ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๑๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

    วันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ชื่อ อริยสัจธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ยังไม่ทันรู้ว่าอะไรก็อยากจะรู้อริยสัจธรรม

    อ.วิชัย อันนี้ก็ติดแล้วครับ

    ท่านอาจารย์ นิพพาน อยากถึงนิพพาน บางคนก็ว่าอยากไปนิพพาน เพราะคิดว่านิพพานเป็นสถานที่ที่สวยงาม มีความสุข มีความเพลิดเพลินมาก แต่ก็ไม่รู้ว่านิพพานคืออะไร ก็ติดแค่ชื่อก็นำมาซึ่งความติดข้อง โดยไม่เข้าใจความจริง

    อ.วิชัย ดังนั้นการรู้ได้ก็คือต้องมีความรู้ความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นว่า ขณะนั้นเป็นการที่จำชื่อหรือว่าคำ หรือว่าการเริ่มเข้าใจสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะแม้แต่ชื่อ ก็จำผิด เข้าใจผิดได้ อยากไปนิพพานเงี้ยค่ะ ผิดหรือถูก อยากถึงนิพพาน อยากไม่สามารถจะถึงได้ แต่ก็อยากถึงนิพพาน ก็ไม่ได้มีความเข้าใจในนิพพานว่าไม่ใช่ถึงด้วยอยาก ใครๆ ก็อยากถึงนิพพาน แต่ต้องรู้ว่านิพพานคืออะไร ติดในปัญญาไหมคะ ในคำว่าปัญญา อยากมีปัญญา ได้ยินคำว่าปัญญาก็อยากมีได้ ก็ฟังธรรมเข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะเป็นปัญญาได้ยังไง เพราะฉะนั้นอยากมีได้ยังไง เพียงแค่อยากมี แต่รู้ว่าปัญญารู้อะไร ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ขออนุญาตกราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์เพิ่มเติมในเรื่องของติดในชื่อ ท่านอาจารย์ครับ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ในการที่มีโอกาสได้ฟังธรรมแน่นอนก็คือ จะต้องได้ยินคำได้ยินชื่อต่างๆ ที่กล่าวถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมครับ ทีนี้ถ้าจะเป็นการศึกษา เป็นการฟัง เพื่อไม่ใช่การติดในชื่อ จะเป็นอย่างไรครับ เพราะว่าตั้งแต่ต้นมานี้ครับ ท่านประธานชมรมพุทธศาสตร์ ท่านก็ยกชื่อของธรรมก็คือคำว่า เจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ที่จะไม่เป็นการติดในชื่อ คืออย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่ได้ยินคำว่า เจตสิก ก็ติดแล้ว รู้รึเปล่าคะว่าติด คือคิดถึงก็ติดแล้ว

    อ.คำปั่น เป็นเรื่องที่รวดเร็วมากเลยครับ ถ้าพูดถึงความติดข้อง ที่นี้แต่หากว่าเป็นการที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลจริงๆ แม้จะได้ยินชื่อของธรรมแต่ละชื่ออย่าง เช่นเจตสิกที่จะไม่เป็นการติดนี่ครับ คืออย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่ามีจริงๆ และก็ไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุดรู้ในความเข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงนะคะ ไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะติดมั้ย

    อ.คำปั่น ครับจึงต้องฟังพระธรรมบ่อยๆ จริงๆ ครับ เพราะว่าสิ่งที่มีจริงนี่ก็มีจริงอยู่ทุกขณะ แต่ไม่รู้จริงๆ ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ลืมนะคะ เราเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ห่างไกลกันมากค่ะ ที่จะเข้าใจแม้แต่คำแต่ละคำของพระองค์ ต้องเป็นการเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นแล้วก็ติด ที่สำคัญนะคะ ฟังธรรมแล้ว ไม่ใช่ถามคนอื่นว่าถูกไหม หมายความว่าไม่เข้าใจเลย ถ้าถามอย่างนั้นนะคะ ต้องมีความมั่นคง ถ้าไม่เข้าใจฟังอีก พิจารณาอีก จนกระทั่งรู้ว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า สิ่งที่ถูกต้อง ถูกค่ะ และสิ่งที่ผิดก็ต้องผิดด้วย แต่ไม่ใช่ไปถามคนอื่น ถ้าเขาบอกว่าผิด ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นถูกจะว่ายังไง เพราะฉะนั้นถามใครก็ไม่ได้นะคะ เพราะจะรู้ได้ยังไงว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า แต่ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วทุกคำ สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่พูดตาม คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว ให้เข้าใจขึ้น จะถูกมั้ย ถามอย่างนี้ได้ไหมคะ ค่ะ ก็ต้องมีความมั่นใจด้วยตัวเอง

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ พูดถึงว่า หมอสามารถรักษาโรคทางกายได้ ส่วนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารักษาโรคทางใจ คำถามก็คือขอความกรุณา ท่านอาจารย์ ได้โปรดอธิบายคำว่า โรคทางกายกับโรคทางใจ ที่ละเอียดขึ้นนะครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะโรคทางกายนี้ก็ ตั้งแต่เกิดมาคงเป็นงั้นทุกคนนะคะ เมื่อมีกายก็มีโรคที่กาย บาดเจ็บบ้าง ปวดหัวบ้าง ท้องเสียบ้าง ถ้าไม่มีกายก็จะไม่มีโรคเหล่านี้เลย เพราะฉะนั้นโรคร่างกายนี้ ก็คุณหมอก็รู้ดีนะคะ เพราะว่าศึกษามาที่จะรู้จักเรื่องของกาย และก็โรคต่างๆ ของกาย แต่ใจใครรู้บ้างว่า เดี๋ยวนี้ใจอยู่ไหน ใจกับจิตเหมือนกันรึเปล่า เพราะฉะนั้นทั้งหมดต้องเป็นความรู้ค่ะ ที่ใช้คำว่า ใจ ก็คือจิตเจตสิก อย่างเช่นบอกว่าใจดี ก็หมายความว่ามีความเมตตากรุณา เกิดกับจิต จิตนั้นก็เป็นจิตที่ดี เพราะมีแต่สิ่งที่ดีเกิดร่วมด้วย ก็คือเรียกว่าใจดี ใจร้ายขณะนั้นก็มีธรรมที่ไม่ดี เช่นอกุศลธรรม เกิดขึ้นนะคะ กับจิตจิตขณะนั้นก็เป็นจิตที่ไม่ดี แล้วก็บอกคนนั้นใจร้าย เพราะฉะนั้นใจอยู่ไหนคะ มีหรือเปล่า ถ้ามีแล้วอยู่ไหน ถ้ายังไม่เจอใจ ก็ไม่รู้ว่าใจเนี่ยเป็นโรค สาหัสแค่ไหน มากแค่ไหน หาหมอก็ไม่เจอ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมนะคะ ไม่มีทางที่จะรักษาโรคใจได้เลย มีใจกันทุกคนหรือเปล่า ใจอยู่ที่ไหน

    อ.คำปั่น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเนี่ยครับ ก็จะไม่รู้เลยครับ ว่าใจคืออะไร จิตคืออะไรไม่รู้ แต่ถ้าพอเริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรม นี่ก็พอที่จะเริ่มสะสมความเข้าใจไปทีละเล็กละน้อย ว่าก็คือจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ก็คือ จิตเกิดแล้วดับแล้วครับ

    ท่านอาจารย์ แล้ว โรคในภาษาไทยนี่ ภาษาบาลีว่าอะไรคะ

    อ.คำปั่น ครับในภาษาบาลีนะครับ มาจากคำว่าโรคะ ซึ่งก็หมายถึงสภาพที่เสียดแทงครับ อย่างข้อความที่ปรากฏในอรรถกถา ก็ได้แสดงไว้นะครับ ว่าโรคกายก็เสียดแทงกาย โรคใจก็เสียดแทงจิตใจครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นได้รู้ความหมาย ของคำว่าโรคซึ่งเราใช้ในภาษาไทยนะคะ มาจากคำภาษาบาลี สภาพที่เสียดแทงใจ ใจนี่ค่ะ เป็นสภาพที่ผ่องแผ้ว จิตเป็นสภาพรู้อย่างเดียว แต่เมื่อมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยหลากหลาย มีทั้งเจตสิกที่ดี และเจตสิกที่ไม่ดีนะคะ เจตสิกที่ดีเนี่ยไม่เสียดแทง แต่เจตสิกที่ไม่ดีเท่านั้นค่ะที่ทำร้าย และเสียดแทง เป็นโรคคือทำให้เดือดร้อน ไม่ทำให้สงบสุข ไม่ทำให้เป็นสุขนะคะ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังมีโรครึเปล่า ข้อสำคัญนี่ค่ะ ธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่อยู่ที่เดี๋ยวนี้ทุกขณะ เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอนนะคะ ใจก็มีเจตสิกก็มี โรคก็มี เดี๋ยวนี้เป็นโรคหรือเปล่าคะ ทางกายไม่ต้องพูดถึง เพราะว่ารู้จักกันดีอยู่แล้วนะคะ แต่โรคใจเนี่ยรู้สึกจะไม่รู้ กำลังมีโรคหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้ารู้นะคะ มีโรคอวิชา โรคไม่รู้ค่ะ เพราะขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม เป็นเรา ไม่เห็นการเกิดดับ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังธรรมรู้ว่าความเข้าใจเดิมๆ ก่อนที่จะได้ฟังธรรม กับเมื่อฟังธรรมแล้วห่างไกลกันแค่ไหน พร้อมกันนั้นก็ต้องรู้ด้วยค่ะว่า สภาพธรรมที่เบียดเบียนเสียดแทง ก็คือขณะนี้ค่ะ เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ก็ทำให้มีความติดข้อง สบายดีไหมคะเวลาติดข้อง ชอบมากเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ยิ่งเพลิดเพลินเท่าไหร่ ยิ่งสนุกสนานเท่าไหร่ ยิ่งพอใจเท่านั้น ดีใจมาก มีความสุขมาก แต่ว่าพอฟังธรรมแล้วนะคะ จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ก็จะรู้ว่าความไม่ดีทั้งหลาย ซึ่งคนโน้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี อย่างที่เราคิดนะคะ กิริยาอาการไม่ดี ประทุษร้ายคนอื่น วาจาไม่ดี เบียดเบียนคนอื่น พวกนี้ค่ะ ทั้งหมดมาจากความไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นโรคเยอะมากเลย โรคไม่รู้นำมาซึ่งโรคอื่น คือโรคติดข้องเพราะไม่รู้ ก็พอใจในสิ่งซึ่งไม่เหลือ แต่ก็เข้าใจว่ายังอยู่ เช่นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามนะคะ ที่เกิดแล้วดับ ที่ว่าเร็วสุดที่จะประมาณได้ เนี่ยเปรียบได้เลยค่ะ กระทบแข็งดับแล้ว เพียงแค่แข็งปรากฏดับแล้ว แต่พระผู้มีพระภาคยังทรงแสดงว่าก่อนจะดับ อกุศลเกิดแล้ว คือไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น และก็มีความติดข้อง ในสภาพธรรมนั้นด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นโรคมานานแสนนานนะคะ และก็สืบต่อเรื้อรังมาเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถพบผู้ที่สามารถรักษาโรคทั้งหลายได้ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนป่วยไม่เห็นรู้ว่าเป็นโรค เวลานี้นะคะ มีโรคกันทุกคน โรคมากๆ โรคหนักๆ โรคร้ายๆ แต่ก็ไม่รู้เลย แต่ถ้าฟังพระธรรมเมื่อไหร่นะคะ ก็จะค่อยๆ เห็นประโยชน์ว่าโรคที่มีนะคะ สามารถจะทุเลาเบาบางได้ เมื่อได้เข้าใจพระธรรม จนกระทั่งไม่มีโรคเลยถึงความเป็นพระอรหันต์

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านพระอาจารย์ ขอความกรุณาอธิบาย คำว่าแข็งเป็นแข็ง ท่านอาจารย์คะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะกระทบเมื่อไหร่ อะไรปรากฏคะ กระทบดอกไม้ ถ้วยแก้ว หรืออะไรก็ได้ค่ะ กระทบเมื่อไหร่ อะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่ปรากฏ บางคนก็ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอะไรนะคะ คุณวิชัยคะช่วยได้ไหมคะ อะไรปรากฏ เดี๋ยวนี้ก็ปรากฏ

    อ.วิชัย ครับถ้าเป็นทางกาย ก็มีแข็งกับอ่อนครับ แล้วก็เย็นร้อน แล้วก็ตึงไหวครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ดับแล้ว

    อ.วิชัย แต่ว่าความจำไม่ได้จำเป็นแข็งครับ แต่จำเป็นอย่างเช่น ถือไมโครโฟนอยู่อย่างเงี้ย

    ท่านอาจารย์ ก่อนจะจำว่าเป็นไมโครโฟน

    อ.วิชัย ก็ต้องมีลักษณะที่แข็งปรากฏก่อน

    ท่านอาจารย์ ชั่วขณะที่กระทบนี่นะคะ เพียงแค่แข็งปรากฏก็ดับแล้ว แต่ความรวดเร็วคือก่อนดับ ความติดข้องเกิดแล้ว

    อ.วิชัย ดูเหมือนกับไม่ได้เป็นโรคอะไรเลยนะครับ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ จนกว่าโรคโทสะ ประทุษร้ายแน่นอนนะคะ เพราะฉะนั้นก็เพียงแต่ถามกันบ่อยๆ ว่าทำยังไงถึงจะไม่โกรธ ไม่เคยถามว่าทำยังไงจะเข้าใจธรรม จนกระทั่งไม่โกรธอีกเลย ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราว

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ กล่าวถึงโรคไม่รู้ คืออวิชชาครับ ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเนี่ย ก็ไม่สามารถที่จะรู้จักโลกนี้ได้ครับ แต่ว่าแม้ฟังอยู่ขณะนี้ ก็ไม่เห็นโทษภัยของความไม่รู้เลย ก็เหมือนกับเป็นปกติธรรมดา

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยเคยร้องไห้มั้ย

    อ.วิชัย ก็เคยครับ

    ท่านอาจารย์ ทำไมร้องไห้ล่ะคะ

    อ.วิชัย ก็ประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ห้ามได้ไหม

    อ.วิชัย ก็ห้ามไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะแล้วก็จะต้องร้องไห้ไปอีก เมื่อประสบอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจอีก

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็นไปอีกก็ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ชาตินี้ร้องไห้บ่อยมั้ย เห็นไหมคะ ยังชาติหน้าอีกไม่รู้ว่าตั้งเท่าไหร่ ก็ร้องไห้ไปเรื่อยเรื่อย ดีไหมคะ ร้องไห้

    อ.วิชัย ไม่น่าพอใจ

    ท่านอาจารย์ เสียงที่ไม่น่าฟังที่สุด คือเสียงร้องไห้ เพราะว่ากว่าเสียงนั้นจะออกมาได้นะคะ คนที่ทำให้เสียงนั้นเกิดขึ้นได้เนี่ย จะมีความทุกข์สาหัสสักแค่ไหน

    อ.วิชัย แต่ก็ที่แสดงถึง การอุปมาเกี่ยวกับเรื่องของน้ำตา ที่ท่องเที่ยวในสังสารวัฏฏ์ก็มากมายกว่าน้ำในมหาสมุทรนี้ ก็เหมือนกับเป็นไปได้ถึงขนาดนั้นนะครับ ท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ นี่คือการการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดมานานเท่าไหร่ชาตินี้น้ำตายังไม่กี่หยด หรือว่าเท่าไหร่ก็ตาม ยังใส่ในมหาสมุทรก็ไม่เต็ม ใช่ไหมคะ แต่ว่าน้ำตาที่มีในสังสารวัฎฏ์ มากกว่าน้ำในมหาสมุทร

    อ.วิชัย ดังนั้นกว่าจะฟังพระธรรมค่อยๆ เห็นความจริงอย่างนี้ เห็นโทษของความเป็นไปความเกิด

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังอย่างนี้นะคะ ว่ามีโรคไม่รู้แค่นี้ค่ะ คิดจะรักษาไหมคะ เห็นไหมคะ ความต่างกันละ ถ้ารู้ว่ามีโรคไม่รู้เนี่ย ได้ยินอย่างนี้ พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อย่างเนี้ย มีหนทางที่จะรักษาโรคนี้ด้วย เพราะเหตุว่าโรคนี้นำมาซึ่งโรคอื่นๆ อีกมากมาย กระทบกันไปหมดเลยโรคต่างๆ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นพอได้ยินว่ามีโรค กำลังมีโรค แล้วมียารักษาโรคด้วย คือความเข้าใจธรรม เมื่อรู้อย่างนี้แล้วนะคะ คิดที่จะรักษาโรคไหม บางคนก็ไม่ฟังธรรม ไม่รู้ว่าเป็นโรคซึ่งรักษาไม่ได้เลยค่ะ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ตามความเป็นจริง

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจสภาพธรรม ที่เป็นปัญญานั้น จึงเห็นสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นโทษจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เข้าใจผิดเลย

    อ.คำปั่น เพื่อความชัดเจน ในเรื่องของโรคครับ กระผมขออนุญาตกราบเรียนถามท่านอาจารย์เพิ่มเติมก็คือ ที่ท่านอาจารย์ได้ถึงว่า รู้จักจิตรึยังใช่ไหมครับ ที่กล่าวถึงเช่นนี้นี่ครับ หมายความว่าถ้ากล่าวถึงโรคนี้ ก็คือกิเลสทั้งหลาย ที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต ทำให้จิตนั้นมีโรค ก็คือเป็นไปกับความเศร้าหมอง เดือดร้อน แต่ทีนี้จิตนี่ก็เกิดดับสืบต่อกัน ที่โรคจะเกิดขึ้น ก็เกิดในขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น แต่ว่าในการที่สะสมเชื้อโรคเหล่านี้มานานครับ ท่านอาจารย์ครับ ในความเป็นจริง ที่กล่าวถึงการที่จะรู้จักจิต และโรคนี้ครับคืออย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีโรค หรือ เชื้อโรค เวลาเห็นนี้ จะเป็นโรคมั้ย

    อ.คำปั่น ไม่เป็นครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโรคอยู่ที่ไหน ก็ยังไม่รู้เลยนะคะ เห็นเมื่อไรก็เป็นโรคแล้ว ได้ยินเมื่อไหร่ก็เป็นโรคละ โรคเต็มตัวนะคะ แต่เป็นโรคใจทุกขณะ นี้จะมากมายสักแค่ไหน พร้อมที่จะรักษาโรคหรือยังเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ สติกับปัญญาเนี่ย ระลึกต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ค่ะ สติไม่ใช่ปัญญา ปัญญาไม่ใช่สติ เป็นเจตสิกที่ต่างกันเป็นแต่ละหนึ่งนะคะ เป็นสติเจตสิกกับปัญญาเจตสิก สติเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในทางกุศล ถ้าใช้คำว่าระลึกรู้ หมายความถึงขณะนี้มีธรรม และสติระลึกรู้ธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ยังไม่ถึงขั้นนั้นนะคะ เพราะเห็นว่าเพียงฟัง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อย่าได้พยายามระลึกรู้ แต่ว่าเมื่อไหร่สติเกิดนะคะ ใครจะไม่ให้สติระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่ได้ สติทำกิจเพียงแค่ระลึกได้ ระลึกรู้ ปัญญาเข้าใจสภาพธรรมที่สติกำลังระลึกรู้ เพราะได้ฟังมาแล้ว ไม่เคยฟังเลยนะคะ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสภาพธรรมได้ แต่เพราะฟังแล้วเข้าใจ ก็สามารถที่จะรู้ว่าสติเกิดหรือไม่เกิด ถ้าสติไม่เกิดแข็งกระทบผ่านไปเลย เห็นกระทบเดี๋ยวนี้ผ่านไปเลย ได้ยินผ่านไปเลย ทุกอย่างผ่านไป โดยที่ว่าสติไม่ได้ระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะเหตุว่าไม่มีความเข้าใจพอ รอบรู้พอ ที่จะละความเป็นเรา และก็รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นสติเท่านั้นที่จะทำกิจระลึกรู้ได้

    นี่เป็นความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ที่จะต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เราเป็นสติ เราจะทำสติ ถ้าไม่มีปัญญาที่มีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นปริยัติซึ่งรอบรู้นะคะ ในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคง ว่าเป็นธรรมสติสัมปชัญญะที่จะเกิดระลึกรู้ ก็มีไม่ได้ เพราะไม่รู้หนิ ใช่ไหมคะ เกิดมาก็มีแข็ง มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ โดยไม่รู้เลยว่าทั้งหมดนั้นเป็นธรรม ต่อเมื่อไหร่ที่มีความมั่นคงว่า นั่นเป็นธรรมก็จะเป็นปัจจัย ให้สติระลึกได้ รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ระลึกรู้ธรรมที่กำลังปรากฏ ปัญญาที่เกิดพร้อมสติก็เข้าใจถูก ในความเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งต่างกัน แสดงว่าสติไม่ใช่ปัญญา กุศลใดๆ นะคะ ก็เกิดขึ้นได้เพราะสติระลึกเป็นไปในกุศลนั้นๆ แต่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะไม่มีความเข้าใจธรรม แต่เมื่อไหร่ที่มีความเข้าใจธรรมนะคะ ก็แล้วแต่วันนึงๆ เนี่ย มีกุศลเกิดโดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้ แต่เมื่อไหร่ซึ่งสติระลึกรู้สิ่งที่กำลังมี และปัญญาเข้าใจสิ่งนั้น ตามความเป็นจริงเพราะเคยเข้าใจมาแล้ว จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า เมื่อสติระลึกก็รู้ในความเป็นธรรม ของธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นสติที่ระลึกรู้

    ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์อรรณพค่ะ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏค่ะ ท่านคะ

    อ.อรรณพ ครับไม่ใช่อยู่ดีๆ เนี่ยจะมีความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏได้เลยนะครับ ปัญญาเป็นสภาพธรรม เป็นความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ซึ่งก็มีหลายขั้นนะฮะ ปัญญาเป็นเจตสิกที่ดีงาม และดีงามที่สุด ในบรรดาสภาพธรรมทั้งหลาย เพราะสามารถเข้าใจถูก ตามความเป็นจริง ตั้งแต่ในขั้นฟัง เพราะฉะนั้นปัญญาเข้าใจสิ่งที่ปรากฏเนี่ย ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏแต่ไม่มีปัญญา จึงไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏใช่ไหมฮะ มีตาก็มีสีปรากฏนะฮะปรากฏทางตา เสียงก็ปรากฏทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูกนะครับ รสปรากฎทางลิ้น เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว ปรากฏทางกายนะครับ แล้วสภาพที่ปรากฏทางใจนี่เยอะแยะไปหมด แต่ละอย่างเนี่ยมีสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าไม่ได้ปรากฏกับปัญญา เพราะไม่ได้สะสมปัญญา ปรากฏกับอกุศลใช่ไหมครับ สีสวยๆ ก็ปรากฏกับโลภะ เสียงเพราะๆ ก็ปรากฏกับโลภะ ถ้าเสียงไม่เป็นที่ถูกใจก็ปรากฏกับโทสะ สิ่งที่จะปรากฏกับปัญญาได้ก็ต้องสะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูกในพระธรรมคำสอน ที่แสดงถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็ต้องอาศัยการพิจารณา ไตร่ตรอง ที่ตรง ตั้งแต่ปัญญาขั้นฟัง จึงจะนำไปสู่ปัญญา ที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏ เมื่อมีเหตุคือปัญญาขั้นฟังเรื่องจริง ปัญญาที่เข้าใจตามเรื่อง จะค่อยๆ มีกำลังขึ้น จนเป็นปัจจัยให้ปัญญาน่ะ สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ได้นะครับ ก็ต้องเป็นไปตามการสะสมปัญญา ตั้งแต่ขั้นฟังเป็นปัจจัย

    ผู้ฟัง ขอความกรุณา อธิบายธาตุน้ำว่าเป็นอย่างไรคะ

    ท่านอาจารย์ อย่างอื่นไม่สนใจเดี๋ยวนะคะ

    ผู้ฟัง ถาม อย่างเดียวค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะเพราะเหตุว่า คงได้ยินคำว่ามหาภูตรูป ๔ นะคะ มหาคือใหญ่ มหาภูตรูป ๔ รูปซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ๔ รูป ที่ชินหูนะคะ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ภาษาบาลี ธาตุดินก็เป็นปฐวีธาตุ ธาตุไฟก็เตโชธาตุ ธาตุน้ำก็อาโปธาตุ ธาตุลมก็วาโยธาตุ ที่เราใช้คำว่าพายุ หรืออะไรนี่นะฮะ ก็หมายความถึงธาตุที่เคลื่อนไหวได้ ธาตุอื่นไม่สนใจ ก็จำเพาะสนใจธาตุน้ำ เป็นธาตุที่ไม่สามารถจะปรากฎทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แข็งเนี่ยยังไงๆ ก็มองไม่เห็นแน่ เห็นแต่สิ่งที่อยู่ที่แข็ง ที่ใดที่แข็งที่นั่นก็มีรูป สีสันวรรณะที่กำลังกระทบตา แล้วก็ปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นสำหรับธาตุแข็งก็คงไม่มีปัญหานะคะ ลักษณะใดก็ตามที่อ่อนหรือแข็งเป็นลักษณะของธาตุดิน เย็นหรือร้อนเป็นธาตุไฟ ตึงหรือไหวเป็นธาตุลม แต่วาโยธาตุไม่ปรากฏ แม้ว่ากระทบก็จะกระทบ แต่เพียงลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เพียง ๓ ธาตุ เพราะเหตุว่าธาตุน้ำนี่ค่ะ เป็นธาตุที่ซึมซาบเกาะกุมธาตุทั้ง ๓ ไว้ ด้วยเหตุนี้นะคะ ทั้ง ๔ ธาตุจึงไม่แยกจากกัน แต่ว่าเวลาที่กระทบก็จะกระทบ เฉพาะส่วนที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ไม่กระทบกับธาตุที่ซึมซาบเกาะกุมทั้ง ๓ ธาตุนี้ไว้ เพราะฉะนั้นกระทบเมื่อไหร่นะคะ ก็ไม่ใช่ธาตุน้ำ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567