ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๑๔

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะความเข้าใจนั่นแหละ สภาพธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ ก็ปรากฏกับปัญญา โดยที่ว่าไม่มีการเลือกว่า เราจะต้องไปรู้สิ่งนี้ หรือไปรู้สิ่งนั้น แต่ว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ต้องเลือกเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น แล้วก็จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งเป็นไปแต่ละขั้น เช่นขณะนี้ที่ฟังนี่ค่ะ เป็นเพียงปริย้ติ คำว่าปริยัติ หมายความว่าฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่นเลย เพราะคำของคนอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีทุกอย่าง ตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ในขณะนี้ แต่เพราะการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ จะเข้าใจแม้แต่คำที่พูดถึงคือผัสสเจตสิก เราสามารถที่จะรู้มั้ย โลภะก็มีเราสามารถที่จะรู้มั้ย ทุกอย่างที่ได้ยินได้ฟังนี่ค่ะ อยู่ในความมืดหมายความอะไรคะ ไม่ได้ปรากฏ ต่อเมื่อไหร่ปรากฏ ปรากฏกับอะไร ต้องปัญญา แล้วมีปัญญาพอที่สภาพนั้นๆ จะปรากฏหรือยัง เห็นไหมคะ ว่าการศึกษาธรรมเนี่ยต้องเพื่อละความเป็นเรา ต้องรู้จริงๆ ค่ะเราเป็นใคร ฟังธรรมเท่าไหร่ และแต่ละคำ และกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งอยู่ในความมืด ยังไม่เปิดเผยปรากฏเลยว่า ขณะนั้นเป็นอะไร แม้แต่ความติดข้องก็ไม่ใช่ผัสสเจตสิก แม้แต่ความรู้สึกก็ไม่ใช่ผัสสเจตสิก แม้แต่ความจำก็ไม่ใช่ผัสสเจตสิก แล้วเราจะพูดถึงผัสสเจตสิก ซึ่งจิตรู้สิ่งใดก็เพราะเจตสิกนั่นแหละกระทบ แต่ขณะนี้เห็นแล้วรู้ไหมว่า ผัสสสะในขณะนั้นกระทบสิ่งที่ปรากฏ พร้อมกับการเห็น นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งยิ่งฟังนะคะ ยิ่งรู้ความห่างไกลกันมาก ระหว่างความไม่รู้ และการยึดถือ สภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ว่าจากการที่ฟังนะคะ ธรรมทั้งหลายรู้เองไม่ได้ แม้แต่ว่าเห็นอะไร ก็ยังรู้ไม่ได้เลย ได้ยินอะไร รู้ได้ไหมคะ จนกว่าจะได้ฟัง เพราะว่าเห็นอะไรเนี่ย เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้นะคะ ที่ให้เห็นเนี่ยพร้อมกันเลย กับรูปร่างสีสันวรรณะ เป็นคนนั้นคนนี้ทันทีเลย แต่ความจริงจิตเกิดดับเท่าไหร่กว่าแต่ละหนึ่ง ๑ๆ นะคะ จะรวมกันปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานให้จำได้ แต่ละหนึ่ง ๑ๆ เนี่ยละเอียดมาก

    เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความละเอียดยิ่งของธรรม ซึ่งห่างไกลกับการที่จะไปถึงการเป็นพระโสดาบัน หรือว่ารู้จักมรรค โดยที่บ้านไม่รู้เลยว่า มรรคคืออะไร นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งพุทธบริษัทจะได้ตระหนักถึงนะคะ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่ตรัสคำต่างๆ ที่ประกาศความจริงของสิ่งที่มี ให้คนอื่นได้เริ่มเห็นได้เข้าใจนะคะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ปรากฏเหมือนกับว่าเที่ยงทุกอย่าง ไม่ได้ดับไปเลย เพราะฉะนั้นต้องฟัง และเข้าใจ แต่ละคำนะคะ ทีละหนึ่งคำ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ที่จะสนทนานะคะ ทีละหนึ่งคำ ตัดไปเลยจะพูดถึงสมาธิ ก็ต้องรู้ว่าสมาธิคืออะไร แล้วถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมตามลำดับ จะเข้าใจไหม ก็เป็นเรานั่นแหละที่ฟังเรื่องสมาธิ และเข้าใจว่าสมาธิคืออย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็คือเราเข้าใจ ซึ่งก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าเรา เพราะเหตุว่า ความจริงเป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะคือจริงๆ อ่ะ การกระทบเนี่ย ตอนฟังใหม่ๆ เนี่ย ก็มีความรู้สึกว่าถ้ารูปกับรูปกระทบกันเนี่ย ก็ยังมีความเข้าใจได้ แต่พอเป็นนามกับนามกระทบกัน คิดไปเอง

    ท่านอาจารย์ คิดเองตลอดค่ะ เพราะฉะนั้นฟังธรรมแล้วคิดเอง มีทางที่จะเข้าใจมั้ย

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรม ไม่คิดเองเลยค่ะ แต่รู้ความลึกซึ้งว่าขณะนี้จิตเห็นแค่ ๑ ขณะที่เกิดขึ้นเห็น มีเจตสิก ๗ ชนิด ๗ ประเภทเกิดรวมกัน และแต่ละ ๑ ทำกิจหน้าที่ของตนพร้อมกับจิต ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แค่นี้ก็ลึกซึ้งแล้ว และเราจะมาคิดว่า จะไปรู้จักผัสสเจตสิก หรือว่ามนสิการเจตสิก ได้ยินชื่อก็อยากรู้ละ

    ผู้ฟัง แต่หน้าที่ของผัสสะนี่ก็คือ หน้าที่ของการกระทบ

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าใครรู้

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีผัสสเจตสิกจิตจะเกิดได้มั้ย จะรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏได้มั้ย

    อ.อรรณพ ซึ่งวันนี้ เราก็สนทนากัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่จะเตือนใจ ถึงเรื่องการปฏิบัติผิดนะฮะ การที่คิดว่าพุทธศาสนาเนี่ย คือสิ่งที่ทำๆ กันมาด้วยความเคยชิน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ยังไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วจะปฏิบัติจะถูกเหรอคะ

    อ.อรรณพ ไม่ถูกแน่นอนครับท่านอาจารย์ แต่ว่าเนื่องจากว่า ยังไม่มีโอกาสฟังพระธรรม หรือไม่ได้สะสมเหตุผลมาที่จะรับพระธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นความเคยชิน ที่คิดว่าพุทธศาสนาต้องเป็นนั่งสมาธิ ต้องอะไรอย่างเงี้ยฮะ จนเป็นความเคยชิน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ คิดเอง

    อ.อรรณพ ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.อรรณพ แต่เป็นความคิดเองที่ไม่ถูก แต่ว่าได้ถ่ายทอดกัน ขยายกันจนเป็นวงกว้างนี่ครับ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่าจะสลัดจากความเคยชินผิดๆ เหล่าเนี้ย ได้อย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ฟังพระธรรม และรู้ว่าพระธรรมคืออะไร

    อ.อรรณพ แค่พุทธศาสนาก็ไม่เข้าใจแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ฟังพระธรรมเลยสักนิด แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ครูอาจารย์ธรรมดา ไม่ใช่คนนั้นคนนี้นะคะ แต่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่นี้ค่ะ สำนึกไหม รู้สึกมั้ยว่าพระองค์เป็นใคร แล้วก็จะไม่ศึกษาเลย ไม่ฟังเลยคิดเอง ถ้าคิดเองก็คือว่าไม่ได้นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ตรง ถ้าจะกล่าวว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พึ่งเมื่อไหร่คะ เจ็บป่วยแล้วไปนั่งสวดมนต์เหรอคะ นั่นหรือคะพึ่ง ก็ต้องเป็นผู้ตรง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม จะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งไม่ได้

    อ.คำปั่น ก็จะมีการกล่าวถึงคำว่า พระพุทธศาสนากันอยู่เสมอ บางครั้งก็บอกว่าช่วยกันปกป้อง ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา แต่ก็ยังไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ ว่าที่จริงแล้วพระพุทธศาสนาคืออะไร และจะช่วยกันปกป้อง หรือว่ารักษาพระพุทธศาสนาได้อย่างไร ครับก็กราบเรียนท่านอาจารย์ ในช่วงแรกครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาคืออะไรนะคะ จะปกป้องอะไรล่ะคะ ในเมื่อไม่รู้ เพราะฉะนั้นการที่จะกล่าวว่า จะปกป้องพระพุทธศาสนาก็คือว่า ต้องรู้ว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อนี้ก็ไม่มีใครอีกแล้วนะคะ ในสากลโลกทั้งหมด ไม่ว่าโลกมนุษย์ เทวดา พรหม อีกนานแสนนานก็จะไม่มีการที่จะได้ยินได้ฟัง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภายใน ๕๐๐๐ ปี แต่ว่าถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจเสียเดี๋ยวนี้จะถึง ๕๐๐๐ ปีไหมคะ ก็อันตรธานไปเลย เพราะฉะนั้นการที่จะรักษาพระศาสนาก็คือว่า ต้องศึกษาให้เข้าใจคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็รู้ว่าเป็นคำสอน ซึ่งเมื่อพระศาสนาอันตรธานแล้ว ไม่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟังคำต่างๆ เหล่านี้อีกเลย เพราะฉะนั้นสัตว์โลกก็อยู่ในความมืดไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ไม่รู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้นะคะ คืออะไร ด้วยเหตุนี้ค่ะ ไม่ลืมว่าต้องเป็นผู้ตรง ถูกคือถูก ผิดคือผิด จึงจะได้สาระ จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญา ที่ได้สะสมมานะคะ จนสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่เมื่อไรก็มี เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ว่าถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำของพระองค์เลยนะคะ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ว่านี่แหละ คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามนะคะ ที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม ก็จะไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีทั้งหมด

    อ.คำปั่น ครับก็จะมีประเด็นสนทนา กับท่านอาจารย์ต่อเนื่องว่า อะไรที่เป็นแหล่งทำลาย หรือว่าเป็นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ที่อันตรายอย่างยิ่งครับ

    ท่านอาจารย์ ทุกคำที่ไม่จริง ทำลายคำจริง วาจาสัจจะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าที่ไหนค่ะ

    อ.อรรณพ ซึ่งในประเทศไทยรวมทั้งประเทศอื่นๆ อยู่นะครับ ก็พุทธศาสนาในความคิดของเขา ก็คือการต้องไปสำนักปฏิบัตินี่ครับท่านอาจารย์ จะเป็นการทำลายพระศาสนาอย่างไรครับท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ สำนักคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดเอาเอง ปฏิบัติอะไรคะ

    อ.อรรณพ ก็คิดว่าทำสิ่งที่เขาคิดว่าดีครับ

    ท่านอาจารย์ อะไรล่ะคะดี

    ผู้ฟัง ก็คือถือศีล แล้วก็ไม่ไปวุ่นวายอะไร

    ท่านอาจารย์ อยู่บ้านถือศีลได้ไหม

    อ.อรรณพ อยู่บ้านก็ถือศีลได้

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมต้องไปสำนักปฏิบัติ

    อ.อรรณพ แต่ถ้าได้ไปในกลุ่มคนที่มีความเห็นเดียวกันนะ แล้วก็ไปร่วมกันถือศีล ก็อาจจะช่วยทำให้มีความตั้งมั่นมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ จะช่วยกันไม่เข้าใจธรรม ช่วยกันเห็นผิด จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกแห่ง ไม่ว่าขณะไหนเวลาไหน เดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม ที่สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้นนะคะ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย ที่ไหนก็ได้ค่ะ บนรถไฟได้ไหมคะ สนทนาธรรม มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่โต๊ะอาหารได้ไหมคะ ได้ ที่ไหนก็ได้ ในห้องนอนได้ไหม ก็ได้ ทุกอย่างที่มีสิ่งซึ่งไม่รู้ ไม่เคยรู้มาก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง เพราะทรงตรัสรู้เห็นนี่ต้องไปเห็นที่สำนักปฏิบัติหรือเปล่า

    อ.อรรณพ อยู่ที่ไหนก็มีปัจจัยให้เห็น

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วไปที่นั่นทำไม ไปเห็นอะไร

    อ.อรรณพ ก็คือไม่ได้สนใจที่จะรู้ลักษณะของการเห็น

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นก็ไปด้วยความไม่รู้ และก็ทำสิ่งที่ไม่รู้ กลับมาก็ไม่รู้ เสียเวลาไหม

    อ.อรรณพ คือก็หลายหลากมากความคิดนะครับ บางความคิดก็คือไปแล้วก็ไปทำอย่างนั้นแล้วก็คิดว่าก็ดี ที่ว่าได้หลีกออกไปนะครับ แล้วก็ไม่ไปทำอะไรที่วุ่นวาย ดูเงียบๆ ดี

    ท่านอาจารย์ ค่ะ คนที่ไปไม่ได้ยิน แม้คำว่าปริยัติ ปริยัติไม่เคยได้ยินแน่นอน เพราะว่าไม่รู้ว่าคืออะไร

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อันนั้นก็มีส่วนนึง ที่เค้าไม่เคยได้ยินคำว่าปริยัติ แต่บางหลายที่นะ บางสำนักเนี่ย เขาก็บอกว่ามีปริยัติด้วย คือบางทีเค้าก็เอาข้อความในพระไตรปิฏก เอามาอ่านตรงๆ นะท่านอาจารย์ แต่ว่าก็ไม่ได้มีการอธิบาย ความละเอียดอะไร หรืออธิบายแบบของเขา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปริยัติ ไม่ได้หมายความว่าฟัง อ่าน พูด แต่ไม่เข้าใจธรรม

    อ.อรรณพ คืออย่างในรายการวิทยุก็มีนะฮะ บางทีเขาก็เอาข้อความในพระไตรปิฏกมาก็มาอ่าน

    ท่านอาจารย์ ค่ะแต่ค้านกับพระพุทธพจน์ ถ้าเป็นสำนักปฏิบัติ

    อ.อรรณพ ค้านยังไงบ้างครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลยนะคะ ที่ไหนเมื่อไหร่ เป็นอนัตตา คำว่าอนัตตาหมายความว่าอะไร แม้แต่คำเดียวก็ค้านแล้ว อนัตตาหมายความว่าธรรมเดี๋ยวนี้นะคะ เห็น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ได้ยิน มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่ค่ะเป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นมาเองก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้ แล้วธรรมก็เกิดอยู่ตลอดเวลา เพราะมีปัจจัยนะคะ ที่จะปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยขาดธรรมเลย เพราะฉะนั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ธรรมทั้งหลายทั้งหมด ไม่เว้นเลยนะค่ะเป็นอนัตตา อนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เพราะฉะนั้นค้านไหมคะกับสำนักปฏิบัติ

    อ.อรรณพ เขาก็บอกว่า การที่ได้ไปที่สถานที่ ที่ไม่วุ่นวาย ไม่อะไรนะครับ แล้วก็เป็นการรวมกันของผู้ที่มาถือศีลด้วยกันนะครับ แล้วก็มาปฏิบัติกันเนี่ย ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้ค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ในครั้งพุทธกาลนะคะ มีสำนักปฏิบัติไหมคะ

    อ.อรรณพ ในพระไตรปิฏกไม่มีฮะ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมมี

    อ.อรรณพ อันนี้ผมก็ขอพูดให้ชัดเจน ว่าเค้าบอกว่าสมัยก่อนเนี่ย เป็นผู้ที่มีปัญญามาก เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมเนี่ยได้ในทุกที่ แต่นี่ในยุคนี้ยังมีปัญญาน้อย ก็ต้องอาศัยสัปปายะ อาศัยเหตุปัจจัย ที่จะค่อยๆ น้อมไปนะครับ ที่จะค่อยๆ รู้ขึ้น รู้ขึ้น รู้ขึ้น เพราะฉะนั้นสำนักต่างๆ นี่ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่อาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือคะ ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้พูดซักคำเดียว ว่าอาศัยคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งตรัสไว้ดีแล้วทุกเมื่อ พูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง ไม่ได้บอกให้ใครไปที่ไหนเลย คนที่ได้มีโอกาสในครั้งโน้นนะคะ ได้ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน ไปไหน ไปสำนักไหน ถ้าจะกล่าวว่าเขาได้สะสมปัญญามามากนะคะ ที่เมื่อฟังพระพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสแล้ว เข้าใจได้ทันที ก็เราไม่เข้าใจไม่ใช่หรือ เราเป็นพวกมีปัญญาน้อยกว่าบุคคลในครั้งนั้นไม่ใช่หรือ แล้วเราไม่ศึกษาพระธรรมจนเหมือนเขาอ่ะ จนพอฟังแล้วก็สามารถเข้าใจได้ว่า เห็นขณะนี้ไม่ใช่เรา เกิดขึ้น และดับไป คนในครั้งโน้นเข้าใจได้ เพราะว่าเขาสะสมมานานมาก กว่าจะค่อยๆ รู้เห็นที่กำลังเห็น หรือได้ยินที่กำลังได้ยิน สภาพธรรมที่ปรากฏ และก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้นคนในยุคนั้นนะคะ ไม่ได้สะสมมาก่อนจากการที่ไม่เคยฟังพระธรรม แล้วก็เริ่มฟังเริ่มเข้าใจขึ้น แต่ละชีวิตก่อนที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเนี่ยค่ะ หลากหลายมาก เป็นยาจกเข็ญใจ ไร้ทรัพย์นะคะ เป็นเศรษฐีมั่งมี เป็นผู้ที่เป็นเสนาบดี เป็นพระราชา เป็นหญิง เป็นชาย หมดทุกอย่าง เป็นนก เป็นแมว เป็นหนู เป็นปู เป็นไก่ ได้หมดเลยนะคะ แต่ว่ากว่าจะได้ฟังพระธรรม จนกระทั่งเข้าใจเมื่อได้ฟัง คำเมื่อไหร่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะเคยฟังมาแล้ว อย่างเมื่อวานนี้นะคะ เราพูดถึงธรรมถ้าฟังแล้วเข้าใจแล้ว วันนี้ก็จำได้เลย พอได้ยินก็รู้ว่าแต่ละคำ หมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นอย่างอื่นนะคะ อ้างไม่ได้เลยนอกจากปริยัติ พระพุทธพจน์ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จากการที่ได้ทรงรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สงบสักเท่าไหร่ ร่มรื่นสักเท่าไหร่ แต่ไม่มีคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นั้นก็ไร้ประโยชน์ แต่ว่าไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยนะคะ จะกำลังหิว จะกำลังโกรธ จะกำลังสุขสำราญ อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า ยังไงก็ตาม แต่เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยะสัจธรรมได้ แต่ไม่ต้องไปกังวลนะคะ จะรู้แจ้งสัจธรรมได้เมื่อไร เพราะไม่ใช่เราค่ะ เริ่มเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างจนกว่าจะทั่ว เดี๋ยวนี้เองก็เป็นธรรม แต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้นไม่ใช่สถานที่นะคะ แต่ต้องเป็นพระพุทธพจน์ คำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วเท่านั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้เราอยู่ที่ไหนคะ อยู่เป็นหมู่เป็นคณะ ฟังธรรม ไม่ใช่สำนักปฏิบัติ แต่เป็นที่ที่จะได้ยินได้ฟังธรรม เพื่อที่จะเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเราไปอยู่ที่อื่นนะคะ เงียบสงบดีนั่งนิ่งๆ ไม่เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เลย นั่นเหรอคะสำนักอะไร เพราะไม่เข้าใจคำว่า ปฏิบัติคืออะไร ถ้าจะเข้าใจว่าปฏิปัติ ปฏิปัติ ไม่ใช่เราเป็นธรรม แล้วอะไรปฏิบัติ ไม่ใช่เราอีกเหมือนกัน ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงนะคะ จนกว่าจะรู้ทั่วว่าไม่ใช่เรา เมื่อนั้นจึงจะค่อยๆ เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่จำกัดเวลาสถานที่ว่า ต้องไปฟังที่นั่นที่นี่ที่โน่น อยู่คนเดียว ก็ฟังได้ เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ข้อที่ควรจะเชื่อตามว่า ต้องไปสู่ที่หนึ่งที่ใด แล้วจึงจะปฏิบัติธรรม โดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรมอะไรเลย

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อย่างคนที่เขาได้ยินได้ฟังมา หลากหลายแนวทางเนี่ย เค้าก็จะมีเหตุมีผลที่เค้า ดูเหมือนจะแนบเนียน นะท่านอาจารย์ว่าก็ทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย เขาก็มีเหตุปัจจัยของเขา ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น หรือเจริญธรรมขึ้น ในรูปแบบของเค้า อะไรกำลังมี ก็ค่อยๆ รู้ไปตรงนั้นน่ะฮะ

    ท่านอาจารย์ ก็ตรงนี้ไงคะปกติ ไม่เห็นต้องไปตรงไหน เพราะฉะนั้นคำพูดค้านกันไม่ได้ ถ้าบอกว่าต้องไปก็แสดงว่า ตรงนี้รู้ไม่ได้ใช่ไหม ชักชวนกันไปเพราะอะไร คิดว่าเมื่อไปแล้วจะรู้ แล้วรู้อะไร ถ้าตราบใดที่ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่เกิดแล้วอย่างเดี๋ยวนี้ ปัญญาไม่สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้หรือ ปัญญาต้องสามารถที่จะรู้ได้ทุกอย่าง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง รู้แจ้งอริยสัจธรรมที่ไหนก็ได้ ในครัวก็ได้ ในครัวเป็นสำนักปฏิบัติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ฮะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะกำลังล้างเท้า เป็นสำนักปฏิบัติหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ไม่ใช่ฮะ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไม ถึงจะมีคำที่ทำลายคำของพระพุทธเจ้า โดยการที่พระองค์ตรัสว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา มีจริงๆ ปัญญาสามารถที่จะอบรมจนกระทั่งประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อถึงเวลาที่ปัญญาอบรมแล้ว เจริญแล้วนะคะ ที่จะรู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็รู้ความจริงเมื่อนั้น ท่านพระสารีบุตรไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะพบท่านพระอัสสชิได้ฟังธรรมแล้ว ก็รู้แจ้งธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเอง ไม่ใช่ต้องไปที่ไหนเลยทั้งสิ้น ท่านพระอัสสชิก็ไม่ได้บอกท่านพระสารีบุตร ว่าไปสำนักปฏิบัติก่อน แล้วก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรมที่นั่น แต่ที่ไหนก็ได้นะคะ ที่ได้ยินคำที่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นได้ เหมือนเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเป็นปัญญาที่อบรมแล้วนะคะ ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเดี๋ยวนี้ ที่นี่ได้ นี่จึงจะเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตา เพราะฉะนั้นก็เริ่มเป็นอัตตาตั้งแต่เริ่มคิดที่จะให้คนอื่น ไปที่สำนักปฏิบัติ โดยที่ไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร ไม่ใช่เขาเลย ไม่ใช่คนนั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อัตตาที่จะปฏิบัติ แล้วไปแล้วทำอะไร ที่สำคัญที่สุดนะคะ ไปแล้วทำอะไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ขาหนูขอร่วมสนทนานิดนึง คือสำหรับผู้ที่มาใหม่นะคะ อาจจะคิดว่าตอนนี้เรากำลังโจมตีสำนักปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศไทย

    ท่านอาจารย์ เนี่ยเวลาที่พูดธรรมนี่นะคะ จะชัดเจนมาก ถ้าเราพูดทีละคำ โจมตีคืออะไรคะ ถ้าเราพูดสิ่งที่ถูกต้องเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ ในเมื่อคนอื่นนะคะ ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ความจริงคืออะไร พระพุทธพจน์แต่ละคำคืออะไร ธรรมคืออะไรปฏิบัติคืออะไร เราไม่ใช่บอกว่าผิด โดยที่ว่าไม่ได้ชี้แจงว่าผิดตรงไหน แต่ผิดตรงนั้นผิดตรงนี้ เพื่ออะไรคะ เพื่อให้รู้ว่าถูกคืออย่างไร การที่สามารถที่จะทำให้คนอื่นหนิเข้าใจถูกต้องได้ผิดหรือ และเป็นการโจมตีใคร ไปโจมตีความเห็นผิดหรือยังไงคะ หรือไปโจมตีความเห็นถูก หรือไปโจมตีอะไร แต่คำที่จริงนั่นแหละค่ะ ตรงกันข้ามกันคำจริงเป็นอย่างหนึ่ง คำไม่จริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นผู้ฟังนะคะ ไม่ใช่คิดว่าโจมตี เพราะเหตุว่ามีคำที่กล่าวถึงแต่ละคำให้เข้าใจ ถูกต้องชัดเจนขึ้น แล้วจะโจมตีอะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567