ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952


    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๙๕๒ สนทนาธรรมที่สวนปาล์มฟาร์มนก

    จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙

    ท่านอาจารย์ ประมวลพระโพธิสัตว์มีกี่ประเภทคะ

    อ.คำปั่น ครับก็มีทั้งหมด ๓ ประเภทครับ ท่านอาจารย์ครับ ในฐานะที่บำเพ็ญคุณความดีบารมีทั้งหมด เพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าพระมหาสัตว์ ซึ่งก็จะเป็นผู้ที่ได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ และอีกประเภทต่อมานะครับ ก็คือผู้ที่สะสมคุณความดีมา เพื่อที่จะตรัสรู้เฉพาะตน แต่คุณความดีบารมีไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะครับ ก็เป็นเพียงปัจเจกโพธิสัตว์ ผู้ที่สะสมบารมีมาเพื่อที่จะถึงความตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และประการที่ ๓ ก็คือผู้ที่สะสมบารมีคุณความดีมา เพื่อที่จะตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ในฐานะที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าสาวกโพธิสัตว์ครับ

    ท่านอาจารย์ ฟังพระธรรมแล้วนะคะ สนใจไหมคะ

    ผู้ฟัง สนใจค่ะ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ต้องสนใจที่มาฟังแน่ล่ะ นะคะ แล้วก็ได้ฟังความละเอียด ความลึกซึ้ง ความยากอย่างยิ่งของสภาพธรรมซึ่งกำลังเกิดดับ ทั้งหมดเลย ขณะนี้ ทีละ ๑ ยากไหมคะ

    ผู้ฟัง ยากมากค่ะ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ยากมากมั้ยคะ มีความคิดที่จะข้องอยู่ที่จะรู้ที่จะเข้าใจ แทนที่จะไปข้องอยู่ในเรื่องโลกโลก ในเรื่องของลาภยศสรรเสริญ อย่างที่เคยต้องการ ติดข้องมา บ้างมั้ย หมายความว่าเริ่มเห็นความต่าง ของการที่อยู่มาแล้วในโลกเนี่ยนานเท่าไร ก็ข้องอยู่ในกิเลสมากเท่านั้น และขณะที่กำลังได้ฟังสิ่ง ซึ่งสามารถที่จะถึงการดับกิเลสได้หมด แต่ไม่ใช่ทันที ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ไม่ใช่ด้วยความพากเพียร ด้วยความไม่รู้อะไร คิดว่าง่าย ก็จะไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้ามีความเห็นว่า ลึกซึ้งอย่างนี้ ยากอย่างนี้นะคะ ยังข้องที่จะเข้าใจมั้ย

    ผู้ฟัง ยังข้องที่จะเข้าใจอยู่ค่ะ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ นั่นคือพระโพธิสัตว์ หรือเป็นโพธิสัตว์ค่ะ และจะเป็นโพธิสัตว์ ระดับไหน

    ผู้ฟัง ยังไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ มี ๓ ระดับนะคะ ระดับที่สูงที่สุด ไม่มีใครเปรียบได้เลย ไม่ว่าทุกยุคทุกสมัย จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว จะมีสองพระองค์ไม่ได้ เพราะความที่พระปัญญาคุณนะคะ ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย เทวดา พรหม สัตว์ทั้งหลายไม่สามารถจะเปรียบได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวสั้นๆ ว่าพระมหาสัตว์ ข้องอยู่ที่จะเป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ เพราะฉะนั้นคนฟังเนี่ยเป็นคนที่เห็นความยากอย่างยิ่งนะคะ อย่าไปรีบเป็นพระโสดาบัน หรือจะไปละกิเลสใดๆ เลย ประมาทอย่างนี้ มองไม่เห็นกิเลสชาตินี้มากเท่าไหร่ ยังไม่เห็นเลย และชาติก่อนๆ แสนโกฏฏ์กัปป์มาแล้วจะเท่าไหร่ แล้วจะดับกิเลสได้โดยไม่รู้อะไร เพียงแค่ฟังนิดๆ หน่อยๆ อยากจะเห็นการเกิดดับ ก็คิดว่าประจักษ์การเกิดดับ แต่ความจริงปัญญาอยู่ไหน ไม่ใช่คนนั้นที่จะเป็นเค้าที่จะประจักษ์การเกิดดับ แต่ต้องเป็นปัญญาระดับที่มีความเข้าใจตั้งแต่ขั้นฟัง ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้ ความเข้าใจอะไรเลย ก็ไปนั่งปฎิบัติธรรม แล้วก็คิดว่าจะดับกิเลสเป็นพระโสดาบัน นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฟังอย่างนี้แล้วนะคะ เป็นโพธิสัตว์ไหมคะ เป็น เป็นระดับไหน

    ผู้ฟัง ระดับฟัง

    ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่พระมหาสัตว์ ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ และก็ต้องอาศัยความเพียร และปัญญาระดับไหน ที่จะถึงผลอย่างนั้น แต่ว่าถ้าไม่คิดว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่รู้ได้ ดีไหม ก็ดีใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะอีกนานมาก กว่าการที่จะเป็นสาวก จนกระทั่งกว่าจะได้บำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ต่างกันมากค่ะ มหาศาล เพราะฉะนั้นเพียงแค่สักคำที่ได้เข้าใจ เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติ สะสมไป ถึงการที่จะดับกิเลสได้ โดยได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละชาติ ยังข้องอยู่มั้ย ที่จะเป็นอย่างนี้ ถ้ายังข้องอยู่ก็เป็นสาวกโพธิสัตว์ ถ้ามากกว่านี้อีกนะคะ ก็คือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หมายความว่า ในสมัยที่โลกว่าง ไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหลือเลย ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นในขณะที่โลกว่างจากพระศาสนา ว่างอยู่นานมากนะคะ แต่ก็มีผู้ที่ได้สะสมปัญญามาแล้วจากการฟัง และสามารถที่จะรู้ความจริง เพราะเหตุว่าปัญญานี่ค่ะ ใครไปจัดแจงอะไรให้เกิดเมื่อไหร่ ที่ไหนไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเป็นอนัตตา แม้แต่ขณะนี้ที่กำลังฟังธรรมเนี่ยนะคะ จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนเนี่ย ใครไปจัดระเบียบได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ อยากเข้าใจให้มากกว่านี้อีก ก็ไม่ได้ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมด นี่ค่ะ แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน เพราะฉะนั้นเมื่อได้สะสมปัญญามา สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แม้ในสมัยที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังคำของพระองค์ ปัญญาที่ได้สะสมแล้ว ถึงการสมบูรณ์พร้อมที่จะให้ผล รู้แจ้งอริยสัจธรรม คืออริยสัจจธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นตามปกติ ผู้นั้นก็สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า รู้เฉพาะตน แต่ว่าไม่ถึงปัญญาระดับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประกอบด้วยพระทศพลญาณ พระญาณทั้งหลายที่รู้อัธยาศัยของผู้ฟัง และก็ที่จะมีคำที่แสดงให้คนได้เข้าใจนะคะ โดยละเอียด โดยการทรงแสดงพระธรรมหลากหลายนัยต่างๆ เพราะฉะนั้นความต่างกันของโพธิสัตว์ จึงมีตั้งแต่พระมหาสัตว์ได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกโพธิสัตว์ ผู้ที่รู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องสะสมปัญญามานานมากนะฮะ แล้วก็สาวกโพธิสัตว์ ไม่ต้องถึงการที่จะได้ รู้ด้วยตัวเองเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ขอให้ได้มีโอกาสได้ฟัง และได้เข้าใจพระธรรม ได้รู้ความจริงในฐานะของสาวก แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากมั้ยคะเนี่ย ใครที่คิดว่ารู้ธรรมง่ายๆ เนี่ยเข้าใจผิด ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าใจพระธรรมเลยเพราะเพียงแค่สาวก ยากไหม

    ผู้ฟัง ยากค่ะ แสนกัปป์

    ท่านอาจารย์ แสนกัปป์ ท่านพระสารีบุตรนะคะ หนึ่งอสงไขยแสนกัปป์ กัปป์เนี่ยไม่ต้องประมาณว่าเท่าไหร่คะ โลกดับไปเท่าไร แตกไปเท่าไร ก็ตามแต่นะคะ ไม่ต้องไปคำนึงว่ายาวนานแค่ไหน แต่เดี๋ยวนี้เพียงฟังคำว่าธรรม และทุกอย่างเป็นธรรม ก็แค่จำได้ ยังไม่ถึงเฉพาะลักษณะ ที่กำลังเกิดดับจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็เป็นการที่จะต้องเข้าใจ ทุกอย่างทีละคำ

    ผู้ฟัง บางคนก็บอกว่า เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง อย่างเช่นมีเพื่อนแล้วก็รับคุณแม่มาดูแลที่บ้าน แล้วตัวแกเองเป็นคนใส่บาตรทุกวัน ก็เลยบอกว่าแม่อย่าใส่ตังค์ได้ไหม เพราะถ้าแกไม่ให้ชั้นเอาตังค์ใส่บาตร แล้วชาติหน้าชั้นเกิดมา แล้วชั้นจะเอาสตางค์ที่ไหนใช้อ่ะ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะว่าทั้งหมดเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจก็เป็นอย่างงี้แหละ เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะแก้นะคะ ก็คือว่าให้รู้ความจริงที่ถูกต้องแต่ถ้าใครยังคงไม่ต้องการที่จะรู้ก็เป็นอย่างงี้

    อ.คำปั่น ครับ เพราะว่าการรับเงินรับทองของพระภิกษุนี่ครับ มีโทษเป็นการล่วงละเมิดสิกขาบท ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้นะครับ แล้วก็การที่ต้องอาบัติประเภทนี้นะครับ เพราะต้องมีการกระทำคืนให้ถูกต้องตามพระวินัยด้วยนะครับ มีการสละเงินนั้น ในท่ามกลางสงฆ์นะครับ จึงจะแสดงอาบัติใด จึงจะพ้นจากอาบัตินั้น แต่ถ้าท่านรับอยู่บ่อยๆ ไม่เห็นโทษ ก็แสดงถึงความเป็นจริงว่า ท่านเป็นผู้ไม่มีความละอาย ไม่มีความเกรงกลัวต่อสิกขาบท ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่มีความเคารพในพระรัตนตรัยนะครับ เป็นการเพิ่มโทษให้กับตนเองนะครับ ซึ่งข้อความ ในพระวินัยทั้งหลายนะครับ ก็ทรงแสดงไว้ชัดเจนว่าอาบัติทุกข้อนะครับ ที่มีการล่วงละเมิด และไม่แก้ไขให้ถูกต้อง เป็นผู้ที่มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ถ้าหากว่ามรณภาพในขณะที่ยังเป็นพระภิกษุอยู่ครับ นี่ก็มีโทษที่ทรงแสดงไว้มากมายทีเดียวนะครับ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่งนะครับ สำหรับเพศพระภิกษุที่ล่วงละเมิดพระวินัยนะครับ มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้าครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะส่วนใหญ่นะคะ พวกเราคฤหัสถ์ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมเนี่ยนะคะ จะไม่รู้จักพระภิกษุ เห็นใส่ผ้าเหลืองเดินมา ตามถนนเนี่ยนะคะ ก็เข้าใจว่าบุคคลนั้นน่ะเป็นพระภิกษุ แต่ว่าตามความเป็นจริง แต่การเป็นพระภิกษุต้องประพฤติตามพระวินัย และจะประพฤติตามพระวินัยไม่ได้ ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นการบวชเนี่ยนะคะ ก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่า บวชเพื่ออะไร แค่ก่อนบวช ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ว่าบวชเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อศึกษาพระธรรม ให้เข้าใจถูกต้อง ที่จะขัดเกลากิเลส ในเพศภิกษุตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องบวช เพราะว่าคฤหัสถ์สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ ในครั้งพุทธกาลนี่ค่ะ ก็มีคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบัน ดับกิเลสนะฮะ เป็นพระอริยะบุคคล เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี ต่อเมื่อใด ได้รู้แจ้งสัจธรรมดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์จึงบวช เพราะว่าจะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระภิกษุเป็นเพศของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าถ้าไม่บวช ก็ยังจะศึกษาธรรมแล้วก็ดับกิเลส วิสาขามิคารมารดาเป็นพระโสดาบัน ท่านอนาถบิณฑเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน หมอชีวกโกมารภัตเป็นพระโสดาบัน พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้บวช เพราะฉะนั้นก่อนจะบวช ต้องถามคนที่บวช และผู้ที่จะบวชเองนะคะ ต้องรู้ตัวเอง ถ้าไม่ได้บวชเพราะจะศึกษา และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เป็นโทษอย่างยิ่ง มากกว่าที่จะเป็นคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ที่ทำผิดติดคุกเฉพาะชาตินั้น ไม่ต้องไปนรกก็ได้ ถ้าไม่ใช่กรรมที่จะทำให้ไปอบายภูมิ แต่ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือคฤหัสถ์ก็ตาม ทำกรรมที่เป็นเหตุที่จะให้ถึงการที่ไปสู่อบายภูมินะคะ ก็ต้องไป ไม่มีการที่ว่า เมื่อเป็นภิกษุแล้วจะไม่ไป เป็นภิกษุนั้นแหละ เพราะเหตุว่าไม่เคารพในพระบรมศาสดา เพราะเหตุว่าใครอนุญาตให้บวช ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระธรรม ให้เข้าใจจะบวชไหม เพราะฉะนั้นบวชต้องขออนุญาตนะคะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ อยากจะบวชก็บวชไป แต่ว่าบวชเป็นพระภิกษุในธรรมวินัย จะต้องเข้าใจพระธรรมก่อน และรู้จักตัวเองก่อน ว่าสมควรที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญาในเพศไหน ในเพศคฤหัสถ์ได้ เพราะว่าไม่สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน ไม่รับเงินรับทอง ไม่ไปทำธุรกิจการงานอย่างชาวบ้าน มุ่งตรงต่อการที่จะสละชีวิตเพื่อศึกษาธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ด้วยความเคารพ เพราะรู้ว่าพระวินัยทุกข้อ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เพื่อความอยู่อย่างผาสุกของภิกษุ สบายมากค่ะ ไม่ต้องรับเงินรับทอง ไม่ต้องเกี่ยวกับเงิน และทองทั้งสิ้น แต่มีบุญที่ได้ทำแล้ว ผู้ที่เห็นคุณของพระภิกษุ ที่สละชีวิตเพื่อพระศาสนา เพื่อศึกษา และประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ทำทุกอย่างนะคะ เราก็เห็นชาวบ้านเนี่ยใส่บาตร จนกระทั่งตามประเพณีมา ไม่รู้ว่าบุคคลผู้นั้นนะคะ เข้าใจธรรมหรือเปล่า บวชเพื่ออะไร และชีวิตที่ดำรงอยู่ในเพศภิกษุเนี่ย เป็นไปอย่างคฤหัสถ์หรือเปล่า หรือว่าเป็นไปตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่คฤหัสถ์ ซึ่งเป็นพุทธบริษัทนะคะ ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมได้เข้าใจพระธรรม ควรที่จะดำรงรักษาพระธรรมให้มั่นคง ด้วยการที่เข้าใจทั้งธรรม และวินัยด้วย อย่างเมื่อกี้นี้ตัวอย่างเนี่ยนะคะ ที่คุณแม่ใส่เงินให้พระภิกษุนะคะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจจริงๆ นะคะ แต่ถ้าลูกรู้ความจริงแล้วบอกแม่ว่า ถ้าแม่ให้เงินพระ พระตกนรก เพราะฉะนั้นถ้าแม่หวังดีต่อพระ ไม่ต้องการให้พระตกนรก ก็อย่าใส่เงิน เพราะว่าเงินที่แม่ให้เนี่ยพระตกนรก เพราะแม่เป็นผู้ให้ พระรับ แต่ถ้าแม่ไม่ให้คนอื่นให้พระตกนรก เพราะคนอื่นที่ให้ ก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเนี่ยนะคะ ไม่ใช่เพียงแค่รับเงินรับทอง แต่การรับเงินรับทองเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะนำมาสู่อาบัติทั้งหลาย ศีลที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ ให้พระภิกษุประพฤติปฏิบัติตาม เป็นพระวินัยที่ต้องสวดเป็นพระปาติโมกข์ ทุกกึ่งเดือน เพื่อทบทวน ให้ผู้ที่เป็นภิกษุได้รู้ตัวว่า ผิดพลาดพลั้งเผลอในพระวินัยข้อใดบ้าง แต่ว่าตามความเป็นจริงนะคะ ถ้าเป็นผู้ที่สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เป็นพระภิกษุจริงๆ รู้ตัวเองตั้งแต่ก่อนบวช และในระหว่างที่บวชก็ต้องรู้ตัวเองด้วยว่า ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย และก็มีการทบทวนพระวินัย สวดพระปาติโมกข์เนี่ยนะคะ ให้คำแปลพระปาติโมกข์หน่อยสิคะคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ครับก็คือสิกขาบทที่เป็นประธานของสิกขาบททั้งหลาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ที่ภิกษุจะได้ศึกษา และน้อมประพฤติปฏิบัติตามครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะว่าต้องเตือน ทุกกึ่งเดือน จะบอกว่าไม่รู้ได้ไหม ไม่รู้ไม่ได้ตั้งแต่บวช ต้องศึกษาก่อน มีผู้ให้คำแนะนำที่ดีมากนะคะ เขาก็บอกว่าใครก็ตามที่จะบวช ให้ทำเหมือนพระซะก่อน ยังไม่ต้องบวช ทำให้เหมือนเลย สิกขาบททั้งหมด ๒๒๗ ข้อ และศึกษาธรรมด้วย เมื่อเข้าใจ และปฏิบัติตามได้นะคะ จึงสมควรบวช และสำหรับพระภิกษุนะคะ ไม่ได้มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ เช่น มีรถยนต์ มีเงินทอง มีที่ดิน มีต่างๆ เหล่านี้นะคะ นั่นคือคฤหัสถ์ไม่ใช่พระภิกษุ แล้วจะไปไหนถ้าไม่เป็นผู้ตรง เพราะว่าเพศเป็นภิกษุ แต่ความประพฤติทุกวันไม่ใช่ภิกษุ ด้วยเหตุนี้เป็นการถูกต้องมั้ย ที่จะให้พุทธบริษัทนี่ได้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัย ด้วยความหวังดี ต่อบุคคลนั้นๆ ด้วย และด้วยความหวังดี ที่จะให้พระธรรมวินัย มั่นคงสืบต่อไปด้วย เพราะเหตุว่าอ้างว่าถ้าไม่มีการให้เงินพระ พระจะอยู่ได้อย่างไร พระอยู่ไม่ได้ก็เป็นคฤหัสถ์ เพราะเหตุผู้ที่จะอยู่ได้รักษาพระธรรมวินัยได้จึงควรอยู่ เพราะว่าถ้าไม่ประพฤติตามนั้น เป็นโทษอย่างยิ่งค่ะ แล้วเราอยากจะให้ใครได้รับโทษอย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นหวังดี หรือเปล่าคะ ถ้าหวังดีก็พูดสิ่งที่ถูกต้อง ให้คนได้เข้าใจถูกต้อง จะว่าเราว่าพระหรือ หรือว่าให้เข้าใจถูกต้องว่าพระภิกษุต้องเป็นอย่างนี้ นี่ด้วยความหวังดี ไม่ใช่ว่าปล่อยไป ให้ใครจะทำยังไงก็ได้ จนดูเหมือนว่า สำหรับพระภิกษุที่ ไม่รักษาพระธรรมวินัยนะคะ ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง เว้นไม่ศึกษาธรรม และก้อไม่ประพฤติตามพระวินัย แต่ทำอย่างอื่นหมด แล้วอย่างนี้อ่ะค่ะควรพูดมั้ย หรือควรนิ่งๆ เฉยๆ ไม่หวังดีกับใครเลยเหรอคะ แล้วรู้ไหมว่านั่นคือความเห็นแก่ตัว โดยไม่รู้ตัว จะขัดเกลากิเลส แต่ยังห่วงเดี๋ยวเขาจะว่าเราบ้าง เดี๋ยวจะอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง นี่คือความรักตัว แต่ทำไมไม่คิดถึงความถูกต้อง ไม่คิดถึงพระธรรมซึ่งมีโอกาสจะได้ยินได้ฟัง แล้วทำลาย โดยไม่ศึกษา หรือว่าพูดผิดๆ ให้คนอื่นเข้าใจผิดๆ ผ้ายันต์ ผ้าธรรมดา ถูกไหม ถูกหรือไม่ถูกคะ ผ้ายันต์ เป็นผ้าธรรมดาถูกไหม แล้วใครไปทำให้เป็นผ้าวิเศษ แล้วคนที่ทำเนี่ยเป็นคนวิเศษหรือเปล่า จึงได้ทำให้ผ้านั้นวิเศษ ทุกอย่างนะคะ ต้องเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ นะคะ มิฉะนั้นก็อยู่ในความไม่ถูกต้องตลอดไป แต่ถ้าเป็นผู้ที่คิดถูก ไม่เห็นแก่ตัว พูดถูกตรงตามความเป็นจริง และพระธรรมวินัย และทำถูกด้วย ผิดอะไร ควรทำหรือไม่ควรทำ หรือว่ายังรักตัวอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวเขาจะว่าบ้าง เดี๋ยวจะถูกทำร้ายบ้าง หรืออะไรบ้าง ไม่ต้องกลัวเลยค่ะ ความดีเป็นสิ่งซึ่ง ไม่ได้นำสิ่งที่เป็นผลร้ายมาให้เลย

    อ.คำปั่น ความเป็นจริงของชีวิตนะครับ ที่มีการเกิดมามีบุคคลในภพนี้ชาตินี้ครับ และก็ในพิสูจน์แล้วนะครับ ก็จะต้องลาจากโลกนี้ไป ซึ่งในความคิดความเห็นของผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมเนี่ยนะครับ ก็จะมีหลากหลาย แตกต่างกันออกไปนะครับ บางคนก็บอกว่าตายแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เกิดหรือเปล่า หรือว่าตายแล้วไม่เกิดเลยก็มี ในความคิดความเห็น ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่ว่าพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็คือตราบใดก็ตาม ที่ยังมีอวิชา คือความไม่รู้อยู่ และยังมีความติดข้องคือโลภะอยู่ ก็ยังต้องมีการเกิดอยู่ร่ำไป กราบเรียนท่านอาจารย์ ในความละเอียดของพระธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ ความละเอียดนี้คงยาก เพราะว่าต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างในขณะนี้ซึ่งยากที่จะรู้ได้ค่ะ เพราะว่าเพียงแต่ฟังตอนแรกๆ นะคะ ยังหาความจริงไม่เจอ ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็มีสิ่งที่มีจริง ถ้าแตะที่ร่างกายของเรานะคะ จริงหรือเปล่า ก็ไม่รู้ เห็นไหมคะทุกอย่างเนี่ยไม่รู้ไปหมด แล้วจะไปหาความจริง และก็มีการคิดว่าข้างหน้าต่อไป ขณะที่ตายแล้วจะไปไหน ยังไปคิดถึงแต่ก่อนนี้ แล้วเคยเกิดเป็นอะไร อยู่ที่ไหนแล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ ไม่สนใจที่จะเข้าใจที่จะรู้ เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่จะรู้ได้ ถ้าไม่รู้ความจริงในขณะนี้ก่อนนะคะ และทุกอย่างนี่ค่ะ ถ้าศึกษาธรรมจริงๆ แล้วก็ตอบเนี่ยจะเห็นได้ว่า ตอบได้หลายอย่าง อย่างตายแล้วไม่เกิดได้ไหม ได้ก็มี ไม่ได้ก็มี ถ้าจะบอกว่าถูกทั้งสองอย่างก็ได้ใช่ไหมคะ ไม่เกิดเมื่อเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดแล้ว ไม่มีปัจจัยเชื้อของกิเลสที่จะทำให้เกิดอีกได้เลย แต่ว่าคนนั้นเข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่า เวลาตอบว่าตายแล้วไม่เกิด เพราะฉะนั้นคำพูดนี่ ไม่ได้ส่องไปถึงความเข้าใจ เพราะว่าบางคนที่คิดว่าตายแล้วไม่เกิดจะเกิดได้ยังไง ก็เชื่อเอง โดยที่ไม่มีความเข้าใจในเหตุผลว่า อะไรที่ทำให้เกิด และอะไรที่ทำให้ไม่เกิดอีกต่อไป เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้นถ้าฟังแล้วเข้าใจ ไม่ว่าจะถามหรือตอบอย่างไร ก็ตอบตามความเป็นจริงโดยนัยต่างๆ เพราะฉะนั้นตายแล้วต้องเกิด ก็เพราะยังมีกิเลสอยู่ ก็ต้องเกิด แต่ตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก ก็คือหมดกิเลสแล้ว จะเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจธรรมนะคะ แล้วก็รู้ว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะดับกิเลสได้ แล้วไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ตามปกติ เป็นไปได้ไหม นี่ค่ะต้องไตร่ตรอง เห็นไหมคะ จะดับกิเลส หมดกิเลส โดยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าถ้าขณะนี้ไม่รู้แล้ว เมื่อไหร่จะรู้ แล้วถ้ายังไม่รู้ต่อไป กิเลสก็ยังคงมีต่อไป เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดนะคะ ก็คือฟังแล้วก็มีความตรง ว่ากิเลสมีมาก และถ้าจะเข้าใจจริงๆ ต้องเป็นปกติเดี๋ยวนี้ โดยไม่ใช่เรา จะไม่มีความเป็นเราเนี่ยแฝงอยู่นะคะ เพราะเหตุว่าการดับกิเลส ก็คือดับความเข้าใจผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เห็นนี่ค่ะ กำลังเป็นเราที่เห็น จนกว่าขณะนี้ไม่ใช่เราที่เห็น ไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ท่อง ไม่ใช่คิดนะคะ แต่ค่อยๆ ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น อวิชาที่เรากล่าวถึงเมื่อเช้านี้อ่ะค่ะ ทำไมเราไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ความจริงก็คือเกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะเหตุว่าต่อกันนะคะ อันไหนล่ะค่ะ อันดับไป อันไหนล่ะคะเกิดต่อ สืบต่อเร็ว แน่นมาก เพราะฉะนั้นก็ยากที่จะรู้ได้ ต้องอาศัยปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจเท่านั้น หนทางอื่นไม่มีทางที่จะไปทำให้สภาพธรรม ปรากฏตามความเป็นจริงอย่างนี้ได้ เพราะเหตุว่าต้องปรากฏกับปัญญา ความเห็นถูกความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ความติดข้อง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา ฟังจนกระทั่งมั่นคงนะคะ ว่าเดี๋ยวนี้มีจริง เกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย และก็ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ฟังเมื่อไหร่ที่ไหน ข้อความใด ก็เพื่อที่จะนำมาสู่ความเข้าใจสภาพธรรม ที่กำลังเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับแล้วจริงๆ ทั้งหมด แต่จะไม่รู้นะคะ ถ้าได้เข้าใจตามลำดับขั้นค่ะ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่นะคะ ลาภยศสรรเสริญสุขกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย พระเหตุว่าวันนึงก็ต้องสูญไป ถึงแม้ขณะนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นของใคร เพียงแค่ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยินเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้น ก็คือว่ามีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม และเข้าใจพระธรรม และดำรงรักษาพระศาสนาไว้ต่อไป


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    8 พ.ค. 2567