ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960


    ตอนที่ ๙๖๐

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสติปัฎฐาน สติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เราจะต้องไปมีที่หนึ่งที่ใด ไปนั่งประพฤติปฏิบัติ แต่ความรู้ความเข้าใจรอบด้าน ไตร่ตรองนะคะ รอบรู้เห็นคุณประโยชน์จริงๆ ของพระธรรมที่สอน พ่อแม่สอนเราจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ พอเป็นผู้ใหญ่ และก็ไม่มีใครสอนอีก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนทุกชาติที่เกิด และมีโอกาสได้ฟังคำของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพระวินัย พระสูตรหรือพระอภิธรรม เป็นเรื่องของขัดเกลา เพราะอะไรคะ กิเลสเยอะ โลภะเนี่ยอย่าได้ไปหวังเลยที่จะหมดกิเลส ต้องเป็นความเห็นประโยชน์ของกุศลตามลำดับขั้น พร้อมทั้งการศึกษา เข้าใจในความเป็นธรรมขาดอันนี้ไม่ได้เลยค่ะ เพราะว่าจะรักษาศีลสักเท่าไหร่ ก็เรานั่นแหละ จะอดตามพระภิกษุไม่บริโภคนั้นบริโภคนี้นะคะ ก็เราอีกนั่นแหละ แต่ว่าถ้าเข้าใจในความเป็นอนัตตาจริงๆ นะคะ ก็แล้วแต่เพราะว่า ศีล ๘ อีกนัยหนึ่งคือ อาชีวัฏฐมกศีล อันนั้นก็เป็นชีวิตปกติธรรมดาแล้วแต่ ไม่มีการบังคับค่ะ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ อบรมเจริญปัญญาได้ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ไม่ใช่ด้วยกำลังของกิเลสที่ผลักไส ให้ไปทำสิ่งที่ผิดเป็นเครื่องกั้น ต้องรู้ว่าที่เรากินเพราะว่าเราหิว หรือเราอยากจริงๆ ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้หรอกนะคะ ว่าพระวินัยเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องมีการเข้าใจธรรมก่อนใช่มั้ย จากการฟังพระธรรม และเมื่อฟังพระธรรมแล้วนะคะ มีผู้ที่รู้จักตัวเองจะเข้าใจธรรม ว่าสะสมอัธยาศัยใหญ่ ที่จะเป็นพระภิกษุ สละเพศคฤหัสถ์โดยสิ้นเชิง จะกลับไปทำอย่างคฤหัสถ์อีกไม่ได้เลย ไม่ว่าทั้งกาย ทั้งวาจา การงานอาชีพต่างๆ ทำไม่ได้ เนี่ยอ่ะค่ะ ต้องมีความเข้าใจจริงๆ นะคะ

    เพราะฉะนั้นจึงจะสามารถขัดเกลากิเลสได้ เพราะโลภะไม่เข้ามาลวง ไม่เข้ามาล่อไม่ให้เข้าใจผิดไม่ใช่ให้หวังว่าเราทำ เพื่อเราจะได้รู้แจ้งอริยะสัจธรรมก็ไม่ใช่ แต่ทั้งหมดเป็นการที่ว่าเข้าใจว่าไม่ใช่เรา อันนี้ค่ะสำคัญมาก ด้วยเหตุนี้พระวินัยจึงเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ที่รู้อัธยาศัย และก็ต้องการที่จะขัดเกลากิเลส ตามรอยพระบาท ประพฤติตามพระองค์ทุกประการ สละอาคารบ้านเรือน ครอบครัววงศาคณาญาติ อบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต แต่เมื่อกิเลสยังมีนะคะ ท่านก็มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ผู้ที่รู้เห็นก็ติเตียนแม้เป็นชาวบ้าน ก็ทำให้รู้ว่านั่นไม่เหมาะกับบรรพชิต กราบทูลพระผู้มีพระภาคนะคะ ประชุมสงฆ์ให้ทุกคนเห็นจริง ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่พระภิกษุจะกระทำเยี่ยงนั้น จึงมีวินัยสำหรับภิกษุ แต่สำหรับคฤหัสถ์นี่ค่ะ จะรักษาเสียงนี่กี่ข้อ ก็ไม่ต้องบอกใคร เกิน ๕ ก็ได้ ตามพระวินัยตั้งเยอะแยะไป ที่ท่านสวดปาติโมกข์กันนะคะ เราจะอบรมเจริญปัญญาของเราก็ตามอัธยาศัย ไม่จำเป็นต้องบอกใคร ประกาศใคร หรือว่าไม่ต้องถือเพศเป็นพระภิกษุได้ เพราะเหตุว่าเป็นพระภิกษุนะฮะ ต้องเป็นผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ และต้องประพฤติตามพระธรรมวินัยทั้งหมด ไม่ลืมนะคะ เพื่อละกิเลส แต่ต้องเห็นกิเลส ถ้าไม่เห็นกิเลสไม่ละค่ะ และที่เห็นไม่ใช่เราต้องเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะละคลายความติดข้อง ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ ก็คือพระอนาคามีบุคคล แต่ไม่ได้หมายความว่า การค่อยๆ ขัดเกลาแต่ละหนึ่ง ทีละเล็กทีละน้อยนี่จะไร้ประโยชน์นะคะ เป็นประโยชน์ แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ต้องเพราะปัญญา ธรรมเนี่ยต้องชัดเจน เท่าที่สามารถจะเข้าใจได้ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เข้าใจทั้งหมดทีเดียวนี่คง ไม่มีทางเป็นไปได้เลยนะคะ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งมาก เพียงแต่ว่าได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง รู้ว่าละเอียดลึกซึ้ง เกินกว่าที่จะหยั่งได้ แค่นี้อ่ะค่ะ แต่ละคำแต่ละคำ อย่างเห็นเนี่ย ทุกคนก็กำลังเห็นนะคะ แต่ความลึกซึ้งของเห็น เกินกว่าที่จะหยั่งได้ ลองคิดถึงคำนี้ก็แล้วกันว่า หมายความว่าอะไร เป็นธาตุรู้แน่นอนนะคะ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ต้องแสดงว่าเห็นเนี่ย เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ และก็กำลังเห็นด้วย

    เพราะฉะนั้นการที่ฟังพระธรรม ก็คือให้ทราบว่า ก่อนที่จะรู้ความจริงอย่างนี้นะคะ ก็ต้องอาศัยการที่รู้ตัวเองว่าไม่เคยรู้มาก่อน และสิ่งที่ปรากฏที่มีจริงนี่ ฟังเท่าไรก็ยังเหมือนเดิม เหมือนจับด้ามมีดค่ะ เราไม่เห็นเวลาที่ด้ามมีดสึก เหมือนเดิมใช่ไหมคะ ด้ามมีดนี่นะคะ จับครั้งที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่พัน ที่หมื่น ที่แสนเหมือนเดิมมั้ย เราจะไม่รู้เลยว่าปัญญานะคะ ทำหน้าที่ของปัญญา เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังนี่ค่ะ อย่าเพิ่งผ่าน สังขารขันธ์ ทำไมถึงกล่าวว่าเจตสิก ๕๐ ประเภทเป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งจาก ๑ ขณะที่ได้ฟัง และก็ขณะที่ ๒ ที่๓ ที่๔ ที่๕ เรื่อยไปนะคะ เค้าจะค่อยๆ ปรุงแต่ง โดยเราไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว มีหน้าที่อย่างเดียว คือว่าให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า ธรรมทุกอย่างไม่ใช่เรา ทุกอย่างแล้วจะเว้นอะไร เมื่อกี้นี้รับประทานอาหารกลางวัน แล้วก็ไปพักผ่อนนะคะ ทุกอย่างเป็นธรรม เราฟังแล้วก็ต้องลืมเป็นของธรรมดา เพราะเห็นว่าเราจำผิดมานานมาก ตั้งแต่เห็น ตั้งแต่ได้ยิน ทุกชาติไปเนี่ย ก็จำผิดๆ มาว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้นะฮะ แต่ก็ต้องรู้ว่าเพราะอะไร เพราะสภาพธรรมเนี่ยค่ะเกิดดับเร็วมาก ก็ขณะนี้ไม่เห็นเกิด ไม่เห็นดับ แล้วจะบอกว่าขณะนี้ สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก

    เพราะว่าไม่มีใครที่จะรู้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้ความจริงนะคะ เกินที่ใครจะคาดฝันได้ เพราะเห็นทีไร ก็ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันเลย เป็นคนโน้นเป็นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดเวลา แต่ความจริงก็คือว่า แต่ละหนึ่งนะคะ ที่รวมๆ กันเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดนี่ค่ะ แยกออกได้เป็นแต่ละหนึ่ง และแต่ละหนึ่งนี่ค่ะ เกิดดับเร็วมากต่อกันสนิทเลย เมื่อกี้เดินมาทุกก้าว ต่อกันสนิมจนกระทั่งทำให้ถึงนั่งลงทีนี่ ก็ต่อกันสนิทไม่เห็นมีอะไรเกิดดับเลย แต่ความจริงทุกอย่างเนี่ยค่ะ แตกสลายเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย มิฉะนั้นจะไม่มีการละคลายความเป็นเรา ด้วยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่การละคลาย ต้องตามลำดับขั้นนะคะ ไม่ใช่ให้เราไปละความติดข้อง ที่เราเคยติดข้องในอาหารอร่อย ในความสนุกสนาน รื่นเริงต่างๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ เพียงแต่ว่าติดข้องว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่มั่นคง ไม่ดับไป ไม่แตกสลายเลย เพราะฉะนั้นเห็นทีไร ก็พอใจในสิ่งนั้นแหละ ที่เหมือนว่าเป็นสิ่งซึ่งยั่งยืนอย่างดอกไม้เมื่อเช้านี่ค่ะ ใครชอบก็ยังเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ ไม่เห็นแตกสลายไป แต่ว่าตามความเป็นจริงนะค่ะ กำลังเกิดดับ ต้องปัญญาที่อบรมแล้วเท่านั้น ที่กว่าจะรู้อย่างนี้ได้นะคะ แต่ละหนึ่งนี่แยกออกไป เพราะว่าเห็นต้องไม่ใช่ได้ยิน ต้องไม่ใช่คิดนึก ต้องไม่ใช่สุข ต้องไม่ใช่ทุกข์ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งจริงๆ ค่ะ แล้วไม่เคยที่จะได้รับฟังความจริงว่าไม่ใช่เราหรือของเรา เพราะว่ารวมกันไม่เห็นว่า เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งแยกขาดจากกัน เพราะฉะนั้นถ้ายังรวมกันอยู่ ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแยกออกไป เป็นแต่ละหนึ่ง นี่คือปริยัติ เริ่มฟังนะคะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความเข้าใจขณะนี้ค่ะ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เนี่ยขั้นฟังฟังเข้าใจ ฟังรู้เรื่อง แต่การเป็นหนึ่งที่เกิดแล้วดับไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นการที่จะยังคงยึดมั่นว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนี่นะคะ ก็จะต้องมากมาย มั่นคงเหนียวแน่นอย่างนี้ค่ะ จนกว่าจะรู้จริงอย่างนั้นเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนะคะ ก็ยังมีความต่างขั้นของปัญญาที่อบรมมา ที่จะค่อยๆ ละ เพราะฉะนั้นฟังอย่างนี้ไม่ล่ะ หรือว่าสติสัมปชัญญะเกิดก็ไม่ละ จนกว่าจะรู้ความจริงที่สภาพธรรม ปรากฏเมื่อไหร่ จึงเป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้ง ขั้นต้นยังไม่ละ เห็นมั้ยคะ ความเหนียวแน่น ไม่ใช่ว่าเราสามารถ ที่จะไปดลบันดาลอะไรได้เลย แต่เป็นผู้ที่เริ่มรู้ความจริง ลึกซึ้ง ยากยิ่ง และก็เป็นเรื่องที่ละความเป็นเราจริงๆ นะคะ จนไม่เกิดอีกเลย คิดดู ละจนไม่เกิดอีกเลย ไม่มีสักขณะหนึ่ง ซึ่งจะกลับไปคิดว่า นั่นเป็นสิ่งที่เที่ยงหรือยั่งยืน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ค่ะว่า เหมือนเราเรียนหนังสือ ถ้าเราเรียนแล้วรู้แล้วนะคะ เห็นที่ไหนเราก็จำได้ กอไก่ ขอไข่ กว่าจะจำไปจนถึงฮนกฮูก เราไปเจอที่ไหนเราก็เข้าใจได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราค่อยๆ คุ้นกับธรรมอย่างมั่นคง ในความไม่ใช่เรา แต่ความเป็นเรานี่คะ คอยแทรก คอยคั่น คอยกั้น อยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะหมดความเป็นเราได้ยังไง เพราะฉะนั้นจะเห็นการยากลำบากของปัญญา ซึ่งไม่เหมือนวัชพืช ไม่ต้องทะนุบำรุงเลยนะคะ งอกงามเจริญดี เหมือนอกุศลกับกิเลส งอกงามเจริญดีทุกวัน แต่ว่าปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกเนี่ยนะคะ ทั้งๆ ฟังอย่างนี้คะ ละไม่ได้ แต่ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก เพิ่มขึ้นอีก แล้วไม่ใช่เราที่ละ ข้อสำคัญที่สุดนะคะ ก็คือไม่ใช่เราทีละ อดทนสักแค่ไหน ถ้าให้เราทำอะไรชวนกันไปทำนะคะ ไปเลย ได้เลย คิดว่าทำได้ ไม่ได้อะไรเลย มันง่ายเกินไป ที่จะคิดว่าจะสามารถไปเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งกำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ได้ โดยการไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมา แล้วก็คิดว่านั่นแหละ กำลังจะประจักษ์ กำลังจะรู้ กำลังจะละความเป็นตัวตน เป็นสิ่งซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลย

    เพราะฉะนั้นจะต้องรู้นะคะ ว่าหนทางนี้ ถ้าไม่อาศัยคุณความดีจริงๆ มั่นคงขึ้นเพราะว่าคงจะไม่มีใครรู้ว่า ทุกขณะที่ดี ทำดี คิดดี พูดดี ขณะนั้นนะคะ กำลังค่อยๆ ละความเป็นเรา เห็นไหมคะไม่รู้เลยค่ะ ทำดีเมื่อไหร่เนี่ย ถ้ายังคงเป็นเราทำไม่ได้ ก็เห็นแก่ตัว อะไรอะไรก็ต้องเราก่อนเสมอ คนอื่นจะเป็นยังไง ก็ไม่สำคัญเท่ากับตัวเอง แต่พอไม่คิดถึงตัวเราเองนะคะ ทำความดีเมื่อไหร่ นั่นเป็นหนทางที่จะค่อยๆ ละความเป็นเราจนกระทั่งหมดความเป็นเราได้ เพราะฉะนั้นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ เป็นหนทางของความดีโดยตลอด เพื่อละความเป็นตัวตนซึ่งไม่ดี เพราะยึดถือว่าเป็นเรา ถ้าไม่ใช่เราละล่ะ สละได้ไหมคะ ไม่ใช่เราล่ะสละได้มั้ย ได้ แต่พอเป็นเราสละได้ไหม ไม่มีทางเลยค่ะ เพราะฉะนั้นทางเดียวที่แน่นอน มั่นคงเป็นไปได้ยากจริงๆ ที่จะค่อยๆ ชำระจิตนะคะ ก็คือรู้ขณะจิตหรือเข้าใจถูกต้อง ว่าขณะไหนดี และขณะไหนไม่ดี แค่นี้ก็ยาก เพราะว่าจะมีปัญหาเสมอนะคะ ที่ถามกันทำอย่างนี้ดีมั้ย ทำยังงั้นไม่ดีมั้ย หมายความว่าอะไร หมายความว่าไม่รู้ ว่าความดีคืออะไรใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเนี่ย เพื่อไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เห็นความจริงว่า กิเลสมากอย่างนี้จะออกได้อย่างไร ประมาทไม่ได้เลย ไม่มีวิธีลัดไม่มีวิธีง่าย แล้วก็เป็นปกติอย่างนี้ค่ะ เห็นอย่างนี้เลย อย่างนี้เลย เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง กำลังเห็นนี่จริง เกิดขึ้นแล้วดับ ไม่ใช่พระองค์เดียวนะคะ ที่รู้ความจริงนี้ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นพระองค์เดียว ก็ไม่มีสาวก ไม่มีผู้ฟัง ไม่มีผู้รู้ตาม เพราะเหตุว่ามีพระปัญญาถึงกับสามารถที่จะทำให้คนอื่นเนี่ย ได้ยินได้ฟังคำ แต่ละคำ ซึ่งต้องไตร่ตรองจริงๆ นะคะ จนกว่าจะเป็นความเข้าใจจริงๆ เมื่อนั้นน่ะค่ะ ความดีก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น โดยที่ว่าไม่ได้หวังอะไรเลย แต่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จนกว่านะคะ ปัญญาที่สามารถ ที่จะเข้าใจความต่างกัน ของขั้นการฟังกับขั้นที่ปฏิปัติ

    เพราะเหตุว่าขั้นต้นนี่นะคะ ถ้าไม่อาศัยการฟังนะคะ กำลังพูดกันเรื่องเห็นเนี่ย คิดอะไรคะ คิดเรื่องเห็น ถูกไหมคะ ใครรู้ตรงเห็น ตรงเห็นนี่ไม่ใช่ต้องมามีใครอะไรมานั่งจ้องต่างหากล่ะ คะแต่ความเข้าใจค่อยๆ เกิด ในขณะที่กำลังเห็น ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องจ้อง ไม่ต้องทำอะไรนะคะ เริ่มเข้าใจถูก นี่คือการค่อยๆ ปล่อย ค่อยๆ คลาย ค่อยๆ ละ แม้แต่ความจงใจ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ บางคนก็อาศัยเจตนา อาศัยความตั้งใจ รักษาศีล ทำโน่นทำนี่ทุกอย่าง แต่ว่าขณะนั้นนะคะ ใครทำโลภะ อวิชชาทั้งสองอย่าง มากมายมหาศาล ครอบครองนะคะ เป็นเจ้านายใหญ่ยิ่ง ใช้คำว่าเราเนี่ยนะคะ เป็นตัณหาทาโส เป็นทาสค่ะ ไม่ได้อิสระเลย เป็นทาสของอะไร เป็นทาสของความต้องการ จริงมั้ย ทั้งวัน ลองคิดดู เนี่ยค่ะ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องตรงไปตรงมานะคะ เป็นเรื่องจริงก็ต้องจริง มีกิเลสมากก็กิเลสมาก มีความเข้าใจเท่าไหร่ ก็คือเท่านั้น มีความอดทนแค่ไหนก็แค่นั้น แล้วก็จะรู้ได้ว่าทั้ง ๓ ปิฏกเนี่ยเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าเรามีความเข้าใจว่า ทุกอย่างที่ได้ทรงแสดงเนี่ย รู้ว่าเราขัดเกลากิเลสด้วยตัวเองไม่ได้เลย เพราะว่าทั้งกายทั้งวาจาทั้งวันเนี่ย เป็นไปด้วยกิเลสทั้งนั้น เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือว่าสามารถที่จะให้คนเนี่ย ได้เห็นประโยชน์จากคำที่พระองค์ทรงแสดง อย่างถ้าเป็นพระวินัยนะคะ ก็ประชุมสงฆ์ทุกครั้ง ที่มีความประพฤติเป็นไปทางกายทางวาจา ที่ไม่เหมาะสม พระองค์เห็นว่าถูกต้องอย่างนี้ แต่คนอื่นเค้าเห็นมั้ยล่ะ เขายังไม่เห็น ก็ต้องให้เขาเห็นก่อน ชี้แจงให้เห็นโทษของอกุศล ให้เห็นประโยชน์ของการที่ ค่อยๆ อบรมเจริญความดีนะคะ จนกระทั่งเป็นที่รับรองในเรื่องของความประพฤติ ทางกายทางวาจา ทุกประการว่า เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับเพศบรรพชิต นี้ก็แสดงให้เห็นถึงว่า อัธยาศัยถึงสละอาคารบ้านเรือน ก็ยังทรงพร่ำสอน อนุสาสนีย์ แล้วก็มีพระวินัย กำจัดกิเลสอย่างยิ่ง โดยว่าไม่เว้นเลยทั้งกายวาจา ในขณะที่ฟังเนี่ยเรากำลังคิดถึงเรื่องปัญญา ที่เข้าใจธรรม แล้วทางกาย ทางวาจาของเรา เป็นไปอย่างที่คุ้นเคยรึเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดมากนะคะ ยากมากแต่ก็เป็นไปได้ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเป็นปกติ เป็นไปได้แน่นอนค่ะ

    เพราะว่าปัญญาซึ่งความเห็นถูกความเข้าใจถูก ไม่ใช่เรา แต่ถ้าเป็นเราเมื่อไหร่ก็คือกั้นเมื่อนั้นยืดยาวต่อไปอีก เพราะถูกทับถมด้วยความต้องการ และความไม่รู้ ก็อดทนที่จะฟังซ้ำไปซ้ำมาซ้ำแล้วซ้ำอีกนะคะ ทั้ง ๓ ปิฏก ดีกว่าไม่ได้ฟัง ดีกว่าไม่มีโอกาส ให้ฟัง ดีกว่าไม่ได้เกิดมาที่จะได้ อบรมเจริญปัญญาเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นสิ่งที่ใครก็ทำแทนใครไม่ได้ ใครทำแทนใครได้ เราไม่มีกิเลสเลยค่ะ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ไม่ได้เฉพาะบุคคลนี้ หรือบุคคลนั้นนะคะ สัตว์โลกทั้งหมด ถ้าสามารถที่จะให้หมดกิเลสได้ ก็ต้องทรงกระทำแน่นอน แต่เพราะเหตุว่า ใครก็ทำให้ใครไม่ได้ค่ะ นอกจากเข้าใจขึ้น แล้วก็อบรมเจริญปัญญา แล้วก็ความดีนะคะ ที่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแล้วเนี่ย ก็จะสามารถที่จะเห็นประโยชน์ ของการที่จะให้คนอื่น ได้มีโอกาสเข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมเพราะอะไร เพราะพระปัญญายิ่งกว่าใคร ที่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่ทำไมคะ ช่วยคนอื่นดีมั้ย ให้เค้าเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นทั้งหมดของพระองค์นะคะ ตั้งแต่ตื่นทั้งเช้า บ่าย สาย ค่ำอะไรจนกระทั่ง มีเวลาพักผ่อน บรรทมคือหลับไม่นาน ชีวิตทั้งหมดตั้งแต่ตรัสรู้ก็เป็นประโยชน์ แล้วเราก็เห็นคุณจริงๆ นะคะ ว่ามีโอกาสได้ยินได้ฟังแล้ว ก็เมื่อไหร่จะถึงวันนั้น ก็ด้วยความไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจจริงๆ เข้าใจจนกระทั่งว่า ไม่เหลือความยึดถือว่าเป็นเรา ไม่มีปัจจัยที่จะเกิดได้เลย คิดดูนะคะ เราอาจจะคิดว่าความดีอย่างนี้ ชั่วครั้งชั่วคราว เราทำได้ เดี๋ยวเดียว นิดเดียวน้อยมาก เมื่อเทียบกับความที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา และก็เป็นเหตุที่จะทำให้กิเลสทั้งหลายเนี่ย เกิดขึ้นหลากหลายมากค่ะ กิเลสลึกล้ำ ซ้ำซ้อนยากแก่การที่จะรู้ทัน

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นโอกาสดี ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ฟังไปอีกไม่เป็นไร นานเท่าไหร่ไม่สำคัญ ขอให้เข้าใจ เข้าใจก็คือเดี๋ยวนี้ เห็นตรงตามที่ได้ฟังหรือยัง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ยังไม่ตรงตามที่ให้ฟังนะคะ วันหนึ่งที่เห็นคุณค่าของการละ ไม่ใช่รีบร้อนที่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น คิดดูค่ะ สิ่งที่ไม่เคยรู้มาเลยนานมากแล้วจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นเนี่ย ต้องใช้เวลานานซักเท่าไหร่ นี่คือการละ เห็นมั้ยคะ ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง มิฉะนั้นเราก็หวัง แล้วเราก็จะทำอย่างนั้นอย่างนี้กัน ซึ่งทั้งหมดก็คือว่าด้วยความเป็นเรา ละเอียดลึกซึ้งแยบยลไหมคะ และปัญญานั่นเองที่จะเห็นของตัวเองแต่ละคนด้วย เราเคยคิดมั้ยที่จะเข้าใจสิ่งที่มี หรือเราอยากจะหมดกิเลส หรืออยากจะทำอย่างหนึ่งอย่างใด เห็นไหมคะ ผิดกันละ ถ้าจะเข้าใจก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ช้ามาก แต่เข้าใจจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่เป็นเรื่องคิดว่า เห็นนี้เกิดดับยังไง นั่นคือไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เฝ้าแต่คิดว่ายังไง ต่างกันแล้วเห็นมั้ยคะ แม้เล็กน้อยนิดเดียวที่สุด เหมือนสองอย่างที่แสนบางค่ะ ยากที่จะรู้ได้

    ผู้ฟัง เหมือนเริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วนะคะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องคิดอะไรเลยสักนิดนึง ว่าจะเล็กจะใหญ่แค่ไหน ฟังเข้าใจ เข้าใจเท่านั้นค่ะ เข้าใจนั่นคือไม่ใช่เราแล้ว และเข้าใจนั้นก็เป็นสังขารขันธ์ จากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง จากเมื่อเช้าถึงเดี๋ยวนี้เห็นไหมคะ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา แค่ไหนใครรู้ ไม่ต้องไปมีตัวตน ไปใฝ่หาอีกค่ะ เรื่องของตัวตนทั้งนั้นเลย แต่ว่าฟังแล้วเข้าใจก็คือเข้าใจ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้คิดอะไรค่ะ

    ผู้ฟัง บอกไม่ได้ เพราะว่ารวดเร็วเกิดดับหมดแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.อรรณพ เพียงได้ยินคำถาม จิตก็เกิดดับ คิดโน่นคิดนี่เยอะแยะครับอาจารย์ กำลังจะกราบเรียนก็คือว่า ไม่อาจจะตอบทันว่าคิดอะไร

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะแค่เห็นนะฮะ เป็นคุณอรรณพเนี่ย คิดตั้งเท่าไหร่ คิ้ว ตา จมูก ปาก ทุกสิ่งทุกอย่างถึงจะเป็นคุณอรรณพ แต่พอเห็นนะคะ คุณอรรณพทันทีเกิดดับเร็วแค่ไหน เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่เราไม่รู้นะคะ เหมือนเราพูดถึงสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร จมอยู่ที่ก้นมหาสมุทร ทุกอย่างหมดเลย แม้แต่คิดเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ รู้หมดทุกอย่างจิตเท่าไหร่ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ รูปเท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ คนนั้นคนนี้อยู่ตรงนั้นตรงนี้เนี่ย ไม่ใช่สิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นจะรู้เลยนะคะ ว่าจากคิด จากฟัง ฟังเยอะเลยนะคะ เมื่อเช้าเนี่ย เมื่อกี้อาหารอร่อยมั้ย ตอบได้ แต่ถามว่าคิดรึเปล่า ถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อเช้านี้ ตอบได้มั้ย ตอบไม่ได้มะม่วงน้ำปลาหวาน ตอบได้ใช่ไหมคะ แต่เมื่อเช้าเนี่ยวินัยอะไร จิตอะไร เจตสิกอะไร เท่าไหร่ ตอบได้มั้ยที่เราสนทนากันไปแล้ว แต่ปัญญาทำหน้าที่นะคะ ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ปัญญาไม่ได้จำ เห็นไหมคะ ความละเอียดมาละปัญญาไม่ใช่จำ ทีละหนึ่ง ต้องหนึ่งเป็นหนึ่ง เราอาจจะไม่ต้องใช้คำ ที่ทำให้เราพูดตามบ่อยๆ แต่ความเข้าใจของเราไม่ได้ตามคำพูดบ่อยๆ อย่างนั้น เพียงแต่จำ มีหน้าที่จำ จำ ไม่เคยที่จะไม่จำ แต่ว่าจำก็เกิดแล้วจำก็ดับ แล้วก็ไม่กลับไปอีกสักจำเดียว แต่ก็สืบต่อมาเรื่อยๆ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า อย่างนี้อ่ะคะ ใครจะมาคิดเอง พูดเองได้ เพราะว่าเป็นจริงทุกคำ แต่ว่ากว่าจะถึงการที่รู้ว่า ไม่ใช่เราได้เนี่ย ฟังไป แล้วก็เมื่อไหร่ตื่นขึ้นมา ก็คิดถึงธรรมบ้าง มีมั้ย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567