ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910


    ตอนที่ ๙๑๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

    วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ผู้ฟัง ถ้าพูดถึงเรื่องของจิตเจตสิกรูป และนิพพาน ผมก็มาสนใจตรงที่เจตสิก เจตสิกมีลักษณะ มีรส มีปัจจุปัฏฐาน มีปทัฏฐาน ผมยังไม่ค่อยเข้าใจในลักษณะ ๔ ประการนี้ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายให้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักสภาพธรรมที่เป็นจิตเป็นเจตสิกเป็นรูป ก็ต้องอาศัยการไตร่ตรองพิจารณาในขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ เพราะว่าถ้าขณะนั้นสภาพธรรมนั้นไม่ปรากฏ เราก็เพียงแต่พยายามคิดหาว่าลักษณะของสภาพธรรมนั้นเป็นอย่างไร แต่ว่าขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมนั้นปรากฏลักษณะที่ปรากฏนั้นเองทำให้เข้าใจได้ เช่น ความโกรธ ทุกคนเคยโกรธ แต่ว่าไม่เคยรู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิตเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิด ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดไม่ได้สักอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ลักษณะของความโกรธ ถ้าเราจะไม่ตามตัวหนังสือ เราก็จะรู้ว่า มีลักษณะที่ดุร้าย หยาบกระด้าง ขุ่นเคือง ไม่พอใจ ลักษณะทั้งหลายแล้วแต่ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมประเภทใด ลักษณะของโทสเจตสิก ซึ่งเป็นเจตสิก ๑ ในเจตสิก ๕๒ ก็เป็นอย่างนั้นเวลาที่ปรากฏชัดเจน แต่เวลาที่ไม่ปรากฏ เราจะไปคิดถึงลักษณะของสภาพธรรมนั้นก็ยาก แล้วก็การที่จะรู้ว่าเจตสิกแต่ละหนึ่งมีลักษณะ และก็มีกิจเฉพาะของเจตสิกนั้น มีอาการปรากฏและมีเหตุใกล้ให้เกิด เราคงจะไม่ไปหาครบ ทั้ง ๕๒ เจตสิก เพราะเหตุว่าแม้แต่เจตสิกหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมาก ก็ยากที่จะรู้ว่าลักษณะนั้นไม่ใช่เรา ข้อสำคัญที่สุด คือศึกษาธรรมได้ยินชื่อว่าจิต เจตสิก รูป แต่ลืมว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรานั่นแหละที่กำลังพยายามคิดเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็ไม่รู้ว่ามีวิริยเจตสิกความเพียรเกิดขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าสภาพธรรมใดไม่ปรากฏกับสติและปัญญา ขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงการคิดค้นหาไตร่ตรองที่จะรู้ว่า สภาพธรรมนั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ก็คือว่าจะเข้าใจลักษณะของจิตเมื่อรู้ว่าจิตไม่ใช่เรา จะเข้าใจลักษณะของเจตสิกแต่ละเจตสิก ก็คือเมื่อรู้ว่าเจตสิกนั้นๆ ไม่ใช่เรา แม้แต่รูปแต่ละรูปที่จะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ก็ต่อเมื่อรูปนั้นปรากฏ เช่น แข็ง มี ไม่เคยคิดที่จะรู้จักแข็งว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เกิดแล้วปรากฏในสังสารวัฏแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เช่นเดียวกับสภาพธรรมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใดหรือว่าเจตสิกประเภทใด

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ถ้ารู้หลักว่าเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรมจริงๆ เพื่อที่จะเข้าใจคำว่าธรรมชัดเจนว่า ธรรมเป็นธรรม จะเป็นอย่างอื่นใดไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าคิดถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงตรัสรู้สภาพธรรมทั้งหมด แล้วเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมแต่ละคำมาจากพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ และการที่เราจะเข้าถึงความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็จากคำที่พระองค์ตรัสให้รู้ว่าพระองค์รู้อย่างนี้ พระองค์ตรัสรู้อย่างนี้ว่า เห็นขณะนี้มีจริงๆ เห็นขณะนี้เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าเราจะไม่ใช้คำว่าธรรม ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นคือเห็น หรือในขณะนี้ก็เห็นอย่างนี้แหละ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จึงได้ทรงแสดงว่าเห็นไม่ใช่เรา เห็นเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป เพื่อที่จะละคลายความติดข้องความไม่รู้ และก็ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องรู้จุดประสงค์ว่า เพื่อเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม และโดยเฉพาะธรรมมีตลอดเวลา แต่ไม่รู้ตลอดเวลา จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมจึงรู้ว่าที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นจิต หรือเจตสิก หรือรูป กำลังมีเดี๋ยวนี้พร้อมที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะถึงวันหนึ่ง ซึ่งมีความเข้าใจชัดเจนมั่นคงว่า ไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นลักษณะของจิต ไม่ว่าจะเป็นสภาพซึ่งเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แล้วก็มีกิจและก็มีอาการปรากฏ มีเหตุใกล้ให้เกิด ก็ขณะที่เข้าใจว่าเป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วลักษณะนั้นก็จะปรากฏ การศึกษาธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้สภาพธรรมโดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง เพราะว่าพระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เรายังไม่ได้รู้เลยยังไม่ได้เข้าใจธรรมเลย ยังไม่ได้เข้าใจเห็น ได้ยิน ทุกอย่างในชีวิตประจำวันว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นเมื่อรู้แต่ละหนึ่งแล้ว ก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นรู้ในกิจ หรือรู้ในลักษณะอาการที่ปรากฏ อย่างจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ก็เดี๋ยวนี้ ธรรมดาอย่างนี้ไม่ผิดปกติ ถ้าสามารถที่จะรู้ว่านี่แหละคือธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลังเห็นปกติอย่างเดี๋ยวนี้เลย เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นอาการปรากฏของจิตก็คือการเกิดดับสืบต่อ ถ้าจิตหนึ่งขณะเกิดแล้วดับไป แล้วไม่มีจิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าธาตุรู้ที่กำลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นแม้ว่าจิตจะเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็มีการเกิดดับสืบต่อ มีอาการปรากฏให้รู้ว่ามีจิต ถ้าไม่มีการเกิดดับสืบต่อ ก็ไม่รู้ว่ามีจิต และสำหรับเหตุใกล้ที่จะทำให้เกิดจิตก็คือเจตสิก ซึ่งแยกกันไม่ออกเลย ถ้าเจตสิกไม่เกิด จิตก็เกิดไม่ได้ ถ้าจิตไม่เกิด เจตสิกก็เกิดไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ใครรู้ กำลังเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมคือฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น ฟังบ่อยเท่าไหร่ ซ้ำเท่าไหร่ ก็เพื่อที่จะให้เริ่มค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง เพราะว่าเคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรามานานมากด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ประมาณไม่ได้ แล้วแต่ว่าปัญญาพร้อมที่จะเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น มากน้อยเท่าไหร่

    อ. วิชัย ถ้ากล่าวถึงจิต ก็โดยลักษณะของจิตคือเป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์ แต่ว่าเจตสิกก็มีความต่างๆ กันออกเป็นประเภทต่างๆ และที่จะกล่าวว่าการที่จะรู้ลักษณะของธรรมก็ต่อเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา อย่างเช่น ถ้ากล่าวถึงเจตสิกหนึ่งคือผัสสเจตสิก ก็กล่าวถึงว่ามีการกระทบอารมณ์เป็นลักษณะ ซึ่งถ้ากล่าวถึงผัสสะ ก็ประกอบกับจิตทุกประเภท ไม่ว่าจะจิตประเภทใดก็ตาม ถ้ากล่าวถึงการเห็นการที่จะรู้เข้าใจลักษณะของผัสสะคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็จงใจอีกแล้วที่จะเข้าใจผัสสะ เป็นเรื่องของธรรมซึ่งจะต้องเป็นอนัตตาตลอดไป ถ้าเป็นเรา ก็มีแต่การอยาก หรือต้องการจะรู้ตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งความต้องการไม่สามารถที่จะทำให้รู้ได้เลย ด้วยเหตุนี้ฟังที่ลืมไม่ได้คือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตั้งแต่คำแรกถึงที่สุดด้วยความเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ตามแต่ เพราะฉะนั้นหนทางนี้เป็นหนทางของอนัตตา หมายความว่าไม่มีเราที่จะกะเกณฑ์ หรือที่อยากจะรู้ตรงนั้นตรงนี้ แต่ฟังให้เข้าใจ อย่างเช่นคำว่าผัสสะ เป็นภาษาบาลี หมายความถึงเจตสิกที่กระทบสิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต ดับพร้อมจิต นี่ก็เป็นความละเอียดขึ้น

    เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องจริงในชีวิตประจำวัน แต่ว่าเริ่มเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่ฟังธรรมจนจบก็จะรู้ได้ว่าเข้าใจขึ้นไม่มาก แต่ก็ได้ฟังบ่อยๆ ว่าเป็นธรรม แต่ความเข้าใจจริงๆ กว่าจะไปลบล้างการที่เคยไม่เข้าใจมาก่อน และการยึดถือก็ยาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่ลืมคำเมื่อสักครู่นี้ จิตและเจตสิกอาศัยกันและกันเกิดขึ้น ถ้าเจตสิกไม่เกิดจิตก็เกิดไม่ได้ หรือถ้าจิตไม่เกิดเจตสิกก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้ได้ยินเสียง ได้ยินเป็นจิต มีผัสสเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะขณะนั้นที่กำลังได้ยิน ผัสสะกระทบเสียงแล้ว พร้อมกับจิตที่รู้ เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน สภาพธรรมหนึ่งกระทบอารมณ์ สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกันกับสภาพกระทบนั้น ก็รู้อารมณ์ที่ผัสสะกระทบแยกกันไม่ได้เลย ขณะที่แข็งปรากฏ จิตและเจตสิกเกิดขึ้นรู้แข็ง ผัสสะกระทบแข็ง จิตที่เกิดพร้อมผัสสะรู้แข็ง แล้วจะแยกอย่างไร

    เพราะฉะนั้นฟังให้เข้าใจ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจในขั้นการฟังว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด เป็นธรรมทั้งหมด ทุกวันฟังอย่างนี้จนกว่าจะเข้าใจ ไม่ว่าได้ยินคำว่าผัสสะ ก็รู้ว่าทันทีที่แข็งปรากฏ ผัสสะกระทบแล้ว จิตรู้แล้ว แข็งดับแล้ว ทุกอย่างดับหมด เพียงแต่ว่ารูปดับช้ากว่าจิต รูปๆ หนึ่งจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วรูปๆ นั้นดับไป แต่จะปรากฏไหม ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นในขณะที่ผัสสะกระทบแข็ง รู้แข็งขณะนั้นต้องมี ไม่เช่นนั้นแข็งก็ปรากฏไม่ได้ แต่ให้รู้ว่าในขณะที่แข็งปรากฏ ผัสสะกระทบ แล้วจิตที่เกิดพร้อมผัสสะก็รู้ สภาพเจตสิกอื่นซึ่งเกิดพร้อมกับสภาพจิตที่รู้แข็ง ก็รู้แข็งอย่างเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน เช่น ผัสสเจตสิกเป็น ๑ ในเจตสิก ๕๒ จิตรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบเพราะเกิดพร้อมกัน สัญญาเจตสิกซึ่งเป็นสภาพจำ จำทันทีพร้อมกันหมดเลย จิตดับพร้อมเจตสิก แล้วก็ไม่กลับมาอีก และรูปก็เกิดดับเร็วมากแต่ว่าช้ากว่าจิตเพราะว่าจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งดับ ให้เข้าใจเพื่อที่จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ กว่าจะเบาบางจากการที่สามารถจะเกิดการเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏซึ่งไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพซึ่งเป็นสติและสัมปชัญญะซึ่งเกิดจากการฟังเข้าใจแล้ว ก็มีบ้าง แต่ว่าไม่ต้องหวัง ไม่มีเลยชาตินี้ก็ไม่เป็นไร เพราะอะไร เพราะชาตินี้ฟังเข้าใจแล้วมาก ถ้ายังอยากจะเข้าใจ ก็ขณะนั้นก็ช้าไปอีก เพราะฉะนั้นชาตินี้จะไม่เข้าใจเลย หรือว่าเข้าใจบ้าง หรือว่าเข้าใจมาก ก็เป็นธรรม ข้อสำคัญที่สุดคือไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมด

    อ. วิชัย ทุกๆ ขณะที่จิตเกิดขึ้นไม่ว่าจะเห็นก็ตาม ได้ยินก็ตาม หรือแม้แต่คิดก็ตาม ก็มีผัสสะ ฉะนั้นความเข้าใจเพียงอย่างนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เพื่ออะไร

    อ. วิชัย เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ และไม่มีใครทำอะไรได้เลย สภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นทั้งหมด ที่กล่าวว่าเจตสิกมีลักษณะ ๔ เป็นต้น ก็คือลักษณะนั้น และก็กิจนั้น อาการที่ปรากฏนั้น เหตุใกล้ของสภาพธรรมนั้น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ละเอียดมาก ทั้งหมดฟังเพื่ออะไร เพื่อรู้ว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะฟังอะไรทั้งหมด น้อมไปที่จะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา แค่ได้ฟังว่าจิตเห็นเกิดขึ้น เห็นแล้วดับ และสิ่งที่ปรากฏก็ดับ แล้วไม่กลับมาอีก มั่นคงแค่ไหน ไม่ได้ละคลายอะไรเลย เพราะความรู้ยังไม่พอ

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปทำอะไรที่จะละคลาย เข้าใจขึ้น ปัญญาอย่างเดียว ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะละความไม่รู้และละความติดข้องได้ เพราะฉะนั้นถ้าปัญญามีแค่นี้นิดเดียว แต่ว่าความไม่รู้และความติดข้องสะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏ แล้ว จะให้หมดไปไม่ได้ เพียงแต่ว่ามีโอกาสได้สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวาระเหมือนอย่างพระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านก็ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะอาศัยการที่รู้ประโยชน์ของการได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็บำเพ็ญบารมี ละความต้องการความติดข้อง จนกระทั่งสภาพธรรมก็ปรากฏโดยความเป็นอนัตตา แม้แต่ขณะที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างนี้เองตามปกติ

    อ. วิชัย พระธรรมเทศนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็โดยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะแสดงลักขณาทิจตุกะของเจตสิกแต่ละประเภท ดังนั้นการที่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม จะมีการศึกษาอย่างไรที่จะรู้และเข้าใจในลักษณะของเจตสิกแต่ละประเภท

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีผัสสะไหม

    อ. วิชัย มี

    ท่านอาจารย์ ฟังเเล้วก็รู้ว่ามี ไม่ต้องตามตัวหนังสือ กำลังเห็นมีผัสสะไหม กำลังได้ยินมีผัสสเจตสิกไหม

    อ. วิชัย ก็มี

    ท่านอาจารย์ กำลังคิดมีผัสสเจตสิกไหม

    อ. วิชัย ก็มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผัสสเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท

    อ. วิชัย จนกว่าจะมั่นคงขึ้น

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะคลายเพราะเข้าใจสภาพของจิต หรือสภาพของรูป หรือว่าสภาพของเจตสิกซึ่งมีชั่วขณะที่แสนสั้น

    ผู้ฟัง มีคำถามฝากมาจากกุรุน้อยจังหวัดราชบุรี ดิฉันชื่อธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี ใคร่ขอกราบเรียนถามปัญหาธรรมบางประการ ข้อ ๑ ติดในชื่อหมายความว่าอย่างไร หมายถึงจิตเจตสิกประการใดประเภทใด ลักษณะอาการที่ปรากฏ หรือแสดงออกทางกายวาจาใจเป็นอย่างไรบ้าง

    อ.อรรณพ ธรรมอะไรที่ติด ติดทั้งในชื่อ ติดทั้งในสิ่งที่ปรากฏทุกอย่างก็คือโลภะ ซึ่งโลภะนี่ติดได้หมดเลย ติดได้ทั้งตัวธรรมคือสี เสียง กลิ่น รส ที่เราก็ชอบ แล้วก็ติดชื่อด้วย ศึกษาธรรมก็ติดชื่อได้อันนี้ส่วนหนึ่ง ส่วนอีกส่วนหนึ่งก็คือพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ต้องใช้คำใช้ชื่อเพื่ออธิบายให้เข้าใจธรรม คำและชื่อต่างๆ ไม่ได้เพื่อให้คนติด แต่คำทุกคำเพื่อความเข้าใจสภาพธรรม อาศัยคำเพื่อเข้าใจตัวธรรม ถ้าไม่มีคำ เราก็นั่งนิ่งกันไม่สามารถที่จะสื่อสารกันได้

    เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เองมีสอง คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และสามารถบัญญัติคำบัญญัติชื่อ เพื่อที่จะแสดงถึงสภาพธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจ แล้วสามารถที่จะรู้ความจริง ที่เป็นธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในขณะนี้ ต่างกับการติดในคำ ซึ่งขณะนั้นไม่เข้าใจ แต่ก็ลวงเหมือนกับเข้าใจ เพราะบางคนเขารู้คำเยอะ จิตมีเท่าใด เจตสิกมีเท่าใด วิถีจิตมีชื่ออะไรเขากล่าวได้หมด แต่เขาไม่ได้น้อมเข้าไปที่จะเข้าใจความเป็นธรรมในขณะนี้ ขณะนั้นก็นั่นแหละคือสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการเพียงติดในชื่อ แต่ไม่ได้เป็นความเข้าใจที่อาศัยคำอาศัยชื่อ

    ท่านอาจารย์ ชื่อคือคำเรียกสิ่งที่มี เพราะเหตุว่าเวลานี้ก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีคำสำหรับเรียกก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นชื่อก็คือคำที่เรียกสิ่งที่มีจริง แล้วก็ลืมว่าแท้ที่จริงแล้วเพราะไม่รู้ การติดในชื่อทั้งวัน คิดอะไรก็เป็นชื่อทั้งหมดใช่ไหม โดยไม่รู้เลยว่าชื่อที่เรียก แท้ที่จริงแล้วไม่มีสภาพธรรมที่ยั่งยืนเลย เพียงแต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป แล้วก็มีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายเลย ทำให้เรียกชื่อต่างๆ เป็นเรื่องต่างๆ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีชื่อมีแต่สภาพธรรมที่ปรากฏแล้วก็ดับไป แล้วก็ความจำในลักษณะของสภาพธรรมก็ดับไปด้วย แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งก็ไม่มีอะไรเหลือเลย การที่ใช้คำสำหรับเรียกชื่อสภาพธรรม เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรม แต่เพราะเหตุว่าเราไม่ได้เข้าใจว่า ชื่อทุกชื่อเป็นการที่เรียกสิ่งที่มีจริง เราก็เลยติดข้องในชื่อ และทั้งวันก็เต็มไปด้วยชื่อ ลองคิด จริงหรือเปล่า เห็นนิดเดียวเรื่องของเห็นนี่เยอะมากชื่อทั้งหมดเลย มาจากสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นก็มีคำซึ่งไม่เข้าใจด้วยว่า ขณะนั้นเป็นแต่เพียงชื่อที่เรียกสิ่งที่มีแต่ละภาษา

    เพราะฉะนั้นการติดในชื่อ ต้องเข้าใจธรรมด้วย ถ้าไม่เข้าใจธรรมก็ไม่รู้ว่าติดในอะไร เพราะว่าถึงแม้ว่าไม่มีชื่อก็ติดในสิ่งที่ปรากฏ แต่ติดเพียงสิ่งที่ปรากฏโดยไม่มีชื่อไม่พอ ยังต้องเรียกชื่ออีก เป็นชื่อต่างๆ อย่างดอกไม้ที่ชื่อลั่นทม เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ชื่อนี้แล้ว ติดในชื่อลีลาวดีมากกว่าชื่อลั่นทม นี่เป็นการติดในชื่อไหม คือติดไปหมดในสิ่งที่มีด้วยความไม่รู้ พอมีคำสำหรับเรียกสิ่งนั้นเป็นชื่อต่างๆ ก็ติดในชื่อ เมื่อติดในชื่อและก็ติดในเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้นชื่อก็เป็นสิ่งที่ปิดบังครอบงำไม่ให้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงหนึ่งชื่อนั้นคืออะไร จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรม ก็ไม่ใช่เพียงแต่เป็นชื่อ แต่รู้ว่าเป็นชื่อของคำที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เช่น เห็น ภาษาไทยเรียกว่าเห็น ชื่อเห็น แต่ภาษาอื่นไม่ได้ชื่อนี้ แต่ลักษณะจริงๆ ก็เห็น เพราะฉะนั้นติดทั้งในเห็น โดยยังไม่ต้องเรียกชื่อ และเวลาที่เห็นแล้วก็ยังติดในชื่อด้วย แต่ละภาษา เพราะฉะนั้นบางคนจะบอกว่าจักขุวิญญาณ ไม่พูดเห็น พอศึกษาธรรมสักคำหนึ่งก็พูดคำซึ่งไม่ใช่ภาษาที่ใช้อยู่ เช่น เวลาที่เกิดวิจิกิจฉา ความจริงทำไมไม่บอกว่าสงสัยใช่ไหม แต่ติดคำว่าวิจิกิจฉา นี่ก็เป็นเครื่องกั้นอันหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่เข้าใจธรรมจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจทุกอย่าง เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีธรรมก็ไม่มีชื่อ

    เพราะฉะนั้นติดข้องในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นธรรมซึ่งไม่มีชื่อเลยก็ติดข้อง และเวลาที่มีชื่อแล้ว ชื่อนั้นก็ยังปิดบังด้วยความติดข้องด้วย เช่น เห็นใคร มาแล้วใช่ไหม ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ในชื่อที่รู้จัก ในเรื่องราวของคนนั้น และยังคิดต่อไปอีกมากทั้งหมด เป็นชื่อทั้งวันในขณะที่คิด

    อ.วิชัย การที่มีโอกาสอย่างเช่นสนทนา ก็ต้องมีการกล่าวคำที่จะให้เข้าใจถึงสภาพธรรม ฉะนั้นที่จะรู้ความต่างกันของการที่จะมีการใส่ใจในคำต่างๆ ที่ทรงแสดงเอาไว้ หรือว่าเป็นความเข้าใจในธรรมที่ทรงแสดงเอาไว้

    ท่านอาจารย์ อริยสัจจะติดไหม ชื่ออริยสัจธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังไม่ทันรู้ว่าอะไร ก็อยากจะรู้อริยสัจธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    21 ก.พ. 2568