ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951


    ตอนที่ ๙๕๑

    สนทนาธรรมที่ สวนปาล์มฟาร์มนก จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้อ่ะค่ะ ใครเปลี่ยนแปลงได้ไหมคะ นักวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงได้ไหม ให้เห็นไม่ใช่เห็น ได้ยินไม่ใช่ได้ยิน เปลี่ยนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เนี่ยมั่นใจหรือยังคะ ว่าเห็นต้องเป็นเห็นเท่านั้น ไม่ใช่เรา คิดก็ต้องเป็นคิดเท่านั้น ไม่ใช่เรา มั่นใจอย่างนี้หรือยังคะ ว่าธรรมทั้งหลายแต่ละ๑ แต่ละ๑ เนี่ยค่ะ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนสภาพธรรมนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้เลย นี่ค่ะประโยชน์จากการฟัง เพื่อเป็นความเข้าใจของเราเอง ไม่ใช่เชื่อเค้าตามเค้า เขาว่าใช่ไหมคะ แต่คิดไตร่ตรองว่าเปลี่ยนได้ไหม

    ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีอีกคำหนึ่งนะคะ ปรมัตถธรรม ก็คือธรรมเดี๋ยวนี้แหละสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แหละ แต่ใช้คำว่า ปรม ภาษาไทยจะใช้คำว่า บรม โดยมากภาษาไทยจะไม่ใช่ตัว ป นะคะ ใช้ บ ใบไม้แทน จากปรมก็รวมเป็นบรม เหมือนสุขะก็เป็นสุขสั้นๆ เพราะฉะนั้นปรมัตถ ก็เป็นบรม เพราะฉะนั้นธรรมที่มีจริงอยู่นี่ค่ะ เพราะไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม แค่นี้ ๒คำ ใช่ไหมคะ ธรรมกับปรมัตถธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เติมอีกคำไหมคะ อภิธรรม อภิก็ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จริงมั้ย เห็นไหมคะ พอพูดถึงธรรมตอนนี้ก็มีความเข้าใจ และ เป็นปรมัตถธรรมแน่นอนใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และละเอียดมากจนแม้กำลังเกิดดับขณะนี้ก็ไม่มีใครรู้ พูดตั้งนาน และจะต้องฟังต่อไปอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะที่เข้าใจก็ยังไม่ใช่เราอีก เห็นความลึกซึ้งไหมคะว่าทั้งหมดต้องเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงธรรม ผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้องนะคะ ก็จะรู้จักเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง โดยฟังธรรมซึ่งพระองค์ทรงแสดงหนทาง ที่จะทำให้เข้าใจความจริงซึ่งเป็นธรรมรัตนะ แล้วก็จนสามารถที่จะดับกิเลสได้ ตามพระองค์นะคะ ก็เป็นสังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเลยค่ะ เป็นปรมัตถธรรมแล้วก็เป็นอภิธรรมด้วย เห็นเป็นอภิธรรมหรือเปล่าคะ เห็นไหมคะ ได้ยินเป็นอภิธรรมหรือเปล่า โกรธเป็นอภิธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่สงสัยเลยเวลาไปฟังสวดศพ สวดพระอภิธรรม เพราะฉะนั้นรู้จักว่าฟังอะไร แต่ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมรู้ไหมคะ ฟังอะไร สมัยพุทธกาลนะคะ มีการสวดพระอภิธรรมไหมคะ

    อ.คำปั่น สมัยพุทธกาลไม่มีการสวดพระอภิธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ารู้ว่าสวดคืออะไร อภิธรรมคืออะไร สมัยโน้นสวดคืออะไร อภิธรรมคืออะไร

    อ.คำปั่น ถ้ากล่าวถึงสวดในคำไทย แต่ว่าในภาษามคธีที่กล่าวถึงคำจริงนะครับ ก็คือใช้คำว่าฉัทชาญะ ครับ ซึ่งก็เป็นการกล่าวเป็นลำดับด้วยดีในคำจริงนั้นๆ นะครับ จะเป็นการกล่าวทบทวนด้วยการออกเสียง หรือไม่ออกเสียงก็ได้ ความเข้าใจที่ถูกต้องครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า การฟังพระธรรม แต่ไม่มีการทบทวน ไม่มีการกล่าวถึงลืมมั้ย ใช่ค่ะ แต่ว่าถ้าสวดโดยไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะว่าเป็นอีกภาษาหนึ่ง แล้วไม่รู้เรื่องอย่างนั้น จะเป็นประโยชน์ไหม ก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นจะแสดงให้เห็นว่าการฟังพระธรรมนะคะ ด้วยความลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรมนะคะ ได้ฟังแล้วเนี่ย ผู้ที่ไม่ลืมก็จะนึกถึงความหมาย คำแปล ไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้ฟังนะคะ โดยที่ว่าไม่มีใครไปบังคับเลย แต่ว่าเพราะสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นเคยคิดบ้างไหม แม้แต่ว่าทุกคนต้องตายแค่นี้ค่ะ ไม่ว่าจะมีลาภยศ สรรเสริญ สุขทุกข์ประการใดใดก็ตามนะคะ เพราะฉะนั้นเกิดมาเนี่ยแสนสั้น ก่อนจะตายเนี่ยเต็มไปด้วยกิเลสหรือเปล่า ทำคุณความดีอะไรไว้บ้างหรือเปล่า นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการที่เราได้ไม่ลืมคำที่เราได้ฟังนะคะ และเกิดคิดขึ้นเป็นการไตร่ตรอง และเมื่อได้ยินได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยพระองค์เอง และก็สามารถที่จะจำคำนั้นได้ เพราะฉะนั้นก็กล่าวคำนั้นซ้ำ เพื่อที่จะได้ไม่ลืม แล้วจะได้เป็นการเตือนให้เข้าใจ ความจริงในขณะนั้นได้ว่า ไม่ใช่เพียงแนวคิดขึ้นมาเอง นิดนิดหน่อยหน่อยนะคะ เกิดแล้วก็ต้องตายแค่นั้น ก็ไม่เห็นทำดีกัน จะมีประโยชน์ไหม

    แต่ถ้าไม่ลืมพระธรรมทุกคำที่ได้ทรงแสดงไว้ เพื่อประโยชน์ที่จะให้เข้าใจ และทำให้เกิดกุศลเพิ่มขึ้น ขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น เราจะไม่ทิ้งเวลาโอกาสที่แทนจะไปทำอย่างอื่น ถ้าอย่างเราไม่ได้ฟังธรรมมาก เรามีโอกาสที่จะได้ฟังเราก็ฟังมากขึ้น เพื่อที่จะได้ทบทวนสิ่งที่เราได้ฟังแล้วเนี่ย ให้เข้าใจมั่นคง ลึกซึ้ง กว้างขวางขึ้น และเวลาที่ไม่ได้มีโอกาสฟังธรรม อยู่คนเดียวก็ยังนึกถึงเรื่องอื่นได้ใช่ไหมคะ แต่นึกถึงธรรมบ้างไหม ก็เป็นการทบทวนไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นฟังแล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่จบ เพียงแค่ฟังนะคะ ยังจำไตร่ตรอง แล้วก็เวลาที่มีการกล่าวถึง เป็นการทบทวนเตือนก็เป็นการออกเสียง เพื่อเป็นการเตือนให้ไม่ลืมคำนั้น เพราะฉะนั้นจึงมี การสวดมนต์ มนต์ที่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปัญญาทั้งหมดทุกคำ เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่าสวดมนต์ไหม และสวดพระอภิธรรม พระอภิธรรมเป็นมนต์หรือเปล่า

    อ.คำปั่น พระอภิธรรมก็เป็นพระปัญญาตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ เป็นมนต์ด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ แต่เวลาสวดมนต์เนี่ยเคยสวดกันใช่ไหมคะ เข้าใจอะไรหรือเปล่า แล้วนั่นสวดอะไร สวดคำที่ไม่รู้จัก ยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็คือว่าไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่สวดมนต์ก็ไม่รู้จัก เห็นไหมคะ ตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก พูดคำว่าสวดมนต์ แต่ไม่รู้ว่าสวดมนต์เพื่ออะไร และคืออะไร หรือแม้แต่สวดพระอภิธรรมก็ไม่รู้ว่า สวดอะไร คืออะไร และก็ไปฟังก็เบื่อใช่เลยค่ะ เพราะไม่รู้เรื่องแต่ว่าทั้งหมดที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นปัญญาของผู้ฟัง นี่คือพระมหากรุณานะคะ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนานเพื่อให้คนที่ได้ฟังนี่ค่ะ เกิดปัญญาของตนเอง ซื้อได้มั้ยคะปัญญา เงินท่วมหัวกองเท่าภูเขาเต็มจักรวาล ซื้อปัญญาได้ไหม ไม่ได้ แต่เพียงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะทำให้เกิดความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ซึ่งเป็นปัญญาได้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจนะคะ ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ไม่ใช่สำหรับสวด เพื่อไม่ให้เข้าใจ และไม่ให้รู้เรื่อง แต่สวดคำไหนเข้าใจคำนั้น จึงจะเป็นการถูกต้อง มิฉะนั้นสวดอะไร คำที่ไม่รู้จักแล้วจะมีประโยชน์อะไร กุสลาธัมมา เห็นไหมคะ ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมคือธรรมทั้งหลาย แต่ถ้าใช้คำว่ากุสลา หมายความว่ากุศลทั้งหลายทั้งหมดไม่เว้นเลย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลเป็นเรารึเปล่า เห็นไหมคะ แต่ถ้าไม่ได้เข้าใจกุสลาธัมมา ฟังไปเดี๋ยวก็อีกรอบหนึ่งละก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่เป็นการเตือนให้รู้ว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่เรา เราดีหรือเปล่าคะ หรือดีเป็นเราหรือเปล่า หรือดีเป็นดี ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า หรือปัญญาเป็นปัญญา นี้ค่ะคือความลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรม ไม่ใช่ว่าฟังไปแล้วไม่รู้เรื่อง และก็สวดกันจริงนะคะ กี่รอบกี่รอบก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมให้ผู้ฟังเข้าใจ ไม่ใช่สำหรับสวดตาม โดยที่ไม่รู้เรื่องเลย อกุสลาธัมมา ตอนนี้ก็ธรรมดาแล้วใช่ไหมคะ ธรรมที่เป็นอกุศลที่ไม่ดีทั้งหลายไม่ใช่เรา เพราะกล่าวว่า ธรรมจะเป็นเราได้ยังไง แค่นี้ก็ต้องเริ่มไตร่ตรองละ เริ่มค่อยๆ สะสมความมั่นคง ความเข้าใจว่า แม้อกุศลก็ไม่ใช่เรา บางคนฟังเผินดีใจนะคะ อกุศลไม่ใช่เรา แต่พระธรรมทั้งหมดนี่ค่ะ แสดงโดยนัยหลากหลาย เพื่ออะไรคะ เพื่อสอบความเข้าใจของเรา ว่ามั่นคงถูกต้องไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงฟังคำนี้ฟังคำนุ้น รู้สึกว่าจะคัดค้านกัน ไม่ตรงกัน ไม่ใช่เลยค่ะ แต่ทั้งหมดมากมาย เกินกว่าที่จะบรรจุเป็นหนึ่งคำ เพราะฉะนั้นเมื่อมีหลายๆ คำมากถึง ๔๕ พรรษา ก็ต้องฟังทุกคำให้เข้าใจ และต้องสอดคล้อง เพราะเป็นความจริงถึงที่สุด กุสลาธัมมา กำลังสวดหรือเปล่าคะคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น กำลังทบทวนในคำที่ได้ยินได้ฟังครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ค่ะ กำลังสวดล่ะ ทบทวนละ อกุสลาธัมมา เห็นไหมคะ ทบทวนละ ให้รู้ว่าอกุศลธรรมก็ไม่ใช่เรา โกรธไม่ใช่เรา เมื่อกี้นี้เห็นคนที่ไม่ชอบโกรธ โกรธก็ไม่ใช่เรา เข้าใจว่าเป็นคนที่เราไม่ชอบ ก็ไม่ใช่เค้า ก็เป็นธรรมทั้งหมด จนกว่าผู้ฟังนี่ค่ะจะมั่นคงทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เฉพาะสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้นะคะ แล้วก็อัพยากตา ธัมมา ตอนนี้ไม่รู้เรื่องใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมด ไม่ใช่สำหรับให้สวดให้พูดตาม เป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่เพื่อให้ศึกษาให้เข้าใจ และไตร่ตรองทบทวน จนกระทั่งเป็นความเข้าใจ

    อ.คำปั่น ในหมวดที่ ๓ นะครับ ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ในส่วนของคำจริงนะครับ ก็คืออัพยากตา ธัมมา หมายถึงธรรมที่มีจริงนะครับ แต่ว่าไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงนะครับ ว่านอกจากสภาพธรรมที่เป็นกุศล นอกจากสภาพธรรมที่เป็นอกุศลแล้วนะครับ ทั้งหมดก็เป็นอัพยากตธรรม หรือว่าอัพยากตา ธัมมา เพราะเหตุว่าพระองค์ไม่ทรงพยากรณ์ ว่าเป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศลเพราะเหตุว่าเป็นกุศลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ ก็ทรงแสดงตามความเป็นจริงครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นความเข้าใจ ว่าต้องละเอียดนะคะ ต้องลึกซึ้ง รู้จักคำว่าธรรมแล้วใช่ไหมคะ สิ่งที่มีจริงทุกอย่างหรือเปล่า ทั้งหมดหรือเปล่า ไม่เว้นหรือเปล่าเมื่อไหร่ก็ตามใช่ไหมคะ ธรรมก็เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นธรรมก็หลากหลายมากเป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ สิ่งที่มีจริงที่เป็นกุศลดีงามก็มี สิ่งที่มีจริงที่ไม่ดีงามเป็นอกุศลก็มี เพราะฉะนั้นธรรมหลากหลายไหมคะ ค่ะ เกิดแล้วดับแต่ละ ๑ ใครนับได้ ลองนับสิ นับยังไงคะ เวลานี้ก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้วค่ะ แล้วก็แยกออกไปเป็นแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดดับแล้วไม่กลับอีกก็เท่าไหร่ แล้วสิ่งใหม่ที่เกิดอีกต่อก็เท่าไหร่ และนานแสนนานมาแล้วก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงประมวลธรรม ประเภทเดียวกัน คือธรรมที่ดีงามเป็นกุศล กุสลาธัมมา ภาษาไทยก็กุศลธรรมนะคะ ธรรมทุกอย่างที่เป็นกุศล แต่ธรรมที่ไม่ดีก็มี ก็เป็นอกุสลาธัมมา อกุศลธรรมก็มี แต่ว่าใครจะรู้ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลก็มี ธรรมที่ไม่ใช่อกุศลก็มี เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคนอื่นจะไม่บอกเราเลยใช่ไหมคะ ตั้งแต่เกิดมามีใครจะบอกเราว่ามีกุศลธรรม มีอกุศลธรรม และมีธรรมซึ่งไม่ใช่กุศล และอกุศล เพราะอัพยากตา ธัมมา มาจากคำว่าไม่พยากรณ์ แต่คำว่าพยากรณ์ที่นี่ หมายความถึงว่า เพราะสภาพธรรมนั้นไม่ใช่เช่นนั้น จึงต้องกล่าวว่าไม่ใช่ เช่นสิ่งที่ไม่ใช่กุศลจะกล่าวว่าเป็นกุศลไม่ได้ สิ่งที่ไม่ใช่อกุศลก็จะกล่าวว่าเป็นอกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศลธรรม ที่เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล แต่ใครจะรู้บ้างว่า นอกจากกุศล และอกุศลแล้ว ธรรมที่มีจริงนี่ค่ะ ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งกุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนั้น จึงทรงพยากรณ์ ตรัสตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น และธรรมนั้นไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล คิดไม่ออกใช่ไหมคะ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม หรือใครพอได้ยินก็รู้เลยว่า อะไรเป็นอัพยากตา ธัมมา มีไหมคะ ไม่มี นี่คือต้องมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง

    ผู้ฟัง มีความเชื่ออยู่แล้วค่ะ ท่านอาจารย์ว่าชาติหน้าต้องมีจริง เพราะว่าถ้าเราคิดว่าชาติหน้าไม่มีจริง เราจะต้องมาศึกษาทำไมให้เหนื่อยคะท่านอาจารย์ เราก็มีชีวิตอยู่แบบ ก็ให้มีความสุขไปแค่ชาติเดียว เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องมาเรียนใช่มั้ยคะ

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรมีจริง

    ผู้ฟัง มีธรรมค่ะ

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรม จะมีแล้วนี่ชาติหน้าละ ต้องรู้สิคะว่าอะไรมี

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ก็คือทุกๆ อย่างที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีโกรธ

    ท่านอาจารย์ เหมือนชาตินี้มั้ย ค่ะ

    ผู้ฟัง อย่างเช่นอย่างนี้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แต่เราเรียกว่าชาติหน้า หลังจากที่จิตขณะสุดท้ายดับ ที่เราเรียกว่าตาย เราถึงกล่าวว่าชาติหน้าใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถามว่า เป็นเรื่องที่ต้องไตร่ตรองจริงๆ นะคะ แม้แต่ว่าธรรมคำเดียว ก็ต้องตามลำดับ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตา ธัมมา ยังไม่เข้าใจคำนี้จริงๆ เลย เพียงแต่ค้นหูกับคำว่ากุศลธรรม และอกุศลธรรม แค่คุ้นหู แต่เป็นเราบอกได้ไหมว่ากุศลคืออะไร อกุศลคืออะไร เห็นไหมคะ ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้ นอกจากพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประจักษ์ถึงที่สุดทุกคำ ทำให้เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น อยู่ในโลกนี้ด้วยความเข้าใจโลกนี้ขึ้น ไม่ใช่อยู่ในโลกด้วยความไม่รู้ แล้วก็จากไปด้วยความไม่รู้ ไม่เหลืออะไรเลย สักอย่างเดียว เป็นคนใหม่ทันทีใช่ไหมคะ ที่ชาติหน้ามีจริง แต่ว่าเพียงแค่นี้ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะให้สามารถดับความไม่รู้ เพราะฉะนั้นคำที่สามารถทำให้เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น

    ท่านอาจารย์ อัพยากตา ธัมมา ตอบก่อนได้มั้ยคะ คืออะไร เพราะว่าเมื่อกี้ เราค้างอยู่ที่กุศลธรรมอกุศลธรรม แต่ก็มีธรรมที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล จึงใช้คำว่าอัพยาก็ตาธัมมา เพราะเหตุเมื่อไม่เป็นกุศล ก็ต้องแสดงตามความเป็นจริงว่า ไม่เป็นกุศล เมื่อไม่ใช่อกุศลก็ต้องแสดงตามความจริง ว่าธรรมนั้นไม่ใช่อกุศล แล้วเป็นอะไร แล้วมีหรือเปล่า ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และธรรมที่ไม่ใช่อกุศล

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ได้แก่อะไรคะ

    ผู้ฟัง ได้แก่รูปค่ะ เพราะว่าเขาไม่รู้อะไร

    ท่านอาจารย์ รูปคืออะไร เห็นไหมคะ มีคำใหม่มาเรื่อยๆ ทีละคำ แล้วเราไม่รู้อะไรเลย แล้วเราก็คิดเดาเอา เค้าบอกว่าสิ่งนี้ยังไม่เป็นรูปธรรม โครงการนี้ยังไม่เป็นรูปธรรม แต่เรารู้คำนี้หรือเปล่าว่าธรรมคืออะไร รูปคืออะไร เพราะฉะนั้นเราจะไม่ตามใครด้วยความไม่รู้ เหมือนตามคนตาบอด แต่ว่าเมื่อตาบอดอยู่นะคะ ผู้ที่จะทำให้ตาไม่บอด สว่างขึ้นมีขึ้นได้ ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะฟังคำของใครอีก นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือจะเป็นครูบาอาจารย์ ชื่อโน้นชื่อนี้ ประเทศนั้นประเทศนี้ก็ตามแต่นะคะ เขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่า โลกจากคุณเบน คุณเบนให้คำตอบด้วยค่ะ

    ผู้ฟัง รูปเมื่อกี้ก็ตอบไปว่าที่มีอยู่จริง แต่เขาไม่รู้อะไรค่ะ

    ท่านอาจารย์ อะไรบ้างคะที่ไม่รู้อะไร แล้วก็มีจริงๆ

    ผู้ฟัง มีหลากหลายค่ะท่านอาจารย์ โต๊ะ เก้าอี้ ไมโครโฟน หรือว่าเสียงของที่ทุกคนพูด เสียงเขาก็ไม่รู้อะไร เขาก็เป็นรูปรูปนึง

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทั้งหมดนะคะ โต๊ะความจริงคืออะไร

    ผู้ฟัง โต๊ะก็เป็นแข็งนะคะ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ นี่ความจริง ๑ ละ ที่เราเข้าใจว่าเป็นโต๊ะก็คือเป็นแข็ง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเนี่ย เราจะไม่ฟังเผินๆ จากคนที่ฟังมาแล้วมาก เพราะว่าเขารู้มากแล้ว แต่ว่าคนฟังใหม่ อย่างที่บอกเมื่อกี้เนี้ยค่ะ อ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจ ก็ต้องอาศัยการฟัง คนที่ได้เข้าใจแล้ว ค่อยๆ ทำให้เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ว่าทั้งหมดที่คนนั้นเข้าใจแล้ว ให้คนอื่นที่เพิ่งตั้งต้นเข้าใจเนี่ย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ก็ต้องรู้ประมาณว่า คนที่บอกว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ต้องรู้ว่าเขาไม่เข้าใจอะไร และเขาไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นรึเปล่า หรือตอนต้นเค้าเข้าใจแล้ว แต่ตอนนี้เค้าไม่เข้าใจ เพราะธรรมมีมากมาย ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจด้วยตนเองได้ เพราะฉะนั้นจึงสมควรนะคะ ถ้าจะเข้าใจจริงๆ ก็คือศึกษาธรรมทีละคำ ให้เข้าใจมั่นคง ถ้ามีคนตอบว่าโต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ ไม่รู้อะไร เป็นรูป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ก็จะทรงแสดงต่อไป หรือเราจะถามต่อไปว่า ว่าดอกไม้เป็นอะไร แล้วโต๊ะเป็นอะไร ที่ว่าไม่รู้อะไร เพราะเป็นอะไร และคืออะไร ต้องละเอียดถึงที่สุดค่ะ ถึงจะเป็นการเข้าใจธรรม มิฉะนั้นก็ฟังเผินๆ แล้วก็มีความเป็นตัวตนที่ลึกมาก มีความต้องการมาก แม้กำลังฟังธรรมนะคะ ยังมีการอยากจะรู้คำนั้น อยากจะรู้คำนี้ อยากจะรู้เรื่องนั้น อยากจะรู้เรื่องนี้ แต่เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงนะคะ พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงเนี่ย เพื่อเป็นสังขารขันธ์ หมายความว่าปรุงแต่ง เป็นสภาพธรรมที่อาศัยการฟังนี่แหละค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมี โดยที่ขณะนี้นะคะ มีสิ่งที่กำลังมี แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ถูกต้องไหมคะ

    ผู้ฟัง ถูกต้องค่ะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คิดเรื่องอื่น เข้าใจคำอื่น นึกถึงเรื่องอื่นหมด นึกถึงโต๊ะ นึกถึงเก้าอี้แต่ว่าสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงนี่ฮ่ะ ให้รู้สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทีละ ๑ ที่เป็นจริง อย่างบอกว่าคนอย่างเนี้ยค่ะ อะไรบ้างล่ะคะ ที่ว่าเป็นคน ตาเป็นคนหรือเปล่า หูเป็นคนหรือเปล่า ได้ยินเป็นคนหรือเปล่า แต่บอกว่าเห็นคน เพราะฉะนั้นทั้งหมดนะคะ เป็นสิ่งซึ่งสัตว์โลกไม่มีโอกาสจะรู้ได้ด้วยตัวเอง และไม่สามารถที่จะไปในทางที่ถูกต้อง คือทางที่จะค่อยๆ เข้าใจพระธรรม ซึ่งการที่เข้าใจทีละน้อยก็จะค่อยๆ ชำระจิตที่เต็มไปด้วยกิเลสนะคะ ให้ค่อยๆ คลายลงทีละน้อย จนกว่าสามารถที่จะ เข้าใจขึ้น เข้าใจอะไรขึ้นค่ะ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ขึ้น แต่ส่วนใหญ่คนก็จะไปเข้าใจคำมากขึ้น เข้าใจเรื่องมากขึ้น ลืมว่าทั้งหมดเพื่อเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นทีละน้อย เป็นผู้ที่ประมาทมาก ถ้าฟังพระธรรม โดยคิดว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยเร็วหรือในชาตินี้ คิดถึงกี่ชาติที่ผ่านมาแล้ว ได้ยินคำว่าพระโพธิสัตว์ ทุกคำนะคะ ต้องเริ่มต้นว่าคืออะไร คือใคร มิฉะนั้นก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ธรรมไม่ใช่เรื่องที่จะฟังเผินๆ คิดว่าเข้าใจแล้วนะคะ แต่ฟังอย่างละเอียดทุกคำ แม้แต่คำว่าโพธิสัตว์ สัตว์คืออะไรคะคุณคำปั่น

    อ. คำปั่น ก็คือผู้ที่ยังข้องอยู่ครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคนเป็นสัตว์รึเปล่าคะ

    อ.ธีระพันธ์ เป็นครับท่านอาจารย์ครับ เพราะยังข้องอยู่ในสังสารวัฎฏ์ครับ เนื่องจากความไม่รู้ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราข้อง ในเรื่องอื่นกันมามากใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ทางตา ติดข้องในรูปสวยหมดเลย ดอกไม้ โต๊ะ เก้าอี้ บ้านช่อง สระน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่าง รูปร่างสัณฐาน ทางหูก็ติดข้องหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า

    อ.ธีระพันธ์ ไม่เป็นเลยครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าข้องไม่เป็น แต่พอได้ฟังธรรม เริ่มเห็นประโยชน์ ค่อยๆ มั่นคง คือข้องอยู่ ในการที่จะเข้าใจธรรมที่มีจริง ที่ได้ฟังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยค่ะ ไม่ใช่ว่าเหมือนเข้าใจฟังละ เหมือนรู้แล้วแต่ต้องเป็นความละเอียดที่เข้าใจจริงๆ นะคะ และเปลี่ยนไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์เป็นใคร

    อ.ธีระพันธ์ ที่เป็นพระโพธิสัตว์ หมายความว่าเป็นผู้ที่ข้อง ในการบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะตรัสรู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ ประมวลพระโพธิสัตว์มีกี่ประเภทคะ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    19 ก.ค. 2567