ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953


    ตอนที่ ๙๕๓

    สนทนาธรรมที่ สวนปาล์มฟาร์มนก จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ.นภัทร ในขณะนี้มีเห็น แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะบอกว่า ถ้ามีการฟังเข้าใจมากพอ แล้วสิ่งที่ปรากฏกับสภาพที่รู้ ในสิ่งที่ปรากฏเนี่ย เห็นอย่างชัดเจนนี่ จะเรียกว่าเป็นตัวเราที่เข้าไปรู้ หรือว่ามันเป็นสภาพที่รู้ โดยเป็นปกติที่เกิดอ่ะครับ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเราคิดทั้งหมด ยังไม่ใช่ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่ความต่างกันของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นขอย้อนไปนิดหนึ่งว่า โลภะเป็นธรรมรัตนะ หรือเปล่า

    อ.นภัทร ไม่ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าธรรมรัตนะ ต้องหมายความถึง ธรรมฝ่ายที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นแม้แต่กุศลธรรม ขั้นทานแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จะทำให้ดับกิเลสได้ไหม ไม่ได้ ไม่ว่ากุศลใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ที่เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่รัตนะ แม้แต่ความที่จะทำความสงบจากกิเลส ที่ใช้คำว่าอบรมเจริญ รูปฌาน อรูปฌานหรือฌานจิต หรืออะไรก็ตามแต่ กุศลที่จะทำให้ไม่ติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ก็ยังไม่ใช่หนทาง ยังไม่ใช่ธรรมรัตนะ เพราะฉะนั้นธรรมรัตนะ ก็คือปัญญาที่สามารถที่จะถึงสภาพธรรม ที่จะนำไปสู่การที่จะดับกิเลสได้ ฟังแค่นี้ค่ะห่างไกลกันมาก กว่าการที่เพิ่มฟังแล้วรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เป็นธาตุรู้ และสิ่งที่ปรากฏให้รู้ก็มีจริง แต่ไม่ใช่ธาตุรู้ ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก แต่เป็นรูป ฟังแค่นี้ยังไม่มีทาง ต่อให้ฟังอย่างนี้ อีกพันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง ตลอดชีวิตด้วยการจะพยายาม ให้เห็นความต่างกันของเห็นธาตุรู้กับสิ่งที่ปรากฏว่ามีจริงที่กำลังถูกเห็น ต่างกันอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะไปพยายามเข้าใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เป็นปัญญาที่ค่อยๆ เริ่มเข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นจะมีการที่กล่าวถึงปฏิปัติ ต่อจากปริยัติ แต่ห่างกันไหม เพราะเหตุว่าไม่ใช้วิธีการ ไม่ใช่วิธีทำ ไม่ใช่สำนักปฏิบัติ ไม่ใช่ให้ไปนั่ง ให้ยืน ให้เดิน และบอกว่าสงบ แต่ความจริงขณะนั้นอ่ะอยากทำ และความสงบจะไม่เป็นอย่างนั้นเลย เพราะความสงบต้องเป็นความสงบจากกิเลส จากความติดข้องจากโลภะ เพราะเวลาที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนะคะ จากชีวิตประจำวัน คือชีวิตประจำวันเนี่ย เต็มไปด้วยความไม่สงบ แต่เขาก็ไม่รู้ ไม่ใช่ปัญญา แต่มีตัวตนที่อยากไม่มีชีวิต อย่างชีวิตประจำวัน เพราะคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะดี คือจะสงบ แต่ด้วยความเป็นตัวตนค่ะ เพราะฉะนั้นคนนั้นไม่มีโอกาสถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ด้วยความเข้าใจผิด แม้แต่คำว่าสงบ เพราะฉะนั้นการที่เราจะพยายามไปเข้าใจว่า ปัญญาระดับที่สามารถรู้ทันที เหมือนอย่างกับเห็น และจำได้ทันที ต้องคุ้นเคยนานเท่าไหร่ จากการที่นานแสนนานมาแล้วนี่ค่ะ คุ้นเคยกับการยึดถือ เห็นว่าเป็นเรา แล้วก็คุ้นเคย กับการที่เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน เป็นแมว เป็นนก เป็นสัตว์ เป็นดอกไม้ เป็นภูเขา เป็นต้นไม้ คุ้นเคยอย่างนี้มานานเท่าไหร่ เพียงแค่ปรากฏรู้เลย คิดดู ต้องคุ้นเคยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นธรรม ที่เป็นการที่จะเป็นปัญญา ที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมด้วยการรู้ว่า เนี่ยไม่ใช่เรา นี้น่ะไม่ใช่คิดเองนะคะ แต่ลักษณะปรากฏที่ไม่ใช่เรา แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร ในเมื่อลักษณะนั้นปรากฏ โดยเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องถึงระดับนั้น แต่ถ้าเรายังคงพยายามแล้ว ยังไงน่ะ คิดยังไง ต่างกันยังไง ไปคิดจนกระทั่งเดือดร้อนตัวเอง แต่ก็ยังอยากที่จะถึงสิ่งซึ่งถึงไม่ได้ เอื้อมมือไปจับดาวสักดวงสิ ถึงไหมคะ เห็นใช่ไหม มีใช่ไหม แต่ถึงมั้ย เพราะฉะนั้นรู้จากการฟัง สภาพธรรมเป็นธรรมซึ่งกำลังเกิดดับ แล้วจะทำยังไง จะให้ไปรู้ยังไง ถึงจะถึงอย่างนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ นอกจากเข้าใจแล้วละ จะรู้ลักษณะของการละ และก็ไม่ใช่รู้เร็วเลยนะคะ รู้เนี่ยนานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่ละบุคคลว่าได้เคยเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วหรือเปล่า กี่ชาติ ฟังพระธรรมมาแล้วเท่าไหร่ เห็นประโยชน์ และรู้ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัย บารมี ๑๐ ไม่อย่างงั้น จะไม่มีคำนี้เลยในพระศาสนา เพราะเห็นว่าธรรมรู้ยาก ถ้ารู้ไม่ยากต้องมีบารมีมั้ย ก็ไปนั่งทำกัน เพียรทั้งวันทั้งคืน ด้วยความเป็นตัวตน ไม่ได้รู้ ไม่ได้ละอะไรเลยทั้งสิ้น แต่อยากจะรู้ว่าต่างกันยังไง ซึ่งไม่มีทางที่จะรู้ได้ จนกว่าปัญญาค่อยๆ รู้ขึ้น ไม่มีทางเลยค่ะ

    อ.นภัทร ด้วยความเป็นเราเนี่ยครับอาจารย์ บางครั้งเนี่ย การที่จะพิจารณาเนี่ย บางครั้งเป็นเราที่พิจารณาหรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ แล้วก็ไม่ละด้วย

    อ.นภัทร การที่จะไม่ใช่เราพิจารณาเนี่ย ก็คือต้องเป็นลักษณะของสภาพธรรม ที่เขาเกิดขึ้นของเขาเอง

    ท่านอาจารย์ ปัญญาไม่ใช่เรา เมื่อไหร่ที่จะรู้ว่า ปัญญาไม่ใช่เรา สมัยนี้เค้าไปดาวอังคารกันได้มั้ย ไปโลกพระจันทร์กันได้มั้ย ไปโดยวิธีไหน คงไม่ใช่เดินไปใช่ไหมคะ เขามีวิธีในทางโลก ที่จะถึงสิ่งที่มีปรากฏบนท้องฟ้า แต่ธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปไกลถึงแค่ไหนค่ะ แต่จะถึงได้ด้วยปัญญา แสดงว่าความมืดมิดของอวิชชา การที่ถูกปกคลุมหุ้มห่อด้วยความไม่รู้เนี่ยหนาแน่นแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เห็นว่า มีแน่นอนคือมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำนี้นี่ค่ะ ลองคิด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นได้ยังไง กี่ชาติได้รับคำพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร หมายความว่าก่อนนั้น ก็ปรารถนาที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลก ไม่รู้ด้วยกันทั้งนั้นแหละทั้งโลกนี้ ถ้ามีพวกที่เสียสละสักคนหนึ่ง ที่จะได้บำเพ็ญบารมี ทุกประการ ที่จะถึงการที่สามารถ ไม่ใช่รู้เฉพาะตนเองนะคะ แต่ให้คนอื่นได้รู้ด้วยเนี่ย จะต้องมีการอบรมเจริญปัญญา บารมีคุณความดี เป็นผู้เสียสละ มากมายสักเท่าไหร่

    เพราะฉะนั้นก่อนที่จะได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ก็ได้ฟังพระธรรมมาแล้ว ตั้งความปรารถนาแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรแล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะถึงได้ เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรว่า สุเมธดาบสที่กำลังเฝ้าพระองค์ขณะนี้ ที่ตั้งความปรารถนาไว้จะสำเร็จความปรารถนาในอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ คนที่ได้ยินได้ฟังนะคะ เบิกบาน ถึงไม่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏอย่างนี้ เดี๋ยวเนี้ย ในสมัยนี้นานอีกสักเท่าไร แต่ก็ยังอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ก็ยังมีโอกาสที่สุเมธาดาบสเนี่ย จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวคำที่จะทำให้กิเลสเนี่ย ค่อยๆ น้อยลงคะ จะงอยปากยุง จุ่มลงในมหาสมุทร จะหมดเมื่อไหร่คะ มหาสมุทรค่ะ เพราะฉะนั้นก็นี่เป็นคำอุปมาให้เห็น ซึ่งเรานับไม่ได้เลยค่ะ ว่าความไม่รู้เนี่ยมีแค่ไหน และเพียงฟังก็จะต้องรู้ว่าปัญญาขั้นฟัง นี่ก็คือเพียงฟังทั้งๆ ที่สภาพธรรมขณะนี้ก็มี และเกิดดับ

    เพราะฉะนั้นจึงเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระมหากรุณา ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือสาวก เพื่อใครคะ เพื่อเรา มีโอกาสจะได้ฟังแต่ละคำด้วยความเคารพ ว่าการที่จะให้เข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เห็นก็มีจริง สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็มีจริง กว่าจะเข้าใจสิ่งนี้ได้นะคะ ว่าเห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น กว่าจะเข้าใจอย่างนี้ได้ และเห็นเป็นธาตุรู้ จึงสามารถที่จะเห็น รู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้ มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่มีจริงคือสิ่งที่ปรากฏมีจริงๆ นะคะ แต่มีจริงเมื่อเห็น ขณะใดก็ตามที่ไม่มีเห็น จะไม่มีการรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างเนี่ยเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะปัจจัยต่างปัจจัย ปัจจัยมีมากที่จะทำให้สภาพธรรมหนึ่งเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการฟังอย่างนี้ค่ะ คลายการที่ว่าเป็นเรื่องที่ ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างเดียว เพราะว่าอวิชชาความไม่รู้เนี่ยมีมาก เพราะฉะนั้นเริ่มฟัง และเริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง จนกว่ารู้ทันทีที่เห็น ละทันทีที่เห็น ปล่อยวางทันทีที่เห็น ทุกคำที่เป็นคำที่ทรงแสดงไว้นี่ค่ะ ไม่ใช่คำที่ให้เราอ่านแล้วผ่านไป หรือไม่ใช่เป็นเพียงคำว่าอ่านแล้ว ก็อ้อ ตรึกตรองใช่เป็นอย่างนี้ แต่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก เพราะว่าต้องเป็นธรรมจริงๆ แต่ละขั้น

    เพราะเวลานี้ก็เป็นธรรมจริงๆ นะคะ เห็นก็เป็นธรรมมีจริง คิดก็เป็นธรรมมีจริง ติดข้องก็เป็นธรรมมีจริง ความเข้าใจถูกก็เป็นธรรมมีจริง มีจริงทั้งหมด แต่ไม่เห็นรู้สักอย่าง จริงไม่ใช่แค่ฟัง จริงต้องรู้ จริงต้องเห็น จริงต้องประจักษ์ในสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ นี่คือผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเริ่มเห็นพระคุณ โดยเห็นความต่างของปัญญา ปัญญาที่เริ่มฟังเข้าใจนะคะ กว่าจะเข้าใจเนี่ยนานไหม แล้วกว่าจะเข้าใจจนคุ้นเคย พอใครบอกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เดี๋ยวนี้ แต่เวลาพูดว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ใครว่าเดี๋ยวนี้บ้าง ไม่เห็นมีใครว่าเดี๋ยวนี้เลย ก็คิดเรื่องอื่นไป เพราะฉะนั้นกว่าจะมาถึงอย่างนี้ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าต่างกันอย่างนี้ ก็ต้องเป็นปัญญาของตนเองนะคะ ซึ่งค่อยๆ ฟังว่าต่างกันจริงเหรอ สิ่งที่ปรากฏทางตา กับสิ่งที่กำลังเห็นมีจริงทั้งสองอย่าง ต้องต่างแน่ ใช่ไหมคะ เพราะเหตุว่าหลับตาแล้ว เห็นเกิดไม่ได้นอนหลับสนิท แต่คนที่เขาลืมตา ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น เพราะฉะนั้นทั้งสองอย่างเนี้ย ต้องมีจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในชีวิตทั้งหมดนี่ค่ะ เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง แม้แต่ความติดข้องนะคะ ติดข้องหลายระดับ ตั้งแต่เป็นอนุสัยเป็นอาสวะ เป็นนิวรณะทั้งหมดนะคะ คือชีวิตประจำวันนะคะ เมื่อหลากหลายอย่างนี้ ผู้ตรัสรู้ความจริงก็ทรงแสดงความจริงทุกระดับทุกขั้น แล้วก็ให้รู้ด้วยว่าปัญญานี่ค่ะ ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง ขั้นฟังไม่มีใครละได้ และจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

    เพราะฉะนั้นทางเดียวทางตา เห็นความลึกซึ้งไหมคะ กำลังเห็น เห็นอะไร พูดว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ใจไม่ได้เข้าใจอย่างนั้นเลย ยังเป็นคนนั้น ยังเป็นสิ่งนี้ แล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ ไม่มีความสงสัยเลย ในสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ต้องฟังพระธรรมอีกมากจึงทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ไม่ใช่เรื่องอะไรเลยนะคะ เรื่องเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งที่มีในชีวิตตั้งแต่เช้ามาทั้งหมด โลภะ โทสะ โมหะ คิดนึกต่างๆ อะไรทุกอย่างทั้งหมดนี่ค่ะ ๔๕ พรรษา กว่าจะมีความเข้าใจธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ได้ เพราะฉะนั้นเพียง ๑ เดียวเห็น รู้ที่เห็นหรือเปล่าคะ เปล่าเลย ได้ยินเสียงละ ฟังละ ก็ยิ่งเห็นก็ไม่ได้รู้ที่เห็น ทั้งๆ ที่เสียงบอกว่าเห็น แต่ก็ไม่ได้รู้ตรงเห็น แต่กำลังได้ยินเสียงว่าเห็น เนี่ยค่ะก็เป็นสิ่งซึ่งละเอียดมากนะคะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาคืออะไร เห็นไหมคะ ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจในเบื้องต้น จะไม่ถึงการคุ้นเคยที่จะละว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น และก็ดับไป ไม่รู้เลยทุกคำ แต่ว่าฟังเข้าใจทุกคำก่อน ถ้าไม่ฟังเข้าใจอย่างนี้นะคะ ก็ไปพูดเรื่องตายแล้วเกิดจะมีไหม หรืออะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ แล้วก็คนนั้นก็ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลย ว่าตายคืออะไร เกิดคืออะไร และสิ่งที่มีจริงคืออะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจความหมายของบารมีนะคะ อดทน ขันติบารมี และเดี๋ยวนี้อ่ะค่ะ ขณะใดก็ตามฟังเข้าใจ วิริยะบารมี แต่ถ้าไปทำผิดๆ วิริยะมีแน่ แต่เป็นบารมีหรือเปล่า ก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยค่ะ ละเอียดมาก ขอให้ฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็ละ เท่านั้นเอง กว่าจะไปถึงละจริงๆ ปล่อยวางจริงๆ เข้าใจจริงๆ ได้

    อ.นภัทร ขณะที่อาจารย์บอก ถ้าไม่คุ้นเคยก็ยังเป็นเราที่เราเห็น แล้วก็เป็นตัวเราที่จะพยายามไปเห็นอย่างนั้น ว่ามันไม่ใช่เราอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะว่าเราพูดธรรม แม้แต่คุ้นเคย ก็เป็นธรรมใช่ไหม คุ้นเคยหมายความว่าอะไร บ่อยๆ ใช่ไหม

    อ.นภัทร ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ ครั้งเดียวเนี่ยไม่ใช่คุ้นเคยแน่ เพราะฉะนั้นคุ้นเคยกับคำที่ว่าเห็น นาน หรือยัง และรู้ด้วยว่าเห็นไม่ใช่เรา นานหรือยัง ถ้าไม่ใช่เราบอกเฉยๆ ไม่มีทางเข้าใจได้ต้องบอกว่า มีสิ่งที่สามารถจะรู้เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ มิเช่นนั้นแล้วโลกไม่ปรากฏ ถ้าไม่มีสภาพรู้เลยทั้งสิ้น โลกใดๆ ก็ไม่ปรากฏเลย รูปมี ทะเล ภูเขา ฟ้า น้ำ จะมีก็มีตามเหตุตามปัจจัย แต่ธาตุรู้ไม่เกิดขึ้น เห็นจะมีไหมก็ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีธาตุรู้ และมีสิ่งที่ถูกรู้ นั่นคือโลกเกิดแล้ว เป็นโลกแล้ว ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นคำว่าโลก หรือโลกะนี่นะคะ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงที่เกิดดับ เริ่มค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำ ที่ใช้คำว่าโลกุตระ หรือว่าโลกียะ ก็แสดงความต่างอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ค่ะ ฟังเผินไม่ได้เลย แม้แต่คำว่าคุ้นเคย ภาษาบาลีก็มีค่ะ อุปนิสสยโคจร ฟังเหมือนแปลกหูนะคะ เพราะเราไม่คุ้นเคยกับภาษานั้น ไม่คุ้นเคยฟังบ่อยๆ ต้องเข้าใจด้วย โคจรคืออะไร สิ่งที่จิตรู้ เพราะเราพูดถึงสิ่งที่มีทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือนทั้งปี ตั้งแต่เกิดจนตาย คือจิตเกิดรู้ไม่ขาดสายเลย ไม่เคยขาดไปเลย ขาดจิตเมื่อไหร่ โลกไม่ปรากฏอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เพราะไม่มีธาตุรู้แต่เพราะมีธาตุรู้ ซึ่งเกิดแล้วดับ แล้วสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น

    การดับไปของธาตุรู้ ขอเรียกคำว่าจิต ก็แล้วกันนะคะ จะได้เข้าใจง่าย เพราะเราคุ้นกับคำนี้ จิตนี่ค่ะ เราพูดว่าจิตบ่อยๆ แต่รู้ไหมว่าจิตไม่ใช่เรา แต่รู้ค่ะ เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นเวลานี้ เสียง ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ไม่ปรากฏว่ามีเสียง เพราะฉะนั้นทั้งหมดเนี่ย ต้องมีธาตุรู้ แม้เห็นขณะนี้ก็เป็นธาตุรู้ ในบรรดาธาตุรู้ทั้งหลาย แต่ธาตุรู้นี้นะคะ รู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เริ่มเห็นขณะจิตหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดขึ้นต่อเมื่อมีจักขุปสาทรูป รูปพิเศษทั่วตัวนี้ค่ะ มีรูปพิเศษ ๕ รูปซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เช่นขณะนี้มีทางไหนกระทบก็รู้ทางนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีจักขุประสาทรูป รูปที่ไม่ใช่ธาตุอ่อน ธาตุแข็ง ธาตุเย็น ธาตุร้อน แต่ละ ๑ ต้องเป็น ๑ แข็งเป็นแข็ง จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่ได้ แต่ที่ตัวเนี่ยต้องมีรูปนั้น แล้วก็มีสิ่งที่กระทบเป็นปัจจัย ให้จิตเกิดขึ้นยังไม่พอ เห็นสิ่งใดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจนะคะ เพราะการกระทำสิ่งที่ดีในอดีต ที่เราใช้คำว่ากุศลกรรม ทำแล้วดับแล้ว แต่แรงกรรม สามารถทำให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ใครก็ดลบันดาลไม่ได้ เพราะว่าทุกคนอยากจะเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจทั้งนั้นเลย แก้วแหวนเงินทองสารพัด แต่ว่าจะเห็นไหม แล้วแต่กรรม ไปเห็นอย่างอื่นที่ไม่น่าพอใจก็ได้ ใครเลือกได้ ใครบันดาลได้ เห็นเลือดกองอยู่ที่ถนนก็ได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเห็น นี้ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดนี่ค่ะ ต้องอาศัยธรรมเป็นที่อาศัยซึ่งกัน และกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นต้องได้ยินอย่างนี้แล้วนะคะ ขณะที่กำลังฟังนี่ค่ะ สิ่งทั้งหมดที่จิตกำลังรู้ และเป็นอารมณ์ของจิตแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ สั้นมาก และก็ดับไปสืบต่อ จนเหมือนไม่มีอะไรเกิดดับ เหมือนกับเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้น ๑ ขณะจิต เนี่ยจะสั้น และน้อยมาก เกิดแล้วดับรวดเร็วปานใด เพราะว่าเดี๋ยวนี้เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกัน แต่พร้อมกันไม่ได้เลย มีจิตเกิดดับคั่นหลายขณะจิต เพราะฉะนั้นฟังอย่างนี้ค่ะ เพื่อที่จะแยกให้เข้าใจว่า ธาตุรู้ต้องมี เพราะฉะนั้นกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่ปรากฏ ก็เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ใช้คำว่าเห็น ใช้คำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ได้เรียกอะไรเลยนะคะ ไม่ได้เรียกว่าดอกไม้ ไม่ได้เรียกว่าโต๊ะ แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คุ้นเคยหรือยัง กับการที่จะเข้าใจว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เป็นแต่สิ่งที่กระทบตาปรากฏให้รู้ได้ ว่ามีอยู่ที่มหาภูตรูป เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความต่างของธาตุรู้ ซึ่งใช้คำว่านามธรรมก็ได้ เพราะว่านอกจากจิตแล้ว นามธรรมที่รู้ก็คือเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมจิต เนี่ยค่ะคำทุกคำเนี่ย มาจากการบำเพ็ญพระบารมี ยิ่งกว่าใครทั้งหมด ทั้งความอดทน ทั้งวิริยะ ทั้งทาน ทุกอย่างหมดเลย ทั้งเมตตา อุเบกขา ที่กว่าจะได้มีคำเหล่านี้ ให้คนอื่นรวมถึงเราด้วยเนี่ย ได้เข้าใจถูกต้องว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ต้องเรียกชื่อใครสักคน ก็เห็น เห็นทุกคนด้วย แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่คน แต่อยู่ที่มหาภูตรูป แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งมีสิ่งที่กระทบตาได้ จะใช้คำว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ใช้คำว่าวรรณะก็ได้ ใช้คำว่านิพาก็ได้ ก็แล้วแต่ไม่สำคัญ สำคัญที่ความเข้าใจว่าภาษาใดก็ตาม แต่เข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามี คุ้นกับความไม่รู้ คุ้นกับการยึดถือ คุ้นกับความจำว่าเที่ยงไม่มีอะไรเกิดดับ แต่ยังไม่คุ้นกับการไม่ใช่เรา และก็เป็นธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นพูดตั้งหลายครั้ง ได้ฟังตั้งหลายครั้ง สนทนากันตั้งหลายครั้ง เรียกสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ก็ยังคงเป็นคุณปริญญา คุณเบญจมาศ คุณจิราภรณ์ เรียกไป แต่ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น คุ้นกับอย่างนี้รึยังคะ เพราะฉะนั้นโคจรหมายความถึงอารมณ์ของจิต จิตเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ว่าจิตรู้อะไรทั้งหมดค่ะ ขณะนั้นถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นรู้ สิ่งนั้นก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่ไม่ลืมนะคะ ก็คือว่าจิตเป็นธาตุรู้ เจตสิกเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกรู้เนี่ย หลากหลายมาก ๑ คือทางตา ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่ใช่อะไรเลย นอกจากมหาภูตรูป มีสิ่งที่สามารถกระทบตา แต่ตัวมหาภูติรูปกระทบกับจักขุปสาทไม่ได้ เกิดแล้วดับแล้ว ทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และสภาพเห็น แล้วจะเป็นใคร แต่อวิชชาก็จำมาด้วยความไม่รู้ตลอดเลยนะคะ ว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง แล้วก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ถึงการรู้เฉพาะ ลักษณะหนึ่ง ด้วยปัญญาที่ประจักษ์แจ้ง ในคำทุกคำที่ได้ฟังมั่นคง จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความเป็นตัวตนได้ แต่โคจรนะคะ เป็นสิ่งที่จิตรู้ใช้อีกคำหนึ่งก็ได้ว่าอารมณ คนไทยเรียกสั้นๆ ว่าอารมณ์ เพราะฉะนั้นมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีอารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ จะใช้คำว่าโคจรก็ได้ แต่ว่าอารมณ์หลากหลายมาก แต่ทำไมพูดถึงอุปนิสสยโคจร ต้องหมายเฉพาะอารมณ์ซึ่งเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง ที่ทำให้เข้าใจถูก เพราะจะเป็นอารักขโคจร หมายความว่าอารมณ์นั่นแหละไม่ทำให้เห็นผิด เพราะฉะนั้นต่อไปจนถึงอุปนิพันธโคจร ไม่สนใจอย่างอื่น กำลังของปัญญาต้องเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะถึงเฉพาะ ลักษณะ ของสิ่งที่กำลังกล่าวทีละหนึ่งได้ เช่นกล่าวถึงเห็น ต้องกำลังเห็น กล่าวถึงได้ยิน ไม่ใช่เห็นกับได้ยินนะคะ แต่ต้องกำลังได้ยินเฉพาะตรงนั้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567