ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
ตอนที่ ๙๑๘
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์รีสอร์ท จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ผู้ฟัง บ่อยครั้งที่ได้ฟังได้ศึกษาก็คือ ต้องไม่ลืมคำแรกคือคำว่าธรรม ซึ่งลืมไม่ได้จริงๆ
ท่านอาจารย์ แต่ก็ลืมว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม เสมอเลยใช่หรือไม่ กำลังนั่งอยู่ที่นี่ เป็นธรรมทั้งหมด ลืมว่าเห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ลืมว่าได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ลืมว่าคิดก็เป็นธรรม ลืมทุกอย่างแต่กำลังฟังเรื่องธรรม เพราะฉะนั้นต้องฟัง จนกว่าจะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง จริงๆ ว่าขณะนั้นแต่ละ ๑ เป็นธรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นความลึกซึ้งของพระธรรม เราได้ยินคำ เริ่มฟัง เริ่มรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เอง แต่ว่าเราบอกว่าเห็นเป็นธรรม ก็เพียงแต่จำเห็นมีจริง เพราะฉะนั้นเป็นธรรม แต่ความจริงของเห็น ยังไม่รู้ความจริงว่าเพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมต้องฟังนาน ต้องฟังมาก นานนั้นไม่ใช่ว่ากำหนดเวลาได้ แต่หมายความว่าฟังด้วยความเข้าใจทุกคำ และก็ไม่ลืมว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้ ที่ฟังเรื่องธรรมก็คือ ฟังเรื่องสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ลืมแล้วใช่หรือไม่ ก็เป็นประจำ เพราะเหตุว่านี่คือธรรม เมื่อสะสมความหลงลืม ความไม่รู้มานานแสนนาน ฟังเข้าใจแล้วก็หมด
เพราะฉะนั้นก็เป็นเหตุปัจจัย ที่จะให้สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่อเหมือนทุกวัน เพราะฉะนั้นธรรมเป็นปกติ ไม่ผิดปกติ ถ้าใครคิดว่าธรรมต้องไปทำอะไรขึ้นมา ต้องไปรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่ใช่เดี๋ยวนี้ นั่นคือไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ทุกชาติด้วย ในเมื่อชาตินี้เห็นผิด เข้าใจผิด ชาติต่อๆ ไปก็ไปทำสิ่งซึ่งยังไม่มี แล้วก็หวังว่าจะรู้ความจริงสิ่งนั้น แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นี่เป็นเหตุที่ฟังด้วยความเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ มิฉะนั้นแล้วก็จะนำไปสู่ทางผิด เพราะหลงผิดเข้าใจว่าขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้ยิ่ง ให้เข้าใจยิ่งว่าเห็นไม่ใช่เรา ได้ยินไม่ใช่เรา คิดไม่ใช่เรา ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เราเพราะเป็นสิ่งที่เกิด มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นการฟังจึงต้องฟังตลอดชีวิต แล้วก็ทุกๆ ชาติ ด้วยความเป็นผู้ที่ตรงว่าเมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เข้าใจเพียงคำ แต่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้เกือบจะไม่มีใครรู้ว่าแข็งปรากฏแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจทุกอย่าง ละเอียดยิ่ง จนกระทั่งไม่เหลือความสงสัย ไม่เหลือความเป็นเรา ไม่ต้องหวังที่จะไปประจักษ์วิปัสสนาญาณต่างๆ ซึ่งมีได้อย่างไร เพราะเหตุว่ามาจากไหน ไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจอะไร เพียงได้ยินชื่อก็จะทำปริญญาหรือว่าจะทำวิปัสสนา ซึ่งไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ต่างหาก ซึ่งฟังพอที่จะระลึกได้หรือไม่ ในขณะนี้ที่เห็นว่า เห็นนั้นเองเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ต้องฟัง และเป็นผู้ตรงว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล แต่ว่าเมื่อเป็นนามธรรมก็ไม่มีที่จะบรรจุ แต่ถ้าเป็นรูปธรรมเกินกว่าจักรวาลที่จะเก็บไว้ได้ แล้วอย่างนั้นจะให้หมดไปได้อย่างไร เพราะเหตุว่าไม่รู้ จึงติดข้องยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าแต่ละ ๑ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปเท่านั้น ก็ต้องอาศัยเป็นผู้ตรง ซึ่งก็เป็นบารมีหนึ่งคือสัจจบารมี แล้วก็รู้ตัวเองว่าฟังนานเท่าไรก็ไม่สำคัญเท่ากับมีความเข้าใจขึ้นหรือไม่ในสิ่งที่ปรากฏ ในสิ่งที่ปรากฏแสดงว่าสั้นมากเล็กน้อยมาก แค่ที่ปรากฏแล้วก็หมดไป นี่คือกว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ ก็ต้องเป็นผู้ที่มีปกติ ฟังธรรม เข้าใจธรรม แล้วก็สภาพธรรมที่เป็นอนัตตาก็เกิดขึ้นเป็นปกติ
อ.คำปั่น การสะสมความไม่รู้มามาก มานาน ถ้าเป็นวัตถุสิ่งของก็ไม่มีที่เก็บ เพราะว่ามีมากเหลือเกิน จักรวาลก็แคบ พรหมโลกก็ต่ำ เพราะว่ามีมาก ไม่พอให้เก็บ มีมากจริงๆ แต่ว่ากว่าที่จะค่อยๆ สะสมความเข้าใ่จ เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน ในการสะสมความเข้าใจ จากการที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา แต่ว่าเหตุปัจจัยที่จะทำให้ได้ฟังธรรมต่อไปก็คือ ความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่ขาดการฟังพระธรรม จึงจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้มีการฟัง มีการศึกษาพระธรรมต่อไป
ผู้ฟัง ความเป็นปกติของศีล ขอให้อาจารย์อธิบายเพิ่มเติม
ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความเข้าใจจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ไปบังคับ ไปฝืน แต่การที่จะมีการระลึกได้ แม้เพียงคิดว่าเป็นธรรม ขณะนั้นคิดหรือไม่
ผู้ฟัง คิดว่าเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย จะคิดอย่างนั้นหรือไม่
ผู้ฟัง ไม่คิดอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแม้แค่คิด ก็ยังต้องอาศัยการฟังจึงจะคิดได้ เพราะหลายคนก็มีชีวิตประจำวันตลอดไปทั้งวัน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะไปฝืนให้เป็นอย่างนั้นได้ แต่รู้แน่นอนว่าเป็นธรรม คือไม่มีใครเป็นเจ้าของ บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะมีปัจจัยที่ทำให้สามารถถึงเฉพาะ ลักษณะของสภาพธรรมทีละ ๑ ด้วยความเข้าใจ เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังพระธรรมแล้วเข้าใจเป็นปกติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรา แต่ขณะนั้นมีการรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ฟัง เพราะว่าเห็นเป็นเลือดไม่ได้ เห็นเป็นยุงไม่ได้ เห็นเป็นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ สั้นแสนสั้น แต่ปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นฟังธรรมนี้เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออะไรทั้งสิ้น เพราะความเข้าใจนี้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงปัญญาที่รู้สภาพธรรมมากขึ้นตามลำดับโดยความเป็นอนัตตา ข้อสำคัญที่สุด โดยความเป็นอนัตตา จะทำอะไรก็เป็นอัตตา เพราะฉะนั้นการทำไม่ใช่การเข้าใจ แต่การเข้าใจเป็นปกติที่ค่อยๆ เกิด ค่อยๆ คิดได้แล้วก็หมดไป แม้ว่าจะไม่ถึงเฉพาะลักษณะที่ เห็นไม่ใช่ยุง แต่ว่าปกติเห็นยุง เพราะฉะนั้นเห็นดับไปก่อน แล้วมีการจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ แล้วแต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ก็มีการคิดถึง แล้วก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ทั้งหมดเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นกว่าจะไม่ใช่เราทั้งหมดนั้นก็ต้องอาศัยการละความเป็นเรา โดยการที่เข้าใจถูกเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง เป็นปกติ ทั้งหมดเป็นธรรม ตบยุงแล้วก็เป็นธรรมคือคิด ไม่คิดจะมีตบยุงแล้วหรือไม่ ก็ไม่มี ใช่หรือไม่ แล้วถ้าคิดอย่างอื่นก็ไม่ใช่ตบยุงแล้ว แต่ขณะนั้นต้องเป็นคิดอย่างนี้
ผู้ฟัง ก็ห้ามคิดไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีใครจะไปห้ามอะไร เพียงแต่เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เกิดแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรที่ปรากฏคือเกิดแล้ว เกิดแล้วจะไปทำให้เกิดหรือ ในเมื่อเกิดแล้ว และสิ่งที่ยังไม่เกิดก็ยังไม่มีปัจจัยจะเกิด แล้วใครจะไปทำให้เกิด ทั้งหมดนี้เป็นธรรม นี้คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการที่จะถึงความเป็นพระโสดาบันที่จะไม่ล่วงศีล ๕ ทุจริต ไม่ใช่เป็นเราที่พยายาม แต่ว่าเป็นปกติที่ได้รู้ลักษณะของธรรม มากพอจนประจักษ์แจ้งจริงๆ ว่าไม่มีเรา ปัญญานั้นเองทำให้ไม่กระทำทุจริต
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต่างกับของคนอื่น คนอื่นบอกวิธีให้ ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แต่ไม่สามารถที่จะทำได้ บอกไปสิ ทำได้หรือไม่ เพราะเหตุว่าธรรมมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่ใครไปบอกให้ปัจจัยนั้นทำให้ธรรมนั้นเกิดขึ้น เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด ต่อไปนี้ก็คงเป็นเรื่องที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง แต่ยังไม่เข้าใจพอ ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นก็มีหนทางเดียวคือฟังธรรมทุกคำ ด้วยความเข้าใจขึ้น จะทำให้มั่นคง และก็สามารถที่จะค่อยๆ ถึงเฉพาะลักษณะที่เป็นธรรมแต่ละ ๑ ความเข้าใจก็ชัดเจนว่า ๑ นั้นเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แทนที่จะไปหาวิธีอื่น ทำอย่างอื่น เพราะถ้าหาวิธีอื่น ก็เรานั้นเองกำลังหา แต่ถ้ารู้ว่าคิดขณะนั้นเกิดแล้วดับ แล้วก็เตรียมจะทำอย่างนี้ ถึงเวลาจริงๆ ทำอีกอย่างหนึ่งก็เพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นใครจะคิดสักเท่าไร ก็แค่ชั่วคิดแล้วก็ดับ แต่จะเป็นอย่างที่คิดหรือไม่ ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัย เป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ประเพณีคือการกระทำที่สืบต่อกันมา แล้วถ้าเป็นประเพณีของชาวพุทธ ไม่ใช่กระทำสืบต่อกันมาในเรื่องอื่น แต่ว่าเมื่อเป็นชาวพุทธคือผู้ที่ฟังธรรม และก็เป็นผู้ที่มีเหตุผล และก็มีความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเป็นชาวพุทธแต่ไม่มีเหตุผล และก็ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วก็ทำเป็นประเพณี อย่างนั้นประเพณี อย่างนั้นไม่ใช่ชาวพุทธ ถ้าเป็นประเพณีของชาวพุทธสืบต่อกันมาก็คือฟังพระธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจ และสนทนาธรรมเพื่ออะไร ก็เพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ถ้าเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแล้ว เป็นเรื่องของความเข้าใจถูกต้องทั้งหมด ไม่มีเรื่องอื่น ต้องเป็นเหตุเป็นผล สามารถที่จะตอบได้ ในเหตุ และในผล ไม่ใช่ทำสืบๆ ต่อกันมา โดยตอบไม่ได้เลยว่าทำเพื่ออะไร แต่ว่าสำหรับชาวพุทธ ต้องเป็นคนที่ตรงแล้วก็มีเหตุผล นี่คือประเพณีของชาวพุทธ ซึ่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อมีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ แล้วก็มีการสนทนาธรรมเพื่อเข้าใจยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าเพียงฟังเท่านั้นไม่พอ แต่ถ้ามีการแลกเปลี่ยนสนทนาธรรม ความเข้าใจก็กว้างขวาง มั่นคงละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้นประเพณีพุทธ ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าอย่างอื่นแต่จะบอกว่าเป็นประเพณีของชาวพุทธได้หรือ เช่น การบวช แม้แต่คำว่าบวช ต้องตรง สละทั้งหมด ทุกอย่าง มิฉะนั้นก็เป็นคฤหัสถ์
เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมก็รู้อัธยาศัยของตัวเอง ไม่ใช่บวชเพราะถูกสั่งให้บวช ไม่ใช่บวชเพราะถูกชักชวนให้บวช แต่ต้องเป็นพวกที่เข้าใจถูกต้องว่าบวชคืออะไร บวชคือการสละชีวิตของคฤหัสถ์ เต็มไปด้วย กิจธุระ การงาน ทรัพย์สินเงินทอง ธุรกิจเรื่องเพลิดเพลินต่างๆ นั่นคือชีวิตของคฤหัสถ์ ไม่ใช่ว่าคฤหัสถ์จะฟังพระธรรมไม่ได้ เพราะพระธรรมจริงสำหรับทุกชีวิต ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร จะเป็นคนขอทานหรือว่าจะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือจะเป็นเสนาบดี หรือจะเป็นพ่อค้า นักธุรกิจ แต่ละชีวิตเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ใช่ไปเปลี่ยนอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ให้เข้าใจสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นให้ถูกต้องว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นต้องเกิด เพราะอะไร เกิดแล้วบังคับไม่ให้เกิดไม่ได้ ต้องเกิดเพราะมีปัจจัยที่จะทำให้เกิด จึงต้องเกิด ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดก็เกิดไม่ได้ แค่นี้ฟังแล้วเข้าใจอย่างมั่นคงหรือไม่ นี่คือธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เป็นอย่างนี้มาตลอด แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ไม่มีใครบอก ไม่มีใครค้นพบ ไม่มีใครตรัสรู้ความจริงนี้ ก็อยู่กันมาโดยไม่รู้ จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นได้เข้าใจถูกตามพระองค์ด้วย เพราะฉะนั้นชาวพุทธ คือผู้ที่ฟังธรรม แล้วเข้าใจถูกตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าคิดเองแล้วบอกว่าเป็นชาวพุทธ ถ้าคิดเองแล้วก็ผิดแล้วก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ ก็ไม่ตรง
เพราะฉะนั้นประเพณีของชาวพุทธ ก็คือการฟังธรรม ขาดได้หรือไม่ ชาวพุทธ ถ้าขาดจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธหรือไม่ ไม่รู้เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร เรื่องอะไรก็ไม่รู้ แล้วบอกว่าเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธคืออะไรคือผู้ไม่รู้หรือ ในเมื่อพุทธะคือปัญญา คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงถูกต้อง เพราะฉะนั้นชาวพุทธก็คือผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจถูกต้อง เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงธรรม ไม่เหมือนกับพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ไม่ได้ทรงแสดงธรรมอย่างพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นก็จะเห็นความต่างกัน แต่ละคำ แต่ละคำนี้เพื่อใคร เพื่อผู้ที่ฟัง จะได้เข้าใจจริงๆ ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะรู้ว่ากิเลสมากเหลือเกิน ฟังอย่างไรๆ ก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้ทันทีทั้งหมดดับกิเลสไป หรือว่าไปทำอะไรซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นต้องตระหนักในคำว่าชาวพุทธ และประเพณีของชาวพุทธ คือฟังธรรมเพื่อเข้าใจตรงตามเหตุ และผล ไม่ใช่ฟังแล้วเปลี่ยน แล้วคิดเอง และชักชวนคนอื่นในทางที่ผิด เพราะฉะนั้นบวชคือการสละเพศคฤหัสถ์ เพราะอัธยาศัยสะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศที่ไม่ใช่คฤหัสถ์ นี่แสดงให้เห็นความต่างกันแล้ว ต้องเป็นผู้ตรง จริงใจ สัจจะ อธิฐานมั่นคง ว่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่ได้บังคับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บอกให้ใครไปบวช แต่ว่าทรงแสดงธรรมให้เข้าใจ แล้วแต่อัธยาศัยของใครจะสามารถเข้าถึงพระธรรมระดับไหน ซึ่งใครก็รู้ไม่ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานี้ที่นั่งฟังกันอยู่นี้บอกได้หรือไม่ว่าเข้าใจธรรมระดับไหน เพราะว่าธรรมละเอียดมาก แต่ละคำนั้นต้องตรง นี่เป็นเหตุที่ถ้าไม่ศึกษาธรรมให้เข้าใจจริงๆ โดยละเอียด จะเข้าใจธรรมผิดหมด ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมายของคำว่าโพธิสัตว์
อ.คำปั่น คำว่าโพธิสัตว์ ก็มีคำว่า โพธิ กับคำว่า สัตตะ โพธิคือการตรัสรู้ สัตตะคือผู้ที่ยังข้องอยู่ในการที่จะตรัสรู้ พระโพธิสัตว์มี ๓ ประเภท ประเภทแรกก็คือพระมหาสัตว์ หรือว่าสัพพัญญูโพธิสัตว์ ก็คือผู้ที่สะสมอบรมคุณความดีเพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเภท ๒ ก็คือปัจเจกโพธิสัตว์ ผู้ที่สะสมบารมีเพื่อที่จะถึงการตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และประเภทที่ ๓ ก็คือ สาวกโพธิสัตว์ ก็คือผู้ที่สะสมอบรมบารมีคุณความดีมา เพื่อที่จะตรัสรู้ธรรมในฐานะที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง โพธิ การตรัสรู้ความจริง สัตตะ คนไทยใช้คำว่า สัตวะ หมายความว่าผู้ที่ข้องอยู่ ในการที่จะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นการข้องอยู่ที่จะรู้ความจริงนั้นระดับไหน ระดับถึงความเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูก เห็นถูกตามพระองค์ได้ด้วยการทรงแสดงพระธรรมโดยนัยประการต่างๆ ด้วยพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ต้องบำเพ็ญบารมีนานกว่าระดับอื่น ซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า สามารถที่จะรู้ความจริงได้ด้วยตนเอง และก็ทั้งหมดก่อนที่จะได้รู้แจ้งสัจธรรม ชีวิตส่วนใหญ่เป็นปกติธรรมดา แต่ใจที่จะถึงการรู้ความจริงไม่หายไปไหน เพราะฉะนั้นทุกคนขณะนี้เป็นโพธิสัตว์หรือไม่ เป็นหรือไม่เป็น ต้องตรงใช่หรือไม่ ถ้าอะไรผิดบอกว่าถูกไม่ได้ แต่ถ้าผิดแล้วบอกว่าถูก ไม่ใช่โพธิสัตว์แน่ เพราะว่าไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย ความจริงเป็นความจริงซึ่งตรง
เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรงเท่านั้น จึงจะได้สาระจากการที่ได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรม และจะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือว่าอริยสาวก ตามกำลัง ใครอยากถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ แบบพระมหาสัตว์ พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ คงไม่มี นานมาก แล้วก็ต้องบารมีสูงยิ่งกว่าใครทั้งหมด จึงสมควรแก่พระปัญญา ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถึงพร้อมด้วยพระญาณอื่นๆ อีกมาก ซึ่งหาใครเทียบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นคงจะไม่ถึงอย่างนั้นใช่หรือไม่ มีใครอยากจะถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าบ้างหรือไม่ มีใครคิดว่าวันหนึ่ง จากความเป็นผู้ที่ตรงต่อการที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีที่กำลังปรากฏ ไม่เห็นผิด ไม่ปฏิบัติผิด ไม่ว่าคนอื่นทั้งประเทศ ทั้งโลก วิธีไหนก็ตามจะเห็นผิดไป แต่ก็รู้ว่าไม่เป็นอย่างนั้น ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงตรงกับความจริงตามที่ได้ฟัง ใครในที่นี้ต้องการเป็นเป็นสาวกโพธิสัตว์หรือไม่ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ไม่ได้เพื่อเป็นอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น ตรงต่อการรู้แจ้งอริยสัจจะที่กำลังปรากฏ โดยที่ขณะที่ยังไม่ถึงความเป็นผู้ที่รู้แจ้งก็เป็นโพธิสัตว์ และวันหนึ่งก็จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน ซึ่งเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วก็จะถึงความเป็นพระอรหันต์แน่นอน จะไม่กลับไปเป็นปุถุชนอีก
เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ต้องเข้าใจให้ละเอียด อีกไม่นาน ใช้คำว่าไม่นาน แต่ไม่รู้ว่าเท่าไร ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป แล้วคิดดูเป็นใครต่อไปก็ไม่รู้ ไม่รู้อีกนานเกิดแล้วเกิดอีก เป็นแล้วเป็นอีก เดี๋ยวเป็นโน่น เดี๋ยวเป็นนี่ เดี๋ยวเป็นนั่น เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เหมือนอย่างนี้เลยไม่รู้จักจบสิ้น ไม่มีใครสามารถจะไปทำให้สิ้นสุดลงได้ เพราะฉะนั้นตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด พอหรือยัง หรือว่ายังไม่พอ เพราะเหตุว่าพอหรือไม่พอ ก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะกำหนดได้ เพราะฉะนั้นชีวิตมีค่า ขณะที่ได้เข้าใจพระธรรม ในสังสารวัฏ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเป็นใครอีก ก็ไม่มีการรู้ได้เลย เป็นนก เป็นปลา เป็นคน เป็นสารพัดที่จะเป็นต่อไปอีกข้างหน้าในสังสารวัฏไม่รู้จบ กับการที่ได้มีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจ ได้เห็นค่าของพระรัตนตรัย ไม่มีอะไรที่จะเทียบได้ แล้วจะจากโลกนี้ไป โดยที่ว่าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ศึกษาให้เข้าใจขึ้น ก็น่าเสียดาย เพราะเหตุว่าไปไหน ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้
เพราะฉะนั้นการที่ชาวพุทธเห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นอย่างนี้ พระวินัยก็คลาดเคลื่อนตามใจชอบ รับเงินรับทองซึ่งเป็นอาบัติ แล้วก็ไม่ได้ปลงด้วย เพราะว่ารับทุกวัน บ่อยๆ ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่มีการแก้ไข ไม่มีการที่ใครที่จะบูชาพระรัตนตรัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณของพระองค์ ด้วยการศึกษาธรรมให้เข้าใจ เพื่อที่จะให้สืบทอดไปถึงทั้งตัวเองในชาติต่อไป และสำหรับคนอื่นๆ ในชาตินี้ และในชาติต่อๆ ไปด้วย ก็เป็นการที่ไม่มีโอกาสที่จะออกจากสังสารวัฏ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ไม่ใช่ว่าตรัสรู้ได้ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี นานเท่าไรกว่าจะมีผู้ที่บำเพ็ญบารมี ถึงความที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสิ่งที่ให้เป็นมรดกที่ล้ำค่ากับชาวพุทธ ก็คือคำจริงทุกคำที่เป็นประโยชน์ทั้งพระธรรม และพระวินัย เพราะฉะนั้นทุกคนถ้าเห็นคุณอย่างนี้ บูชาคุณด้วยความเป็นผู้ตรง ศึกษาธรรมให้เข้าใจ ประกาศคำสอนที่ถูกต้อง เพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชาติต่อๆ ไป เพราะฉะนั้นชีวิตมีค่า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมอีกนานเท่าไร ก็ควรที่จะไม่ละเลยโอกาส ที่จะเป็นผู้ที่ตรงในการที่จะดำรงพระศาสนาไว้ ด้วยการที่ว่าเป็นผู้ที่ให้รู้ว่า สิ่งใดเป็นพระธรรม สิ่งใดเป็นวินัย ไม่ใช่ว่าตามใจชอบ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 920
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960