ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906


    ตอนที่ ๙๐๖

    สนทนาธรรม ที่ ชลพฤกษ์รีสอร์ท จ.นครนายก

    วันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ผู้ที่จะมีความประพฤติตามพระวินัย เป็นผู้ที่เป็นบุตรที่เกิดจากอุระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าปัญญาที่ทำให้แสดงธรรมจนกระทั่งบุคคลนั้น สามารถที่จะรู้จักตนเองตามความเป็นจริงได้ และก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสตามที่ได้สะสมมา ขณะนี้ทุกคนที่ฟังใครจะไปบอกให้คนนี้เข้าใจมากๆ คนนั้นเข้าใจน้อยๆ คนนี้เป็นอย่างนั้นคนนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นไปได้อย่างไร เมื่อเป็นไปไม่ได้ก็แสดงว่าคนนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมว่าเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้เลยทั้งสิ้น ท่านอนาถบิณฑิกป็นพระโสดาบัน ท่านอนาถบิณฑิกก็ไม่ได้บวช ทั้งๆ ที่เป็นพระโสดาบัน วิสาขามิคารมารดาเป็นใคร ก็ไม่ได้บวช แล้วจะให้ใครไปบวช คนที่ไม่เข้าใจธรรมก็คิดว่าคนนั้นควรจะบวชคนนี้ควรจะบวช ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไปบอกท่านอนาถบิณฑิกกับวิสาขาให้บวชใช่ไหม แต่ว่าท่านเป็นพระโสดาบัน และคนที่พูดเป็นใคร แล้วทำไมไปเห็นว่าทำไมวิทยากร หรือใครจะต้องบวช ในเมื่อวิสาขายังไม่บวช ท่านอนาถบิณฑิกก็ยังไม่บวช

    อ. อรรณพ บุคคลในสมัยพุทธกาลฟังในเหตุในผล ผู้แสดงนั้นจะอยู่ในฐานะอะไรท่านก็ฟัง นางขุชชุตตราเป็นทาสี เป็นหญิงค่อมเป็นคนรับใช้ แต่ท่านสามารถที่จะ แสดงธรรมได้ ผู้ที่เป็นเจ้านายก็ยังฟังธรรมจากหญิงรับใช้ เพราะฟังธรรมไม่ใช่ฟังคน เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมให้เข้าใจดีกว่า แล้วตัวเองก็ไม่ต้องคิดว่าจะไปบวชไม่บวช แม้ตนเองก็ควรจะคิดว่าเข้าใจธรรมได้ควรเข้าใจ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดแทนคนอื่นว่าคนโน้นมาบวชคนนี้มาบวชจะได้รักษาพระศาสนา

    ท่านอาจารย์ พระภิกษุอลัชชีมีตั้งแต่ในครั้งพุทธกาลคือผู้ที่ไม่ละอาย และประพฤติผิดพระธรรมวินัย จะฟังเขาไหม จะเชื่อเขาไหม เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคเอง ก็ตรัสถึงภิกษุที่เดินตามหลังสุนักขัตตะลิจฉวีบุตร ซึ่งไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอ แม้ว่าจะบวชแล้วเดินตามหลังด้วย ก็คิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไม่ใช่จากการตรัสรู้ แต่เพราะจากการพิจารณาไตร่ตรองเก่งฉลาดมาก และคำสอนนั้นก็สามารถที่จะทำให้คนได้ประพฤติดี แต่ไม่รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา

    เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เห็นธรรมจะรู้ไหมว่าใครเป็นภิกษุ เพราะฉะนั้นจะให้ใครไปบวชเพื่ออะไร เพื่อไม่เข้าใจพระธรรมวินัยเลย ไม่ศึกษาธรรมเลย และไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยด้วย แล้วยังกล่าวว่าไม่ต้องศึกษาพระธรรม จะให้บุคคลนั้นไปบวชหรือ หรือว่าจะเชื่อบุคคลนั้นหรือ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ที่ไม่เข้าใจธรรมเลย ก็จะมีความคิดต่างๆ แต่ว่าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้คุณค่าของคำแต่ละคำ ซึ่งกว่าแต่ละคนจะเข้าใจได้ต้องอาศัยการศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นพระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะผู้ที่บวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรม และไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย พระศาสนาไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ด้วยการสร้างวัดวาอารามต่างๆ แต่ไม่มีความเข้าใจธรรมและไม่ประพฤติปฏิบัติตามธรรม แล้วจะให้เคารพใคร นอกจากเคารพพระธรรม เคารพพระรัตนตรัย เพราะเหตุว่าเคารพพระธรรมรู้จักพระธรรมเมื่อใด ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น เพราะเหตุว่าไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงคิดว่าใครอยากบวชก็บวชได้ แต่ไม่รู้จักว่าบวชคืออะไร เมื่อไม่รู้จักบวชแล้วบวชทำไม เเละบวชเพื่ออะไร เพราะคำว่าบวชหมายความถึงสละทั้งหมด มารดาบิดาวงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ สละเพราะอะไร เพราะเห็นประโยชน์ของการที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะเหตุว่าถึงแม้เป็นคฤหัสถ์ก็อบรมเจริญปัญญาได้ แต่อัธยาศัยที่สะสมมาในครั้งพุทธกาล แม้มารดาบิดาซึ่งมีบุตรคนเดียวไม่อยากให้บุตรนั้นสละทรัพย์ ๘๐ โกฏเลย แต่อะไรก็ห้ามบุตรไม่ได้ เพราะเหตุว่าสะสมมาที่จะบวช อดข้าวถึง ๗ วัน จนกระทั่งเพื่อนฝูงต้องไปบอกมารดาบิดาว่า ถ้าไม่บวชเขาก็ตาย จะให้เขาตายหรือจะให้เขายังอยู่ที่พอจะเห็นกันได้

    เพราะฉะนั้นมารดาในครั้งนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ต้องการให้ลูกบวช แต่ยุคนี้ไม่รู้อะไรก็อยากให้ลูกบวช โดยที่ไม่รู้ว่าการบวช ถ้าเป็นผู้ที่ไม่รู้จุดประสงค์ของการบวช การบวชนั้นไม่ใช่บรรพชิต เพราะต้องเป็นผู้ที่สละทั้งหมดเลย เเล้วสละได้ไหม ยังคงมีมารดาบิดาหรือเปล่า ในสมัยโน้นบุตรที่บวชแล้วก็จากมารดาบิดา แม้กลับมาก็ไม่บอกว่าเป็นลูก นี่ก็แสดงให้เห็นถึงว่าท่านต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจจุดประสงค์ของการบวชว่าเพื่อดับกิเลส เพื่อสละจริงๆ จึงสามารถที่จะเจริญในพระธรรมวินัยได้ มิฉะนั้นแล้วท่านต้องเสื่อม เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไม่รู้ประโยชน์ของการบวช แล้วบวชทำไม โดยเฉพาะถ้าบวชแล้ว ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้ปฏิบัติตามพระวินัยเลย จะมีประโยชน์อะไร พระผู้มีพระภาคใช้คำว่ามหาโจรสำหรับผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ยังชอบมหาโจรไหม ยังสนับสนุนมหาโจรหรือเปล่า

    สนทนาธรรมที่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุจังหวัดนนทบุรี

    วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙

    อ.คำปั่น การพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือในเรื่องของจิตใจ ก็เป็นโอกาสดีว่า วันนี้ก็คงจะได้ทราบว่าไม่ว่าจะเกิดเป็นใครก็ตาม ชีวิตจะมีคุณภาพได้ด้วยอะไร ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กวัยหนุ่มวัยชรา อะไรที่จะเป็นเครื่องพัฒนาชีวิตให้เป็นชีวิตที่มีคุณภาพ

    ท่านอาจารย์ การสนทนาธรรมก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตมีค่า เมื่อได้ประโยชน์จากการสนทนา และสำหรับเรื่องที่ทุกคนไม่ค่อยจะได้สนทนาก็คือเรื่องของพระพุทธศาสนา ซึ่งความจริงก็ชินหูมากเลย เพราะว่าเราก็เกิดมาในเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่าตามความเป็นจริง ความเข้าใจและเวลาที่เราให้กับการที่จะศึกษาพระศาสนาน้อยกว่าที่ควร เพราะว่าบางคนไปวัดตอนเด็ก แล้วก็พอโตขึ้นก็ยังคงไปวัดอยู่เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ว่ายังไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรมจริงๆ รู้จักวัดแน่ วัดที่ไปอยู่ที่ไหน ไปที่ไหนก็รู้จัก แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน และก็คำที่เราชินหูคือคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ว่าเราก็คุ้นหูเพียงแค่นั้นเอง แต่ถ้าถามจริงๆ ว่าใครรู้จักพระพุทธเจ้า มีไหม รู้จักไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินชื่อ

    เพราะคำนี้ยากมากที่มีใครสามารถที่จะรู้จักพระองค์ได้ เพราะพระองค์ไม่ใช่อย่างที่เราคิด แต่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พระอรหันต์ก็ยาก แต่พระองค์สูงกว่านั้น เหนือพระอรหันต์ใดๆ ทั้งหมดเพราะว่าเป็นพระบรมศาสดา เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไม่มีแต่ละคำที่เราจะได้ยินต่อไป ซึ่งเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่คำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำนี้แต่อยู่ห่างไกลเหลือเกิน อยู่ที่ไหน หาไม่เจอ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมจะไม่รู้เลยว่า ธรรมที่ได้ฟังมาจากการที่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งแม้แต่คำว่าธรรมรู้จักหรือยัง เหมือนกับว่าทำไมถามคำง่ายๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่คำง่ายๆ อย่างนี้ เราข้ามไปที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากเพื่อที่จะรู้ความจริง เริ่มคิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี นานมากที่จะได้รู้ความจริง เดี๋ยวนี้มีความจริงหรือเปล่า เป็นสิ่งซึ่งถ้าได้สนทนากันทีละนิดทีละหน่อย ทีละเล็กทีละน้อย ก็จะทำให้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างจากเพียงแค่ได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงแม้แต่แค่นี้ คำว่าสิ่งที่มีจริง คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดถึงอะไรกัน สิ่งที่มีจริง ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า และอะไรจริง และอะไรเป็นสิ่งที่ทรงตรัสรู้ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งละเอียดลึกซึ้ง และก็อาศัยการศึกษาตั้งแต่ได้ยินได้ฟังตลอดไปจนตายไปแต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติ กว่าจะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นขอให้ทราบว่า เรารู้จักพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงชื่อ และพระองค์อยู่ไกลมาก ตราบใดที่เรายังไม่ได้เข้าใจพระธรรม คือคำที่ได้ตรัสไว้ทรงแสดงให้แต่ละคนได้เข้าใจ ตราบนั้นเราจะไม่รู้จักพระองค์เลย แค่ได้ยินชื่อแต่ไม่รู้จักตัว เหมือนหลายๆ คน เราอาจจะเคยได้ยินชื่อหลายชื่อ แต่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยพบกัน ไม่เคยสนทนากันฉันใด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ฉันนั้น ได้ยินแต่ชื่อของพระองค์มาตั้งแต่เกิดบ่อยๆ แต่ว่าจะรู้จักพระองค์จริงๆ ได้เมื่อใด ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสไว้เพื่อให้เราได้เข้าใจจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องซึ่งน่าคิดว่า ดูเหมือนจะได้รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบ้าง แต่ว่ายังแสนไกลกับความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นสำหรับการที่มีเวลาเพียงเล็กน้อย แล้วก็จะได้เข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ ก็ยากเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ก็ขอเป็นการสนทนาทั่วๆ ไปเป็นคำถาม ซึ่งจะนำไปสู่การรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าคำตอบก็ไม่พ้นจากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และได้ทรงแสดงไว้

    ผู้ฟัง เป็นคำถามของเพื่อน ซึ่งเพื่อนก็รู้สึกว่า ที่จริงเป็นประโยชน์มากที่จะมาฟัง แต่เพื่อนกังวลว่าความที่ไม่เคยมีพื้นฐานความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มาเลย ควรจะเริ่มฟังคำไหนก่อน หรือควรจะเริ่มฟังส่วนไหนของพระธรรมก่อน

    ท่านอาจารย์ ก็คงไม่เลือกเพราะมีคำที่ทรงแสดงไว้มากมายใน ๔๕ พรรษา แต่ข้อสำคัญที่สุดประการแรกก็คือว่า ต้องการตั้งใจที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า นี่เป็นข้อที่หนึ่ง ที่เรานั่งอยู่ตรงนี้มีความคิด มีการเห็นประโยชน์ มีความศรัทธาที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นกว่าที่เคยรู้จักหรือเปล่า ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มีความต้องการมีศรัทธาอย่างนี้ จะทำให้ฟังเข้าใจขึ้นเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์

    เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับศรัทธาคือสภาพจิตที่ผ่องใส ขณะนั้นไม่มีความติดข้องในเรื่องอื่น ไม่มีความขุ่นเคืองใจ แต่ว่ายังไม่รู้สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นมีศรัทธาจริงๆ ที่จะได้ฟังคำที่จะทำให้เข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละเล็กทีละน้อย จากการที่เราจะค่อยๆ สนทนากัน มิฉะนั้นแล้วก็คงจะเบื่อ เพราะเหตุว่าทุกคนก็คิดว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ความจริงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นชีวิตของทุกคนทุกขณะ ซึ่งจะพ้นจากความทุกข์ ความกังวล ความเดือดร้อนต่างๆ ไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้จักตัวเอง ส่วนใหญ่รู้จักคนอื่นทั้งนั้นใช่ไหม วันนี้คนนั้นทำอะไรบ้าง ทำอะไร หนังสือพิมพ์มีเรื่องของใครบ้าง แต่ตัวเองวันนี้รู้จักตัวเองจริงๆ บ้างหรือยัง

    เพราะฉะนั้นรู้จักคนอื่น แก้ไขคนอื่นเขาไม่ได้ แต่ว่าถ้าเรารู้จักตัวเรา เริ่มเข้าใจพระธรรม เมื่อนั้นเราก็จะรู้ว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรกับเรา เพราะว่าคนอื่นก็มองเราเหมือนกัน เหมือนกับที่เราก็มองเขา ต่างคนก็ต่างคิด แต่ต่างคนต่างคิดเรื่องคนอื่น เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะรู้จักตัวเอง จนกว่าจะรู้ว่าความจริงแล้ว พระธรรมที่ทรงแสดงทรงแสดงความจริงของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าเขาไม่ว่าเราไม่ว่าสิ่งใดทั้งหมด นี่คือประการแรกที่จะรู้ว่าคำว่า ตรัสรู้ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมทั้งหมดเลย ไม่เหลือเลยสักนิด ไม่ว่าจะโลกนี้ หรือโลกไหน พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งแม้เทวดาอยู่ไกลก็ต้องมาเฝ้า พรหมอยู่ไกลก็ต้องมาเฝ้า เพราะเหตุว่าแม้จะเกิดเป็นเทพเป็นพรหมก็ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นเห็นความสูงสุดประเสริฐสุดของผู้ที่เราเพียงได้เคยได้ยินชื่อว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ศึกษาเข้าใจแล้ว ก็จะค่อยๆ รู้จักพระองค์ รู้จักพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ จนกระทั่งรู้แน่ว่าไม่มีใครที่จะมีพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้ถ้าจะได้กราบพระรัตนตรัยเพราะเข้าใจเพิ่มขึ้น การที่ได้กราบไหว้พระรัตนตรัยก็จะกราบไหว้ด้วยความศรัทธามั่นคงขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นทุกคำทุกเรื่องเป็นคำที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพราะฉะนั้นไม่จำกัดเรื่อง เรื่องอะไรก็ได้ตั้งต้นที่ไหนก็ได้ คือตั้งต้นฟังด้วยการรู้ว่าผู้ที่จะให้ความจริงถึงที่สุดก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนมีมากมาย และผู้ฟังจำเป็นที่จะต้องค่อยๆ สะสมการฟัง และความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    ท่านอาจารย์ กว่าจะอ่านหนังสือออกใช้เวลานานไหม แค่สองสามชั่วโมงนี่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการที่จะฟังพระธรรม และให้เข้าใจภายในเวลาสั้นๆ จำกัดก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นขอเริ่มจากคำที่สอง เมื่อสักครู่เราพูดถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธรัตนะ เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมเลย ใครจะรู้จักพระองค์บ้าง แต่เพราะเหตุว่ามีผู้ที่ได้พบปะพระองค์ ได้เฝ้าพระองค์ ได้สนทนาธรรมกับพระองค์ และท่านเหล่านั้นการที่จะได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ที่มีโอกาสได้เฝ้าเฉพาะพระพักตร์แล้วก็ได้กราบทูลถามข้อสงสัยต่างๆ และคำที่พระองค์ตรัสสอนเป็นคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริง แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่าเป็นธรรมดาง่ายๆ

    เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์ทั้งหมด ใช้คำว่าพระธรรม เพราะเป็นคำสอนที่เกี่ยวกับสิ่งที่มีจริง ธรรม ไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษามคธี เป็นภาษาที่รักษาคำสอนของพระศาสนาไว้ เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคตรัสกับชาวมคธ เวลาที่พูดกับใครก็ต้องพูดในภาษาที่เขาเข้าใจ จะไปใช้ภาษาอื่นเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเมื่อตรัสสอนบุคคลในครั้งนั้น ก็ตรัสสอนด้วยภาษาที่ใช้กันในครั้งนั้น คือภาษามคธีแก่ชาวมคธ แล้วก็ดำรงพระศาสนามาไม่เปลี่ยนเลย ก็เป็นปาละ คือดำรงไว้บำรุงรักษาคำสอนไม่ให้คลาดเคลื่อน เพราะว่าคำคลาดเคลื่อนง่ายมาก เพียงจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเสียงก็เพี้ยนไปแล้ว อาจจะเป็นเสียงสูงเสียงต่ำ หรืออะไรก็ตามแต่ การออกเสียงอักขระก็ผิดเพี้ยนไป เพราะฉะนั้นถ้าดำรงรักษาภาษานั้นไว้ และก็แปลสู่ภาษาต่างๆ ก็ไม่มีการที่จะคลาดเคลื่อนเมื่อย้อนกลับมาหาภาษาเดิม

    ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดง คำว่าธรรมไม่ใช่ภาษาไทย แต่คำว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง เริ่มเห็นสัจธรรมความจริงว่าเกิดมาจริง ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย เห็นจริง ได้ยินจริง คิดจริง สุขจริง ทุกข์จริง ทั้งหมดจริง แต่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมหมด เพราะฉะนั้นการฟังไม่ใช่ฟังเผินๆ หรือฟังข้างเดียว หรือฟังแล้วก็ปล่อยไป แต่ต้องพิจารณาไตร่ตรองว่าแล้วขณะนี้อะไรจริง นั่งกันอยู่หลายคน แล้วก็มีสิ่งที่มีจริงๆ หรือเปล่า สนทนา อยากจะตอบเพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้อง พูดถึงเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่ก็ยังไม่ได้รู้เลยว่าแล้วอะไรมีจริงขณะนี้ แล้วพูดไปจะเข้าใจหรือ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะพูดต่อไป ก็ต้องตั้งต้นด้วยว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ภาษาไทยธรรมดาใช่ไหม จริงก็รู้จัก สิ่งที่มีจริงก็รู้จัก ความจริงของสิ่งที่มีจริงก็รู้จัก เพราะฉะนั้นขณะนี้อะไรมีจริง

    ผู้ฟัง ขณะนี้ที่เรารู้สิ่งที่ปรากฏที่นั่งก็คือแข็ง ความแข็งที่ปรากฏ หรือเสียงที่ได้ยิน หรือตาที่มองเห็น ถ้าเราไม่ศึกษา จะไม่เชื่อเลยว่าทุกอย่างเกิดอย่างละหนึ่ง เพราะทุกอย่างรวมว่าพร้อมกันโดยความรู้สึก

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นการเริ่มต้นที่จะศึกษาโดยการได้ยินได้ฟัง แต่ว่าทั้งหมดนี่หลายคำ ถ้าทีละคำทีละคำก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น อย่างที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ขณะนี้ทุกคนรู้ว่ามีสิ่งที่แข็งถูกต้องไหม ใครไม่รู้สึกบ้าง ไม่มี เพราะฉะนั้นแข็งมีจริง แน่นอน แล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีแล้วตามปกติในขณะนี้ตามธรรมดา ซึ่งไม่เคยรู้เลย มีเสียง แต่ก่อนเสียงปรากฏไม่มีเสียง แล้วก็มีเสียง แล้วก็หามีไม่ เสียงหายไปไหน ใครไปตามเสียงมาได้บ้าง เสียงเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับแล้วหมดแล้ว ใครไปตามเสียงมาได้บ้าง ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าแต่ละคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนเราเข้าใจรวมกันหมดเลย เช่น เห็น แล้วก็ได้ยิน แล้วก็คิดนึก แล้วก็รู้ว่าตรงนั้นแข็ง นั่นเป็นกลิ่น นั่นเป็นรสต่างๆ ทั้งหมดรวมกัน ไม่รู้ว่าแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง หลากหลายไม่ซ้ำกัน ไม่เหมือนกัน จะเป็นอย่างเดียวกันก็ไม่ได้ แล้วก็แต่ละหนึ่งต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นจะมีปรากฏให้รู้ได้อย่างไร ว่า กลิ่นนี่แหละกลิ่น รสนี่แหละรส ถ้าไม่เกิดขึ้นปรากฏย่อมไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริง แต่เราไม่เคยคิดไม่เคยเข้าใจเลยว่าแต่ละหนึ่งที่มีจริงๆ ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี ลองคิดถึงโลกทั้งโลกเลย โลกไหนๆ ก็ได้ทั้งหมด พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาว ทะเล ภูเขา ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นจะมีไหม เท่านี้ เริ่มเป็นคนที่มีปัญญา การที่เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมทรงตรัสรู้สิ่งที่มี ซึ่งมีแต่ใครก็ไม่รู้ เพราะทรงตรัสรู้ว่าถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมาเลย อะไรๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    16 มี.ค. 2568