ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954


    ตอนที่ ๙๕๔

    สนทนาธรรมที่ สวนปาล์มฟาร์มนก จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เช่นกล่าวถึงเห็นต้องกำลังเห็น กล่าวถึงได้ยินไม่ใช่เห็นกับได้ยินนะคะ แต่ต้องกำลังได้ยินเฉพาะตรงนั้น นี่ก็คือว่าพระมหากรุณานะคะ ทรงแสดงโดยประการทั้งปวง ไม่ให้ใครเข้าใจผิดว่า ธรรมง่าย รู้ง่าย ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องรู้ปริยัติเลย ไม่ต้องรอบรู้เลย ไม่ต้องทรงธรรมเลย ไม่ต้องแทงตลอดเลย ไปเข้าห้องที่ไหนก็ได้ แล้วก็นั่งสักครู่หนึ่ง เดินไปเดินมา รู้อะไรบ้าง ก็ไม่รู้อะไรเลย อยู่ไปเป็นเดือนเป็นปี ก็ไม่รู้อะไร แต่ก็เข้าใจว่าประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ถึงความเป็นพระอริยะบุคคล เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ตรงค่ะ จึงจะได้สาระจากพระธรรม คุ้นเคยกับสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือยังคะ ได้ยินแต่เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทันที่ที่เห็นเลย เห็นไหมคะ ว่าความจำที่สะสมมาที่จะผิด สัญญาวิปลาสคลาดเคลื่อน จากความเป็นจริงเนี่ย มีมานานเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจะต้องฟังอีกนานเท่าไร กว่าจะคุ้นเคยเหมือนคุ้นเคยกับคนที่เรารู้จัก กว่าจะคุ้นเคยพบบ่อยบ่อย

    เพราะฉะนั้นอุปนิสสยโคจร ต้องความรู้ในเรื่องสิ่งที่ปรากฏที่เป็นอารมณ์ จนกระทั่งเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง อุปแปลว่ามีกำลังนะคะ นิสสยะแปลว่าที่อาศัย เพราะฉะนั้นอารมณ์เนี้ย อย่างเนี้ย ปัจจุบันอย่างเนี้ย เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง ให้ปัญญาเกิดขึ้นรู้ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    อ.นภัทร เหมือนจะคิดจากคำที่เคยได้ฟังว่า เสียงเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม อันนี้คือคิด แต่ไม่ได้รู้ตรงลักษณะของเสียง ที่กำลังปรากฏกับ สภาพที่รู้เสียงที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เสียงเป็นรูป ใครไม่รู้บ้างว่า เสียงเป็นเสียง และเสียงไม่รู้อะไร ก็รู้แค่นั้น ไม่เห็นต้องอาศัยคำของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจถูกต้องว่าเสียง เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่มีใครสามารถจะทำให้เสียงเกิดขึ้นได้เลย กำลังพูดเนี่ย ถ้าไม่คิดพูดได้มั้ย

    อ.นภัทร ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตพูดได้ไหม

    อ.นภัทร ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็เห็นอยู่แล้วว่าทุกอย่างไม่อยู่ใน อำนาจบังคับบัญชา แต่หลงอยู่ในความไม่รู้ มานานแสนนาน หลงป่าหาทางออกไม่ได้ แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมนะคะ จึงมีผู้ที่ได้ฟัง และเข้าใจ อุปมาคำที่ได้ฟัง และเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมนะคะ เหมือนหงายของที่คว่ำ อะไรที่คว่ำอยู่ รู้ไหมว่าข้างในมีอะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ปรากฏ ผิวเผินภายนอกเนี่ย เป็นคนนั้นคนนี้ ไม่ได้รู้เลย ว่าเพราะจิตเกิดขึ้นรู้ และคิด และจำ เป็นเรื่องราวต่างๆ ก็เพราะจิตเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ ถ้าไม่มีก็อะไรก็ไม่ปรากฏ

    อ.นภัทร อย่างที่ท่านอาจารย์บอกว่า ฟังจนกว่าจะไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่เรา เข้าใจว่าไม่ใช่เรา จนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏ

    อ.นภัทร ด้วยความไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่สติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฏฐานเริ่มเกิด และก็บ่อยๆ เนืองๆ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยรอ บังคับบัญชาไม่ได้ นั่นคือเพิ่มกิเลส เพิ่มความหวัง แต่ฟังแล้ว แล้วแต่ปัจจัย ละความหวัง ไม่ใช่เราจะทำ

    อ.นภัทร อย่างเห็นเนี่ย ถ้าไม่มีจักขุปสาทรูป แล้วไม่มีรูปที่กระทบ ก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ ถ้าการที่เวลาสภาพธรรมปรากฏแล้ว มีการคิดอย่างนั้น ว่าที่เห็นอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นที่เกิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าสภาพธรรมปรากฏ สภาพคิดซึ่งเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ต้องปรากฏ

    อ.นภัทร ถ้าสภาพธรรมปรากฏ สภาพคิดก็

    ท่านอาจารย์ สภาพคิดอย่างนั้นก็ต้องปรากฏ โดยความเป็นธรรมไม่ใช่เรา ทุกอย่างขณะนั้น ต้องเป็นธรรมแต่ละ ๑

    อ.นภัทร แล้วการที่พิจารณาว่าที่เห็นนี้เกิดได้ เพราะเหตุปัจจัยเนี่ย อันนั้นจะไม่ใช่เราอย่างไรครับอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความรู้มี ๓ ขั้นนี่คะ ความรู้ขั้นปริยัติละอะไรไม่ได้ แค่ฟัง สะสมความเข้าใจจากการฟัง จนกว่าสติสัมปชัญญะเกิดโดยความเป็นอนัตตา ค่อยๆ แสดงความไม่ใช่เราไปตลอดทาง เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความต่างนะคะ ของปริญัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ นี้คือธรรมรัตนะ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ไม่ใช่ ไม่สามารถที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยะสัจจธรรมได้

    อ.นภัทร เมื่อฟังแล้วเนี่ย ย่อมแน่นอน ก็จะต้องคิดในสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คิดก็ยังไม่ใช่การรู้เฉพาะ ลักษณะของสภาพธรรมที่คิด

    อ.นภัทร ว่าไม่ใช่เราอีก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเวลานี้นะคะ ธรรมไม่ได้ปรากฏ มืดสนิท แสงสลัวมีมั้ย พอที่จะให้ค่อยๆ เห็นรางราง ต้องแสงระดับไหน ถึงจะสามารถทำให้อวิชชา ซึ่งมีมากเนี่ยค่อยๆ จางลง

    สนทนาธรรมที่ โรงแรมแอตต้ารีสอร์ท เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา

    วันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ อยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ ในลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นโสภณเจตสิกค่ะ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ นะคะ เวลาพูดถึงธรรมเนี่ย เราไม่รู้นะคะ ว่าพูดถึงสิ่งที่อยู่ในความมืด ไม่ปรากฏเลย อย่างคำว่าเจตสิก คนจะไม่ค่อยได้ยินคำว่าเจตสิก เพราะว่าเขาไม่รู้ แม้แต่จิตเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ ทั้งหมดอยู่ในความมืด และเราก็จะมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อที่จะค่อยๆ ส่องไปถึงสิ่งที่มี และมืดสนิทไม่รู้เลย พูดถึงจิตเวลานี้จิตก็ไม่ปรากฏ แต่ทุกคนเพียงรู้ว่ามีจิต เพราะฉะนั้นเรายังไม่ไปถึงอะไรทั้งหมดที่อยู่ในความมืด เหมือนของที่อยู่ในมหาสมุทร อยู่ข้างใต้เยอะมากเลย แล้วเราจะไปพูดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ยังไม่ได้ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นที่จะปรากฏ ไม่ปรากฏกับเรา แต่ปรากฏกับความเข้าใจ เพราะฉะนั้นที่สำคัญของการฟังธรรม ก็คือว่ารู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเนี่ย ไม่เคยเปิดเผยเลย และสิ่งที่ปรากฏเนี่ยเกิดดับสืบต่อ จนเหมือนกับว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน เที่ยง เป็นโต๊ะ เป็นคนใช่ไหมคะ แต่ลักษณะจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมนี่ค่ะ ต้องรู้ว่าเราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้คำนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ พอฟังแล้วเข้าใจได้เลยทันที แต่ว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มี แต่ไม่เคยรู้มาก่อน ให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น เพราะฉะนั้นจิตรู้หรือยัง และเจตสิกแต่ละหนึ่ง ก็ไม่ได้ปรากฏเลย เดี๋ยวนี้นะคะ ทั้งจิต และเจตสิตกำลังเกิดดับ สืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ สิ่งที่ดับแล้วหมดแล้ว แล้วเราจะไปรู้สิ่งที่หมดไปแล้วได้ไหม แต่ก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันทีนะคะ แน่นขนัดเต็มไปหมดเลย ทำให้สามารถที่จะเพียงรู้สิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่การเกิดดับ ของสภาพธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งกำลังเกิดดับอยู่ในขณะนี้ เพียงแต่ปรากฏว่าขณะนี้นะคะ มีคนนั่งอยู่ที่นี่ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ แต่ว่าความจริงนะคะ จากการที่ทรงตรัสรู้นี่ค่ะ สิ่งที่ปรากฏขณะนี้นะคะ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นเรากำลังฟังคำ ซึ่งยากแสนยากที่จะได้ยินนะคะ แล้วก็ยากแสนยากที่จะสามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ ถ้าไม่เริ่มเข้าใจขึ้นว่า ขณะนี้แค่สิ่งที่ปรากฏทั้งหมดเนี่ย แท้ที่จริงแล้วก็เป็น สิ่งที่เกิดดับสืบต่อนะคะ จนเหมือนกับเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ทำให้จำไว้ เป็นคนเป็นสัตว์มานานแสนนาน ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงนะคะ ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นปรากฏเลย ก็จะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ปรากฏไม่ปรากฏทีละหนึ่ง ปรากฏรวมกันเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างคนหนึ่งเนี่ย มีทั้งคิ้ว มีทั้งตา มีทั้งผม มีทั้งจมูก มีทั้งปาก แต่ความจริงกว่าจะปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานได้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่แต่ละ ๑ ซึ่งเกิดดับเร็ว ทำให้ปรากฏเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ไม่เคยรู้ว่าสิ่งนี้ค่ะ เกิดแล้วดับแล้ว เกิดแล้วดับแล้ว อยู่ตลอดเวลา ก็เลยจำไว้ตลอดชีวิตของเรา ถ้าไม่ฟังพระธรรมเลย ก็จะไม่ได้ยินคำว่า ขณะนี้สิ่งที่มีนี่ค่ะ เกิดปรากฏจริง แต่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้นกว่าจะไปรู้ เจตสิกนั้นเป็นยังไง เจตสิกนี้เป็นยังไงนะคะ ก็คือว่าการที่เราไม่ได้เข้าใจว่าแท้ที่จริงเนี่ย เราศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ซึ่งจะไม่ผิดเลย ว่าเราไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีนะคะ แต่จากการฟังนี่ก็ไม่ใช่ใครไปขวนขวายทำอะไรทั้งสิ้น เพราะเราจะไปรู้ได้ยังไง ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่มีคำถาม เรื่องเจตสิกนั้นเจตสิกนี้นะคะ แม้แต่จิตเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ปรากฏ และเจตสิกก็เกิดรวมกันอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท และอันไหนล่ะคะที่จะรู้เกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก เพราะฉะนั้นการฟังเนี่ยเพื่อเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งซึ่งลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืน นานแสนนาน เราจึงได้มีความติดข้องว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ พอใจในสิ่งที่ปรากฏทั้งหมดเลยนะคะ เสื้อสวยๆ กระโปรงสวยๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง โต๊ะเก้าอี้สวยๆ ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้ว เห็นมี สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงมีได้ และสิ่งที่มีเนี่ยถ้าไม่เกิด เขาไม่สามารถกระทบตา ฟังเห็นสิ่งที่ปรากฎแล้งดับ ฟังให้เข้าใจอย่างนี้อ่ะค่ะ ไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่นเลย จนกระทั่งเป็นความมั่นคง จนกระทั่งมีความเข้าใจขึ้น ไม่ต้องไปคำนึงถึงเจตสิกอะไร ที่เราอยากจะรู้ มีความเป็นเรา และก็มีความยาก และคิดว่าถ้ารู้แล้วจะดี แต่ความจริงขณะนี้นะคะ จริงจริงแล้วก็คือว่าให้มีความเข้าใจมั่นคงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละ ๑ เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตากำลังมี ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจะฟังกี่ครั้งก็ตาม ร้อยครั้ง พันครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้ง กี่โกฏกัปป์ก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ประจักษ์ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประจักษ์แจ้ง ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นโต๊ะเก้าอี้ไม่เห็น แข็งอ่อนไม่เห็น แต่นี่เป็นธาตุชนิดหนึ่งไม่บมีรูปร่างเลยค่ะ เพียงเกิดขึ้นเห็นเดี๋ยวนี้แล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีอะไรในสังสารวัฏฏ์ ที่เกิดแล้วดับไปจะกลับมาอีกได้

    นี่ค่ะฟังให้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะว่าไม่ว่าจะพูดถึงอะไรก็ตามนะคะ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่เราต้องรู้ว่ากำลังปรากฏ แล้วเจตสิกอะไรคะที่กำลังเกิดกับจิตที่เห็น เห็นไหมคะ ก็เป็นเรื่องราวของธรรม ทำไมทรงแสดง เพราะว่ารู้ว่า กว่าจะรู้ความจริงของเห็นเนี่ยแสนยาก เพราะเราคิดถึงเรื่องอื่น ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ไม่เคยคิดถึงเห็นที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นกว่าจะให้สามารถ ที่จะค่อยๆ เข้าใจเห็นจริงๆ ที่กำลังเห็นนะคะ ก็จะต้องอาศัยพระธรรมมากมาย ๔๕ พรรษา เพราะรู้ว่าแต่ละจิตที่สะสมมานี่ค่ะ สะสมความไม่รู้มานานแสนนาน และก็สะสมอกุศลมามากมาย ทั้งความติดข้อง ทั้งความต้องการ ทั้งโลภะ โทสะ ทุกอย่างหมดไม่ว่ากุศล และอกุศลอยู่ในจิต ๑ ขณะซึ่งเกิด และก็ดับ และก็สืบต่อกันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงหลากหลายเป็นแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นเวลานี้ค่ะ ถ้าจะไปพูดถึงเจตสิกนะคะ ก็ได้ แต่พูดแล้วประโยชน์อยู่ตรงไหน ประโยชน์ก็คือว่า เราฟังเราสามารถที่จะเข้าใจชื่อ แต่ตัวจริงทั้งหมดเลยค่ะเกิดดับเวลานี้ ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ ความเข้าใจก็เกิดพร้อมเจตสิกอื่น ใช่ไหมคะ และถ้าไม่มีเจตสิกที่เป็นฝ่ายดี ๑๙ ประเภทเกิดพร้อมกัน จิตจะเป็นธรรมที่ดีไม่ได้ เพราะว่าสะสมความไม่ดีมามาก ความไม่ดีนี่ไม่ต้องไปสะสม ก็สะสมเอง ไม่ต้องมีใครต้องการ ไปสะสมความไม่ดีนะคะ แต่ความไม่ดีก็ห้ามไม่ได้ เกิดแล้วสะสมอยู่ในจิตตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อให้เห็นความจริง ซึ่งต่างกันมากระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้กับคนที่เพิ่งฟัง เราไม่รู้เลยค่ะ ว่าฟังขณะนี้นะคะ เป็นชาติที่เท่าไร หรือว่าเป็นกัปป์ที่เท่าไหร่ หรือว่าแบบเป็นการเริ่มต้นของการได้ยินได้ฟัง แต่ให้รู้ว่าโอกาสที่จะได้ฟังนะคะ ไม่ใช่สำหรับทุกคน ถ้าไม่มีการสะสมมาเลยนะคะ ได้ยินทุกวันก็ไม่สนใจ สักวัน สักคำก็ไม่สนใจ อย่างคุณเบนเป็นต้นในกาลก่อน ใช่มั้ยคะ คุณปริญญาก็เปิดธรรม ค่ะ แต่คุณเบนยังไม่สนใจ จนกว่าถึงเวลา ไม่มีใครไปบังคับ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเนี่ย แสดงความเป็นสิ่งซึ่งเกิดเพราะปัจจัย เวลานี้มีปัจจัยทั้งกุศล และอกุศล แต่เราก็ไม่รู้ว่าขณะนี้อะไรจะเกิดขึ้น กุศลเกิดก็ได้ อกุศลเกิดก็ได้ อกุศลเกิดแล้วก็ดับไป กุศลเกิดต่อก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปสร้าง บังคับให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้ ฟังอย่างเงี้ยค่ะ แล้วก็เวลาที่ได้ยินข้อความอื่นนะคะ ไม่ว่าจะเป็นในพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ทั้งหมดเพื่อเข้าใจ เข้าใจเพื่อละ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเจาะจงไปอยากจะรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้นะคะ ก็คือว่ามีความเป็นเรา ทำไมเจาะจงที่จะรู้สิ่งนั้น เจตสิกมีตั้งเยอะ ทำไมจะเจาะจงรู้กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ กายปาคุญญตาหรืออะไรพวกเนี้ย ชื่อทำให้เราสนใจ แค่เสียงก็ล่อละ ทั้งหมดเป็นเครื่องล่อค่ะ สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ใช้คำว่าอามิสสะ หมายความว่าเป็นเครื่องล่อ อยู่ดีๆ นะคะ เกิดขึ้นไม่รู้อะไรเลย ตัวเค้า ดับ แต่คนอื่นโลภะติดข้องในสิ่งนั้น เพราะว่าใครจะยับยั้งธรรม สักอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ ยิ่งเข้าใจก็ยิ่งห่าง ยิ่งเห็นความเป็นอนัตตามากขึ้น ทุกอย่างเลยใช่ไหมคะ เมื่อไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเพียงแค่ปรากฏแสนสั้น และดับไปแล้วไม่กลับมาอีก แต่ปรากฎสืบต่อ จนกระทั่งเหมือน สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงนะคะ เพราะไม่รู้จึงมีความพอใจในสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่ชอบ ทุกอย่างหมดเลยค่ะ เป็นธรรมทั้งหมดแต่ละ ๑

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนะคะ ไม่เลือก เพราะบางคนอาจจะบอกว่า ชอบฟังพระสูตร ดูเหมือนเป็นเรื่องเป็นราวง่ายดี บางคนก็บอกว่า ชอบฟังพระอภิธรรมนะคะ เพราะว่าเป็นตัวสภาพธรรม บางคนก็บอกไม่ชอบฟังพระวินัย แต่เขาไม่รู้เลยค่ะ ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ ไม่เว้นคำที่จะทำให้คนเนี่ย ได้เห็นประโยชน์จริงๆ ว่ามีมากมายสักแค่ไหน เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงพระวินัยนะคะ เดี๋ยวนี้ก็เป็นวินัย เพราะเหตุว่ามีกิเลส แล้วก็มีการที่จะประพฤติเป็นไปตามกิเลส และกิเลสปรากฏมั้ยล่ะคะเดี๋ยวนี้ มีก็ไม่ปรากฏเลย แค่ยกมือขึ้นมานิดนึง ก็กิเลสแล้ว เห็นไหมคะ แล้วจะปรากฏยังไง หันหน้าไปทางซ้ายนิดนึงก็กิเลสแล้ว เพราะฉะนั้นกิเลสไม่ได้ปรากฏแม้มี เพราะฉะนั้นพระวินัยเนี่ย ก็จะแสดงให้เห็นถึง ความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ของอกุศล ซึ่งมีในใจซึ่งเป็นปกติ แล้วก็มีการที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร เพราะฉะนั้นจึงทรงบัญญัติ ให้เห็นความละเอียด ว่าอกุศลมากมายมหาศาลค่ะ ไม่ต้องไปคิดที่จะรู้โน่นละนี่นะคะ แต่ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังไม่ว่าฟังอะไรก็ตาม พระวินัยก็ได้ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องนะคะ เพราะเป็นเรื่องอกุศลเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นชีวิตที่ต่างกัน ของบรรพชิต และคฤหัสถ์นี่ค่ะ ก็แสดงว่าผู้ที่เห็นโทษของกิเลส แม้เพียงเล็กน้อยอย่างนี้นะคะ จึงเห็นประโยชน์ที่จะละอาคารบ้านเรือน แล้วก็ฟังธรรม อบรมเจริญปัญญา ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะกิเลสในชาตินี้ขัดไม่หมดแน่ ใช่มั้ยคะจะขัดได้เท่าไรก็แล้วแต่ว่า มีความเข้าใจธรรมเท่าไหร่ เพราะไม่มีใครที่เป็นตัวตน จะไปขัดเอง แต่ว่าความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยนะคะ เพื่อที่จะรู้ว่าไม่มีเรา แต่ว่าถ้าเป็นตัวเราทั้งหมดเลย อย่างคนที่ฟังพระสูตร หรืออ่านพระสูตร โดยไม่รู้เรื่องพระอภิธรรมเลยสักนิดนะคะ ก็ต้องเป็นสัตว์ บุคคลหมด ละชั่วก็ต้องเป็นเรา แต่พอเป็นธรรม อะไรละ ไม่มีใครนี่คะ นอกจากธรรมที่เป็นฝ่ายดีที่เป็นกุศล

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องที่ฟังไปตลอดชีวิตนะคะ โดยความเป็นปกติ และก็รู้ว่าถ้ามีความอยากสักนิด ก็คือว่าขณะนั้นก็คือว่ากั้น ไม่ให้เรารู้ความเป็นปกติ ที่ขณะนั้นเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เป็นเรื่องที่ละเอียดมากๆ เลยค่ะ เพราะเหตุว่าอกุศลมีมากมาย และก็กว่าจะเข้าใจ จุดประสงค์ของการฟัง ทั้งชาติเนี่ย ไม่ต้องเป็นอย่างอื่นเลย นอกจากสิ่งหนึ่งสิ่งใด กำลังเป็นปกติเพราะเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้อะไรเกิดขึ้นมาได้เลยสักอย่าง รู้อย่างนี้สิคะ แล้วค่อยๆ เข้าใจธรรมตามลำดับขั้น แล้วจะรู้ว่าขณะไหนโลภะเกิดก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ใช่ไหมคะ เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องไม่รู้ไปมากๆ เลยค่ะ จนกระทั่งได้ฟังธรรมเมื่อไร ขณะนั้นก็เริ่มเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย สะสมไป เพราะว่าถ้าไม่มีการฟังเลย ไม่มีการเข้าใจเลย จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่เห็นประโยชน์ ของการที่จะเข้าใจ คิดว่าต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้นะคะ ซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่เข้าใจ ทำด้วยความเป็นตัวตน เรียนด้วยความเป็นตัวตนทั้งหมด ก็ไม่เข้าใจคำที่พระองค์ตรัส ว่าพระธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาจริงๆ แต่ละ ๑ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป รู้แค่ไหนก็แค่นั้นนะคะ ถ้าขวนขวายอีกก็เป็นเราอีก ผิดอีก เพราะฉะนั้นเรื่องผิด เพราะกิเลสมีมาก ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ค่ะ แล้วก็เห็นโทษแล้วก็มีปัญญาทัน ที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล เดี๋ยวนี้ก็เป็นแล้ว เพราะฉะนั้นการฟังธรรม และเข้าใจนี่นะคะ ท่ามกลางอกุศล แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย และการอบรมเจริญปัญญานี่ค่ะ ท่ามกลางอกุศลจริงๆ เพราะเป็นปกติจริงๆ แต่การที่มีการอบรมเจริญขึ้น ทีละเล็กทีละน้อยนะคะ วันนึงก็สามารถที่จะเข้าใจได้ชัดเจน ค่ะ

    ผู้ฟัง ค่ะขอบพระคุณ ท่านอาจารย์คะ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าคุณธิดาอาจจะฟังชื่อ สนใจ คำนี้หมายความว่าอะไรใช่ไหมคะ แต่เป็นเพียงชื่อ แต่ทุกอย่างเนี่ย เหมือนอยู่ใต้มหาสมุทร ยังไม่มีปัญญาที่จะส่องลงไปถึงแต่ละ ๑

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะบางครั้ง เราจะรู้สึกลักษณะจิตที่เป็นกุศลหรืออกุศล ตอนนี้เนี่ยถ้าเผื่อว่าตอนที่เป็นอกุศล ก็อย่างที่ศึกษามาก็จะรู้ว่า สภาวะอ่อนคือยังไง ต้องเป็นลักษณะที่อ่อนน้อมถ่อมตน หรืออะไรอย่างเงี้ยค่ะ ก็เลยมาถึงลักษณะตรงนี้เนี่ย มันจะเป็นยังไง

    ท่านอาจารย์ และก็เป็นธรรมแต่ละ ๑ เห็นไหมคะ ที่ลืมไม่ได้เลย คือทุกอย่างเป็นธรรม แล้วแต่ละ ๑ เนี่ยวิจิตรพิศดาร ชนิดซึ่งไม่รู้เลยว่าขณะต่อไปจะเป็นยังไง แต่มีปัจจัยเกิดก็เกิด เป็นอย่างนั้นเท่านั้นเองค่ะ เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ ของการฟังทั้งหมดนะคะ เพื่อรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา แล้วก็มีลักษณะเฉพาะแต่ละ ๑ ของธรรมชั่วคราว เพราะฉะนั้นจะไปแสวงหาอีกทำไม ในเมื่อหมดแล้ว แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ต่างหาก ที่ฟังแล้วมีความเข้าใจนะคะ ว่าเรารู้แค่ไหน แค่ไหนนี่ไม่ต้องไปเปรียบเลยค่ะ เพราะว่าถ้าเราออกไปนอกโลกนะคะ เห็นดวงดาวเยอะแยะ โลกที่เราอยู่เนี่ยเล็กมั้ย เล็กใช่ไหมฮะ และในโลกอย่างเงี้ย เราคิดว่าใหญ่มากเลย แล้วแต่ละ ๑ เนี่ย จะเป็นไรยิ่งกว่าผง และในนั้นก็มีจิต มีเจตสิก มีความคิด มีอะไรทั้งหมด ก็เป็นธรรม เหมือนดวงดาวเหมือนอะไรอะไร แต่เป็นธาตุต่างๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ คนที่ฟังจึงเป็นสาวก แค่ฟัง แต่จะรู้อย่างพระองค์ที่ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเนี่ย เป็นไปไม่ได้ พระธรรมที่ทรงแสดงเนี่ย ทรงอุปมาเหมือนใบไม้สองสามใบในกำมือ แต่พระญาณที่ทรงตรัสรู้เนี่ย เหมือนใบไม้ในป่า เพราะฉะนั้นเราไม่คิดว่าเราจะต้องไปทำ อะไรเอง คิดเอง นั่นเองนะคะ ปฏิบัติเองก็ไม่ได้ ฟังแล้วก็เข้าใจ และปัญญาที่เข้าใจนี่ก็ไม่ใช่เราก็เป็นธาตุ หรือธรรมอย่าง ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปถามใคร ว่าเข้าใจเท่าไหร่ ก็สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แหละไม่ใช่เราเลยสักอย่าง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567