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เข้าใจอะไร แล้วจะปฏิบัติจะถูกได้หรือ

    อ.อรรณพ ไม่ถูกแน่นอน แต่ว่าเนื่องจากว่า ยังไม่มีโอกาสฟังพระธรรม หรือไม่ได้สะสมเหตุผลมาที่จะรับพระธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นความเคยชิน ที่คิดว่าพุทธศาสนาต้องเป็นนั่งสมาธิ ต้องอะไรอย่างนี้ จนเป็นความเคยชิน

    ท่านอาจารย์ คิดเอง

    อ.อรรณพ ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.อรรณพ แต่เป็นความคิดเองที่ไม่ถูก แต่ว่าได้ถ่ายทอดกัน ขยายกันจนเป็นวงกว้าง กราบเรียนท่านอาจารย์ว่าจะสลัดจากความเคยชินผิดๆ เหล่านี้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังพระธรรม และรู้ว่าพระธรรมคืออะไร

    อ.อรรณพ แค่พุทธศาสนาก็ไม่เข้าใจแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ฟังพระธรรมเลยสักนิด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ครูอาจารย์ธรรมดา ไม่ใช่คนนั้นคนนี้ แต่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่นี้ สำนึกหรือไม่ รู้สึกหรือไม่ว่าพระองค์เป็นใคร แล้วก็จะไม่ศึกษา ไม่ฟังเลยคิดเอง ถ้าคิดเองก็คือว่าไม่ได้นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ตรง ถ้าจะกล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พึ่งเมื่อไร เจ็บป่วยแล้วไปนั่งสวดมนต์อย่างนั้นหรือพึ่ง ก็ต้องเป็นผู้ตรง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไม่ได้

    อ.คำปั่น ก็จะมีการกล่าวถึงคำว่า พระพุทธศาสนากันอยู่เสมอ บางครั้งก็บอกว่าช่วยกันปกป้อง ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ ว่าที่จริงแล้วพระพุทธศาสนาคืออะไร และจะช่วยกันปกป้อง หรือว่ารักษาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร จะปกป้องอะไรในเมื่อไม่รู้ เพราะฉะนั้นการที่จะกล่าวว่า จะปกป้องพระพุทธศาสนาก็คือว่า ต้องรู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อนี้ก็ไม่มีใครอีกแล้วในสากลโลกทั้งหมด ไม่ว่าโลกมนุษย์ เทวดา พรหม อีกนานก็จะไม่มีการที่จะได้ยินได้ฟัง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายใน ๕๐๐๐ ปี แต่ว่าถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจเสียเดี๋ยวนี้จะถึง ๕๐๐๐ ปีหรือไม่ก็อันตรธานไป เพราะฉะนั้นการที่จะรักษาพระศาสนาก็คือว่า ต้องศึกษาให้เข้าใจคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็รู้ว่าเป็นคำสอน ซึ่งเมื่อพระศาสนาอันตรธานแล้ว ไม่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟังคำต่างๆ เหล่านี้อีก เพราะฉะนั้นสัตว์โลกก็อยู่ในความมืดไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ไม่รู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้คืออะไร ด้วยเหตุนี้ไม่ลืมว่าต้องเป็นผู้ตรง ถูกคือถูก ผิดคือผิด จึงจะได้สาระจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญา ที่ได้สะสมมาจนสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่เมื่อไรก็มี เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ว่านี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม ก็จะไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีทั้งหมด

    อ.คำปั่น มีประเด็นสนทนากับท่านอาจารย์ต่อเนื่องว่า อะไรที่เป็นแหล่งทำลาย หรือว่าเป็นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ที่อันตรายอย่างยิ่ง

    ท่านอาจารย์ ทุกคำที่ไม่จริง ทำลายคำจริง วาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าที่ไหน

    อ.อรรณพ ซึ่งในประเทศไทยรวมทั้งประเทศอื่นๆ พุทธศาสนาในความคิดของเขา ก็คือการต้องไปสำนักปฏิบัติ จะเป็นการทำลายพระศาสนาอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ สำนักคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดเอาเอง ปฏิบัติอะไร

    อ.อรรณพ ก็คิดว่าทำสิ่งที่เขาคิดว่าดี

    ท่านอาจารย์ อะไรดี

    ผู้ฟัง ก็คือถือศีล แล้วก็ไม่ไปวุ่นวายอะไร

    ท่านอาจารย์ อยู่บ้านถือศีลได้หรือไม่

    อ.อรรณพ อยู่บ้านก็ถือศีลได้

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมต้องไปสำนักปฏิบัติ

    อ.อรรณพ แต่ถ้าได้ไปในกลุ่มคนที่มีความเห็นเดียวกัน แล้วก็ไปร่วมกันถือศีล ก็อาจจะช่วยทำให้มีความตั้งมั่นมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ จะช่วยกันไม่เข้าใจธรรม ช่วยกันเห็นผิด จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม คือสิ่งที่มีจริงทุกแห่ง ไม่ว่าขณะไหนเวลาไหน เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม ที่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย ที่ไหนก็ได้ บนรถไฟได้หรือไม่ สนทนาธรรม มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่โต๊ะอาหารได้หรือไม่ ได้ ที่ไหนก็ได้ ในห้องนอนได้หรือไม่ ก็ได้ ทุกอย่างที่มีสิ่งซึ่งไม่รู้ ไม่เคยรู้มาก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง เพราะทรงตรัสรู้ เห็นนี่ต้องไปเห็นที่สำนักปฏิบัติหรือไม่

    อ.อรรณพ อยู่ที่ไหนก็มีปัจจัยให้เห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วไปที่นั่นทำไม ไปเห็นอะไร

    อ.อรรณพ ก็คือไม่ได้สนใจที่จะรู้ลักษณะของการเห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไปด้วยความไม่รู้ และก็ทำสิ่งที่ไม่รู้ กลับมาก็ไม่รู้ เสียเวลาหรือไม่

    อ.อรรณพ คือหลายหลากมากความคิด บางความคิดก็คือไปแล้วก็ไปทำอย่างนั้นแล้วก็คิดว่าก็ดี ที่ว่าได้หลีกออกไป แล้วก็ไม่ไปทำอะไรที่วุ่นวาย ดูเงียบๆ ดี

    ท่านอาจารย์ คนที่ไปไม่ได้ยิน แม้คำว่าปริยัติ ปริยัติไม่เคยได้ยินแน่นอน เพราะว่าไม่รู้ว่าคืออะไร

    อ.อรรณพ ก็มีส่วนหนึ่ง ที่เขาไม่เคยได้ยินคำว่าปริยัติ แต่บางที่บางสำนักเขาก็บอกว่ามีปริยัติด้วย คือบางทีเขาก็เอาข้อความในพระไตรปิฏก เอามาอ่านตรงๆ แต่ว่าก็ไม่ได้มีการอธิบาย ความละเอียดอะไร หรืออธิบายแบบของเขา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปริยัติ ไม่ได้หมายความว่าฟัง อ่าน พูด แต่ไม่เข้าใจธรรม

    อ.อรรณพ ในรายการวิทยุก็มีที่เขาก็เอาข้อความในพระไตรปิฏกมาอ่าน

    ท่านอาจารย์ แต่ค้านกับพระพุทธพจน์ ถ้าเป็นสำนักปฏิบัติ

    อ.อรรณพ ค้านอย่างไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายไม่เว้น ที่ไหนเมื่อไหร่ เป็นอนัตตา คำว่าอนัตตาหมายความว่าอะไร แม้แต่คำเดียวก็ค้านแล้ว อนัตตาหมายความว่าธรรมเดี๋ยวนี้ เห็น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ได้ยิน มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นมาเองก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้ แล้วธรรมก็เกิดอยู่ตลอดเวลา เพราะมีปัจจัยที่จะปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ธรรมทั้งหลายทั้งหมด ไม่เว้น เป็นอนัตตา อนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เพราะฉะนั้นค้านหรือไม่กับสำนักปฏิบัติ

    อ.อรรณพ เขาก็บอกว่า การที่ได้ไปที่สถานที่ ที่ไม่วุ่นวาย แล้วก็เป็นการรวมกันของผู้ที่มาถือศีลด้วยกัน แล้วก็มาปฏิบัติกันก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ในครั้งพุทธกาล มีสำนักปฏิบัติหรือไม่

    อ.อรรณพ ในพระไตรปิฏกไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมมี

    อ.อรรณพ ขอพูดให้ชัดเจนว่าเขาบอกว่าสมัยก่อนเป็นผู้ที่มีปัญญามาก เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมได้ในทุกที่ แต่ในยุคนี้ยังมีปัญญาน้อย ก็ต้องอาศัยสัปปายะ อาศัยเหตุปัจจัย ที่จะค่อยๆ น้อมไป ที่จะค่อยๆ รู้ขึ้นๆ เพราะฉะนั้นสำนักต่างๆ นั้นก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้พูดสักคำเดียวว่าอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสไว้ดีแล้วทุกเมื่อ พูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง ไม่ได้บอกให้ใครไปที่ไหน คนที่ได้มีโอกาสในครั้งโน้น ได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน ไปไหน ไปสำนักไหน ถ้าจะกล่าวว่าเขาได้สะสมปัญญามามาก ที่เมื่อฟังพระพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสแล้ว เข้าใจได้ทันที ก็เราไม่เข้าใจไม่ใช่หรือ เราเป็นผู้มีปัญญาน้อยกว่าบุคคลในครั้งนั้นไม่ใช่หรือ แล้วเราไม่ศึกษาพระธรรมจนเหมือนเขา จนพอฟังแล้วก็สามารถเข้าใจได้ว่า เห็น ขณะนี้ไม่ใช่เรา เกิดขึ้น และดับไป คนในครั้งโน้นเข้าใจได้ เพราะว่าเขาสะสมมานานมาก กว่าจะค่อยๆ รู้เห็นที่กำลังเห็น หรือได้ยินที่กำลังได้ยิน สภาพธรรมที่ปรากฏ และก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้นคนในยุคนั้น ไม่ได้สะสมมาก่อนจากการที่ไม่เคยฟังพระธรรม แล้วก็เริ่มฟังเริ่มเข้าใจขึ้น แต่ละชีวิตก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้นหลากหลายมาก เป็นยาจกเข็ญใจ ไร้ทรัพย์ เป็นเศรษฐีมั่งมี เป็นเสนาบดี เป็นพระราชา เป็นหญิง เป็นชาย หมดทุกอย่าง เป็นนก เป็นแมว เป็นหนู เป็นปู เป็นไก่ ได้ทั้งหมด แต่ว่ากว่าจะได้ฟังพระธรรม จนกระทั่งเข้าใจเมื่อได้ฟังคำเมื่อไหร่ สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะเคยฟังมาแล้ว อย่างเมื่อวานนี้เราพูดถึงธรรมถ้าฟังแล้วเข้าใจแล้ว วันนี้ก็จำได้เลย พอได้ยินก็รู้ว่าแต่ละคำ หมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นอย่างอื่นอ้างไม่ได้เลยนอกจากปริยัติ พระพุทธพจน์ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จากการที่ได้ทรงรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สงบสักเท่าไร ร่มรื่นสักเท่าไร แต่ไม่มีคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นั้นก็ไร้ประโยชน์ แต่ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย จะกำลังหิว จะกำลังโกรธ จะกำลังสุขสำราญ อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ไม่ต้องไปกังวล จะรู้แจ้งสัจธรรมได้เมื่อไร เพราะไม่ใช่เรา เริ่มเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างจนกว่าจะทั่ว เดี๋ยวนี้เองก็เป็นธรรม แต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้นไม่ใช่สถานที่ แต่ต้องเป็นพระพุทธพจน์ คำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วเท่านั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้เราอยู่ที่ไหน อยู่เป็นหมู่เป็นคณะ ฟังธรรม ไม่ใช่สำนักปฏิบัติ แต่เป็นที่ๆ จะได้ยินได้ฟังธรรม เพื่อที่จะเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราไปอยู่ที่อื่น เงียบสงบดีนั่งนิ่งๆ ไม่เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ นั่นหรือสำนักอะไร เพราะไม่เข้าใจคำว่าปฏิบัติคืออะไร ถ้าจะเข้าใจว่าปฏิปฏิ ไม่ใช่เรา เป็นธรรม แล้วอะไรปฏิบัติ ไม่ใช่เราอีกเหมือนกัน ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงจนกว่าจะรู้ทั่วว่า ไม่ใช่เรา เมื่อนั้นจึงจะค่อยๆ เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่จำกัดเวลาสถานที่ว่า ต้องไปฟังที่นั่นที่นี่ที่โน่น อยู่คนเดียวก็ฟังได้ เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ข้อที่ควรจะเชื่อตามว่า ต้องไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วจึงจะปฏิบัติธรรม โดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรมอะไร

    อ.อรรณพ คนที่เขาได้ยินได้ฟังมา หลากหลายแนวทาง เขาก็จะมีเหตุมีผลที่ดูเหมือนจะแนบเนียนว่าก็ทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เขาก็มีเหตุปัจจัยที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น หรือเจริญธรรมขึ้น ในรูปแบบของเขา อะไรกำลังมี ก็ค่อยๆ รู้ไปตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ ก็ตรงนี้ปกติ ไม่เห็นต้องไปตรงไหน เพราะฉะนั้นคำพูดค้านกันไม่ได้ ถ้าบอกว่าต้องไปก็แสดงว่า ตรงนี้รู้ไม่ได้ใช่หรือไม่ ชักชวนกันไปเพราะอะไร เพราะคิดว่าเมื่อไปแล้วจะรู้ แล้วรู้อะไร ถ้าตราบใดที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดแล้วอย่างเดี๋ยวนี้ ปัญญาไม่สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้หรือ ปัญญาต้องสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง รู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ไหนก็ได้ ในครัวก็ได้ ในครัวเป็นสำนักปฏิบัติหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ กำลังล้างเท้า เป็นสำนักปฏิบัติหรือไม่

    อ.อรรณพ ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไม ถึงจะมีคำที่ทำลายคำของพระพุทธเจ้า โดยการที่พระองค์ตรัสว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา มีจริงๆ ปัญญาสามารถที่จะอบรมจนกระทั่งประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อถึงเวลาที่ปัญญาอบรมแล้ว เจริญแล้ว่าที่จะรู้ความจริงเมื่อไร ก็รู้ความจริงเมื่อนั้น ท่านพระสารีบุตรไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะพบท่านพระอัสสชิได้ฟังธรรมแล้ว ก็รู้แจ้งธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเอง ไม่ใช่ต้องไปที่ไหนทั้งสิ้น ท่านพระอัสสชิก็ไม่ได้บอกท่านพระสารีบุตรว่าไปสำนักปฏิบัติก่อน แล้วก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรมที่นั่น แต่ที่ไหนก็ได้ ที่ได้ยินคำที่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นได้ เหมือนเดี๋ยวนี้ ถ้าเป็นปัญญาที่อบรมแล้ว่าก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเดี๋ยวนี้ ที่นี่ได้ นี่จึงจะเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตา เพราะฉะนั้นก็เริ่มเป็นอัตตาตั้งแต่เริ่มคิดที่จะให้คนอื่นไปที่สำนักปฏิบัติ โดยที่ไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร ไม่ใช่เขาเลย ไม่ใช่คนนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อัตตาที่จะปฏิบัติ แล้วไปแล้วทำอะไร ที่สำคัญที่สุด ไปแล้วทำอะไร

    ผู้ฟัง คือสำหรับผู้ที่มาใหม่อาจจะคิดว่าตอนนี้เรากำลังโจมตีสำนักปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย

    ท่านอาจารย์ เวลาที่พูดธรรมนี้จะชัดเจนมาก ถ้าเราพูดทีละคำ โจมตีคืออะไร ถ้าเราพูดสิ่งที่ถูกต้องเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ในเมื่อคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ว่า ความจริงคืออะไร พระพุทธพจน์แต่ละคำคืออะไร ธรรมคืออะไรปฏิบัติคืออะไร เราไม่ใช่บอกว่าผิด โดยที่ว่าไม่ได้ชี้แจงว่าผิดตรงไหน แต่ผิดตรงนั้นผิดตรงนี้ เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ว่าถูกคืออย่างไร การที่สามารถที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจถูกต้องได้ผิดหรือ และเป็นการโจมตีใคร ไปโจมตีความเห็นผิดหรืออย่างไร หรือไปโจมตีความเห็นถูก หรือไปโจมตีอะไร แต่คำที่จริงนั้นเองตรงกันข้ามกัน คำจริงเป็นอย่างหนึ่ง คำไม่จริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นผู้ฟัง ไม่ใช่คิดว่าโจมตี เพราะเหตุว่ามีคำที่กล่าวถึงแต่ละคำให้เข้าใจ ถูกต้องชัดเจนขึ้น แล้วจะโจมตีอะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    27 ก.พ. 2568