ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902


    ตอนที่ ๙๐๒

    สนทนาธรรม ที่ วัดคูหาสวรรค์ จ.ราชบุรี

    วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ถ้ารอบรู้ในคำหนึ่ง พอได้ยินอีกคำหนึ่งเข้าใจจริงๆ ก็เพิ่มความรอบรู้ในคำนั้นขึ้น เพราะฉะนั้นก็จะเป็นการรอบรู้ในหลายๆ คำในธรรมที่ได้ฟัง แต่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่รอบรู้ สับสน เมื่อครู่นี้มีโลภะเป็นเจตสิก โทสะเป็นเจตสิก มีอีกไหม

    ผู้ฟัง โมหะ

    ท่านอาจารย์ โมหะคืออะไร

    ผู้ฟัง ความหลง

    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มีเต็มไปหมดเลย

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่เคยรู้จักเราก็เพียงแต่ตอบว่าไม่รู้ใช่ไหม แต่ลักษณะที่ไม่รู้นั่นแหละมีจริงเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง คือโมหะเจตสิกก็ค่อยๆ เพิ่ม จนกระทั่งในที่สุดก็จะครบ ๕๒ เจตสิก ก็จะรู้ว่าไม่มีเราเลยสักอย่างเดียว ทั้งวันตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด จนกว่าจะมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น พอจะเริ่มเข้าใจความเป็นอนัตตาหรือยัง นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง แล้วข้อสองครับว่าปัญญาเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เราใช้คำว่าปัญญาแต่เราไม่รู้ว่าปัญญาคืออะไร เพราะไม่ใช่คำในภาษาไทย มาจากภาษาบาลีเป็นคำภาษาบาลีหมายความถึงความเห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นขณะใดที่มีความเข้าใจถูกเห็น ถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นไม่ใช่เรา เมื่อไม่ใช่เรา และเป็นอะไร รอบรู้จะอยู่ตรงนี้ล่ะ ก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเราหมดเลย แต่พอฟังคำของพระสัมมาสัม พุทธเจ้าแล้ว ความเห็นถูกความเข้าใจถูกเป็นอะไร ไม่ลืมคำนี้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่เว้นอะไรเลยทั้งสิ้นไม่ว่าจะมีชื่ออีกกี่ชื่อ ไม่ว่าจะมีสภาพลักษณะของธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมแต่ละหนึ่งทั้งหมดเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง มีจริงๆ หรือไม่ ปัญญาความเห็นถูกต้อง

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม มี เป็นเราหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม แล้วเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นธรรมประเภทไหนเดี๋ยวนี้จะเข้าใจธรรมว่ามีจิต มีเจตสิก มีรูป เพราะฉะนั้นความเห็นถูกต้องเป็นธรรมประเภทไหน

    ผู้ฟัง เจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก เห็นไหมรู้ด้วยตนเอง เข้าใจด้วยตนเอง ลืมไหม ถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่ลืมแน่นอน แต่ถ้าจำลืม ตอนนี้ก็สัญญาเจตสิก เวทนาเจตสิก โลภเจตสิก โทสเจตสิก โมหเจตสิก ปัญญาเจตสิก ๖ แล้ว เหลืออีกเท่าไหร่ ไม่นับก็ได้ ไม่บวกไม่ลบก็ได้ แต่พอได้ยินแล้วให้ทราบว่า เป็นจิตหรือเป็นเจตสิกแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ข้อ ๓ จบ หรือยัง

    ผู้ฟัง ข้อ ๓ ที่ถามว่า สภาวะที่ว่าบรรลุธรรมอย่างที่เขาเขียนไว้ในพระไตรปิฏก ฟังธรรมเสร็จแล้วเกิดการบรรลุธรรม มันมีสภาวธรรมเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ มีอะไรปรากฏให้เห็น มีจริงๆ ใช่ไหม เดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงๆ ในขณะที่เห็นกำลังมีใช่ไหมขณะที่เห็น และเห็นก็มีด้วยขณะนี้ ไม่ใช่การบรรลุธรรม ก็ไม่ได้แยกขาดจากกันที่จะปรากฏทีละหนึ่ง เกิดดับ เพราะฉะนั้นยังไม่ใช่ปัญญาที่เริ่มคลายการยึดถือสภาพธรรมเพราะเป็นเพียงขั้นปริยัติ เป็นขั้นปริยัติคือฟังพระพุทธพจน์ รู้เลยว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ยังต้องรอบรู้มั่นคง ว่าธรรมเป็นธรรมเมื่อไหร่ที่มั่นคงจริงๆ ก็เป็นสัจจญาณ ทั้งหมดยังเป็นขั้นฟัง ขั้นรอบรู้ยังไม่ถึงขั้นปฏิปัตติยังไม่รู้เฉพาะแต่ละหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตาไม่ใช่เป็นเราที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใด แม้รู้อย่างนั้นแล้ว ก็ละคลายความหวังความต้องการทั้งหมดไม่ใช่เราทำเลย มีปัจจัยที่สภาพธรรมใดจะเกิดก็เกิด มีปัจจัยที่จะหลงลืมสติก็หลงลืมสติ มีปัจจัยที่จะสติรู้ลักษณะของสภาพธรรมก็เกิดขึ้น และก็ดับไป จนกว่าจะรอบรู้จนทั่ว สภาพธรรมก็ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นมันเป็นปฏิเวธ ตามลำดับ

    เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นอะไร ที่กำลังเริ่มฟังเนี่ยเป็นอะไร ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจ เป็นปริยัติ ยังไม่ถึงปฏิปัตติถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นยังไม่เป็นปฏิเวธถ้าแน่นอน และถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นปริยัติ ที่เป็นสัจจญาณอย่างมั่นคง ว่าทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าสติจะเกิด ก็เพราะมีปัจจัยที่จะเกิด และเลือกอารมณ์ให้สติก็ไม่ได้สติเกิดแล้วระลึกรู้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ และก็ดับไป ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ ก็จะไม่เห็นความต่างกันของปริยัติ และปฏิบัติ เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ถึงไหนใช่ไหม แล้วอยากถึงไหม

    ผู้ฟัง อยากครับ

    ท่านอาจารย์ อยากคือไม่เข้าใจธรรม ทันทีเลย ทันทีเลย และไม่ใช่หนทางด้วย ต่อให้ใครจะมาบอกยังไงไม่ใช่การค่อยๆ ละความไม่รู้ไม่ใช่การคลายการยึดถือสภาพธรรมไม่ใช่หนทาง เพราะหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนทางของการรู้ และละโดยตลอด ถ้าไม่รู้ละไม่ได้ จะบอกว่าละอะไรละ ไม่รู้อะไรสักอย่างแล้วละได้อย่างไร แต่ถ้ารู้แล้วละความไม่รู้ ความติดข้องต้องการเพราะไม่รู้แต่ถ้ารู้แล้ว นั่นแหละคือหนทางที่จะละความติดข้อง เพราะก่อนนั้นคิดว่าทำได้รู้ได้ อยากรู้อยากเป็นอย่างนั้น อย่างนี้แต่ถ้าฟังแล้วมีความเข้าใจมั่นคงในความเป็นอนัตตาก็รู้ว่า ไม่มีทางเลยที่จะถึงโดยความไม่รู้ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะถึงเมื่อไหร่ เพราะอะไรเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเลยสักอย่าง แล้วจะไปถึงขณะที่เป็นปฏิเวธได้อย่างไร ละความต้องการเพราะรู้ความจริงว่าไม่ใช่ด้วยความต้องการ

    ผู้ฟัง อย่างพระเขาไปปฏิบัติทำอะไรแล้วก็เกิดสภาวธรรม หรือปิติอะไรสักอย่างที่มัน เหมือนกับบรรลุแจ้งอะไร คือจะให้อาจารย์ชี้แจง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่ได้ฟังเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ก็ไม่ต้องฟัง เพราะฟังยังไงก็ไม่เข้าใจอะไร มีแต่หลงเข้าใจผิดคิดว่าทำได้ เพราะฉะนั้นคำใดก็ตามที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจคำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องรู้ทุกครั้งที่ได้ยินไม่ว่าคำไหน คำที่ไม่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจทุกคำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สนทนาธรรมที่ชลพฤกษ์รีสอร์ทจังหวัดนครนายก วันที่ ๒๙ มีนาคมพุทธศักราช๒๕๕๙

    อ. อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ได้กล่าวถึง ความติดข้อง ความเห็นผิด และความไม่รู้นี่ว่ามีโทษมากอย่างไร ที่จะทำให้เสื่อมจากทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ อกุศลทั้งหลายมีโทษทุกวันแต่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังพระธรรมคือคำจริงซึ่งจะทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะขณะนี้ด้วยทุกขณะ น่ากลัวไหม มีโทษแต่ไม่รู้ว่าเป็นโทษจนกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เองเป็นโทษเพราะเหตุว่า เห็นเกิดแล้วก็ดับไม่กลับไปอีกเลย แล้วเห็นทำไม จากไม่มีเลยให้เห็น แล้วก็มีให้เห็น แล้วสิ่งที่เห็นนี่ก็หมดไป แล้วจะเห็นทำไมก็เสียเวลาเกิดขึ้นมาทำกิจหน้าที่ โดยที่ว่าไม่ใช่เราแต่เป็นธรรมทั้งหมด คือเห็นก็เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด เป็นธรรมดา คำว่าธรรมดานี่มาจากคำว่าธรรมกับตา คือความเป็นไปของธรรมให้เปลี่ยนใหม่ได้เลยแล้วก็จริงไหม จากเมื่อวานนี้จะไม่มีวันนี้ก็ไม่ได้จากขณะนี้แล้วจบ ไม่ต้องมีขณะต่อไปก็ไม่ได้เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เป็นคำที่ไตร่ตรองพิจารณาว่า เป็นความจริงซึ่งยากที่จะรู้จริงๆ เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีในขณะนี้เกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ สืบต่อก็ไม่รู้ไม่รู้ทุกอย่างจนกว่าค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น ค่อยๆ รู้ขึ้น ฟังธรรมกันมานาน ก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่าบางคนฟังตอนกลาง ฟังตอนปลาย ฟังตอนต้น ก็ยังต่อกันไม่ได้จนกว่าจะได้ฟังความจริงตั้งแต่ต้น และก็มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังแต่ละคำอย่างมั่นคง เพราะว่าแต่ละคำนี่เป็นคำจริง พูดถึงสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็มีแต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย

    เพราะเหตุว่าความไม่รู้นี่มีมานานแล้วก็มีมากด้วย ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ไปแสวงหาความจริงอื่นแต่ความจริงอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ทุกขณะเห็นเกิดแล้วจริง ไม่รู้ความจริงของเห็น ได้ยินขณะนี้เอง กำลังได้ยิน และก็เสียงก็มีแต่ก็ไม่รู้จักความจริงของทั้งเสียงทั้งได้ยิน จนกว่าจะได้ฟังธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้เลยได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังมีใครรู้ไหมว่าขณะนี้ไม่มีเรา แต่มีเห็น ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็นแต่พอเห็นเกิด เข้าใจว่าเป็นเราเห็น แล้วเห็นก็หมดไปเมื่อวานนี้เห็นอะไรตั้งเยอะแยะใช่ไหมตั้งแต่เช้าจนค่ำจนนอนหมดไม่เหลือเลยวันนี้เห็นไหม แล้วพรุ่งนี้ก็จะไม่มีเห็นเดี๋ยวนี้อีก หรือต่อไปเพียงชั่วขณะสั้นๆ เห็นขณะนี้ก็ไม่มีแล้ว

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเหมือนเป็นสิ่งซึ่งคนที่ไม่ได้สะสมความเข้าใจ และศรัทธาจะไม่เห็นประโยชน์เลย ว่าทำไมพูดถึงเห็นไม่พูดถึงเรื่องอื่นซึ่งมันยากกว่านี้ แต่ความจริงไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งหมดถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แล้วจะมีวิชาอะไร อะไรๆ ก็ต้องไม่มี

    เพราะฉะนั้นความจริงที่มีอยู่ทุกวันนี้ และไม่ใช่ชาตินี้ด้วยต่อไปอีกกี่ชาติก็ไม่พ้นจากเห็นอย่างนี้แหละ ได้ยินอย่างนี้แต่คนละเรื่อง ชาติก่อนนี้เรื่องหนึ่งใช่มั้ย จำไม่ได้เลยชาติก่อนนี้เห็นอะไรบ้างได้ยินอะไรบ้างคิดอะไรบ้าง ชาตินี้เป็นสิ่งที่มีชั่วคราวเพียงขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ก่อนจะถึงชาติหน้าด้วยซ้ำไป แต่พอถึงชาติหน้าจะไม่เหลือเลยสักนิดในความจำของชาตินี้

    เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ว่าแต่ละคนเป็นคนนี้เพียงชั่วชาตินี้ และชาตินี้จะสั้นจะยาวอีกนานสักแค่ไหนไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ อาจจะเพียงแค่เย็นนี้ก็ได้ ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลย นี่เป็นธรรมซึ่งทุกคนรู้ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ และไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่เรานี่ยากแสน ตอนบังคับบัญชาไม่ได้ก็พอจะเข้าใจ ขนะนี้เห็น เห็นแล้ว ไม่ได้มีใครทำให้เกิดเลย ได้ยินก็กำลังได้ยินแล้วก็หมดไปด้วย ทั้งๆ เป็นคำจริงที่ว่า ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน แล้วพอได้ยินเกิดได้ยินแล้วก็ดับไป คำจริงทุกคำนี่แต่ยังไม่ประจักษ์ ว่าความจริงนี้ไม่มีการที่ใครจะเปลี่ยนแปลงได้เลย แล้วเราอยู่ไหน

    ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีการเกิดมาในชาตินี้เลย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะมีเราได้ไหม แต่พอมีแล้วเพราะไม่รู้ ก็เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ยั่งยืน ซึ่งความจริงแม้ขณะนี้ถ้าฟังโดยการเคยเข้าใจ และสะสมมามาก แค่เพียงบอกว่าได้ยินเกิดได้ยินดับ ความเข้าใจนี้ต่างกันแล้วใช่ไหม คนที่ยังไม่ได้ฟังเลยเนี่ยก็เพียงแค่ได้ยินผ่านหูว่าได้ยินเกิด และได้ยินดับไม่เห็นมีอะไร แต่คนที่สะสมมานาน จะสามารถเห็นความไม่ใช่เราขณะที่ได้ยินด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าได้ยินเพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ เราได้ยินตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้นก็เป็นบุญของผู้ที่ได้สะสมศรัทธาความเห็นประโยชน์ ซึ่งรู้ว่าขณะใดก็ตามที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ได้ฟังพระธรรม และเห็นประโยชน์ของการฟังความจริงขณะนั้น เบิกบานแม้กำลังมีทุกข์ ทุกคนนี่เกิดมาแล้วไม่มีใครที่จะพ้นจากทุกข์เลย เกิดมาตั้งแต่เด็กเนี่ยก็ร้องไห้แล้วใช่ไหม แล้วก็หัวเราะบ้างก็สลับกันไปแต่ว่าความจริงก็คือ แล้วไหนล่ะที่หัวเราะเรื่องที่หัวเราะอยูไหน ที่โศกเศร้าเสียใจจนถึงกับร้องไห้เดี๋ยวนี้อยู่ไหน ก็ไม่มีเลยก็หมดไปแล้ว แต่ว่าเพราะไม่รู้ ใช่ไหม มีปัจจัยที่สมควรที่สภาพธรรมใดจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น ใครห้ามอะไรได้ไหม ห้ามลมไม่ให้พัด ห้ามน้ำไม่ให้ไหล ให้จิตไม่เกิดขึ้นเห็น ก็เป็นธรรมดา แล้วก็ฟังอย่างนี้ทุกวันๆ จนกว่าจะรู้ในขณะที่เห็นว่าเห็นเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่ได้ยิน เห็นไหมแค่คำไม่กี่คำ เห็นเกิดขึ้นเห็นไม่ใช่ได้ยิน ใครจะเห็นคุณค่าของการที่ได้ฟังคำนี้แล้วเริ่มเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เราเลยทั้งสองอย่าง และไม่ใช่เฉพาะเห็นกับได้ยินคิดนึก ห้ามคิดก็ไม่ได้ จัดเรื่องจัดราวให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแสดงความเป็นธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้นจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจธรรม ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีทุกข์ แต่ว่าเพราะไม่เข้าใจ ขณะนั้นพ้นจากทุกข์ไม่ได้ ที่ว่าไม่มีทุกข์นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีทุกข์จะเกิดขึ้นเลย มีปัจจัยของทุกข์จะเกิดทุกข์ก็เกิด แต่ปัญญาสามารถเห็นความจริงว่า ทุกข์นั้นไม่ใช่เรา เริ่มออกจากการยึดถือทุกข์ว่าเป็นเรา เพราะว่าถ้ายึดถือทุกข์เป็นเรานี่ ทุกข์จะมากสักแค่ไหน เพราะตลอดเวลาที่ทุกข์เกิดขึ้นก็เป็นไปกับทุกข์ ทุกข์ของเราทุกข์อย่างนั้น ทุกข์อย่างนี้โดยไม่รู้ความจริงว่าทุกข์ไม่ใช่ของใคร ทุกข์มีปัจจัยเกิดขึ้น และทุกข์นั้นก็ดับไป สุขก็เหมือนกันก็ไม่ใช่ของใคร มีปัจจัยที่สุขจะเกิดขึ้นแล้วสุขก็ดับไป ทุกคำเนี่ยไม่เปลี่ยน ฟังเมื่อไหร่ก็ต้องเป็นความจริงเมื่อนั้นเพราะเหตุว่าเป็นความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะถึงความจริงนั้นได้เลยแค่เรากำลังฟัง และเรากำลังคิดว่าเรากำลังเข้าใจแต่ความจริงทั้งหมด เป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั่นคง ก็คือขณะที่เต่ละคำที่ได้ยิน เป็นคำเริ่มต้นซึ่งจะนำไปสู่ความจริงของสิ่งที่ได้ฟังยิ่งขึ้น ตอนนี้ใครจะเข้าใจมั่นคงแค่ไหน ก็เป็นแต่ละคนแต่ว่าจะเข้าใจเมื่อไหร่อย่างไร ไม่พ้นจากการเข้าใจสิ่งที่มีเพราะเกิดขึ้น และก็ดับไป สามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ไหม เพราะกำลังมี แต่ไม่ใช่เรา ถ้าเป็นความไม่รู้เป็นอวิชชาก็เหมือนเดิม ก็รู้ไม่ได้แต่พอเป็นความค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย ก็มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดเเล้วดับเท่านั้นเองไม่มีอย่างอื่น ลองหาอย่างอื่นมาสิ นอกจากนี้มีไหม มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วด้วยไม่มีใครไปทำให้เกิด แล้วเกิดแล้วก็ดับไปแล้วด้วยก็ไม่รู้สักอย่าง

    เพราะฉะนั้นก็อยู่ในโลกของความไม่รู้ ทุกขณะที่ไม่รู้ น่ากลัวไหมทุกขณะที่ไม่รู้แล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร เพราะเหตุว่าหลงผิด เข้าใจผิด ไม่รู้ความจริงก็ยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงว่าเป็นเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้มีความผูกพัน อย่างที่คุณนพดลกล่าวเมื่อวานนี้ จากการที่ได้ฟังธรรมแล้วพอของหายก็เกิดคิดได้ว่า แค่วัตถุซึ่งเป็นรูปยังเสียดายถึงแค่นี้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นยิ่งกว่านั้นเป็นตัวเรานี่แล้วก็จะเสียดายสักแค่ไหนถ้าไม่เป็นอย่างที่คิดว่าจะเป็น บางคนก็อาจจะคิดเสียดาย ชาตินี้เราเป็นอย่างนี้ชาติหน้าเราจะเป็นอย่างไร ก็ชาติก่อนเราเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ แต่ชาตินี้เราก็เป็นอย่างนี้ และชาติหน้าเราจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ แต่รู้ว่าชาตินี้เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติจำไม่ได้เลย รู้ไม่ได้เลยแต่พระโพธิสัตว์ พระสัมมาสัมเจ้าทรงแสดงชาดกก่อนที่จะได้ตรัสรู้ เกิดแล้วไม่เคยพ้นจากสภาพธรรมอย่างนี้เลย เหมือนอย่างนี้แต่ว่าเรื่องราวเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็มี เกิดเป็นคนยากจนคนจัณฑาลไม่มีบ้านจะอยู่ ก็มี มีทุกอย่างเกิดเป็นสัตว์ก็มี เป็นพญานาคเป็นอะไรก็แล้วแต่ ใครจะอยากเป็นอย่างนั้นแต่เป็นแล้ว เพราะอะไรไม่มีใครทำให้เลยนอกจากการกระทำของแต่ละคนในแต่ละชาติ ซึ่งไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว สะสมมานานมาก ไม่มีใครสามารถที่จะไปหยั่งรู้ได้ว่าชาติก่อนๆ สะสมอะไรมา แต่ชาตินี้รู้ชัด พอถึงชาติหน้าคิดอีกแล้วชาติก่อนเป็นอะไรก็เดี๋ยวนี้ไง กำลังนั่งอยู่ตรงนี้แหละอย่างนี้เลยชัดเจนกว่า แต่พอถึงชาติหน้าจะไม่รู้เลย แม้เพียงจะคิดถึงยังคิดไม่ออกเลย ว่าเคยอยู่ที่ไหน วันไหนทำอะไรมาบ้าง แล้วก็ชาติก่อนก็คงเหมือนชาตินี้ ก็เกิดสงสัยว่าเอ๊ะชาติหน้าเราจะเป็นอะไร ชาติก่อนก็เป็นอย่างนี้ ซึ่งก่อนจะถึงชาตินี้ชาติก่อนไม่รู้เลยว่าจะมีอย่างนี้เป็นอย่างนี้ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไป หมดไป มีใครไม่ตายบ้างไหม มีไหม เกิดเเล้วขณะนี้ ทุกคนก็คิดว่าต้องจากโลกนี้ไป แล้วลองคิดดูเกิดมาทำไมในเมื่อต้องจากไปไม่เหลืออะไรเลย เวลาที่จากไปแต่ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมได้เลย เพียงคำแค่นี้กว่าจะถึงใจที่มั่นคงที่เป็นสัจจญาณ ไม่มีอะไรนอกจากธรรมซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ พูดแล้วยากที่จะรู้ได้ ว่าเราก็นั่งอย่างนี้เราก็อยู่ตรงนี้แล้วก็มีสิ่งต่างๆ ในห้องนี้ แล้วจะบอกว่าไม่มีเรา แล้วก็ไม่มีของเราเลยพูดไปเถอะสำหรับคนที่สะสมมา ไม่ใช่เรานะนี่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งนะ แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วย และสภาพธรรมนี้ก็เกิดโดยที่ว่าไม่มีใครไปบังคับบัญชา หรือไปทำให้เกิดได้ เกิดแล้วก็ต้องดับไปด้วยพูดไปเถอะ แล้วก็ฟังไปเถอะ แล้วเมื่อไหร่จะค่อยๆ เข้าถึงความจริงซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบอกเราได้แต่ละคำ ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นอะไรล่ะ ทางตาก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ถ้าจิตเห็นไม่เกิดสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ไม่มีเลย จะเป็นต้นไม้ จะเป็นคน จะเป็นห้อง จะเป็นอะไรไม่มี แต่เพราะเหตุว่าเห็นเกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยให้จำได้ในรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่กำลังปรากฏหลากหลายมาก ลืมว่าขณะนี้แท้ที่จริงแล้วต้องไม่มีอะไรเลยนอกจากจิตเจตสิก เกิดขึ้นในขณะที่เห็นไม่มีได้ยินแล้วเราอยู่ไหน ไม่มีการรู้อ่อนรู้แข็ง ไม่มีการคิดนึกแล้วเราอยู่ไหน มีแต่เห็นซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งกว่านี้มาก เพราะเหตุว่านี่เป็นเพียงไม่กี่คำแต่เป็นคำจริงทุกคำ ซึ่งไม่เปลี่ยนต้องเป็นอย่างนี้แหละ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    22 ก.ค. 2567