ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931


    ตอนที่ ๙๓๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงละครวังหน้า

    วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ชีวิตของบรรพชิตซึ่งเป็นพระภิกษุในธรรมวินัยกับชีวิตของคฤหัสถ์ ต่างกันเหมือนฟ้ากับดินถึงอย่างนั้น ตั้งแต่ลืมตาจนหลับ ถ้าผู้ใดก็ตามมีความเคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้ ผู้นั้นสมควรบวช แต่ถ้าไม่เห็นพระคุณแล้วคิดอยากจะบวช แค่อยากจะบวช ไม่ต้องบวชก็ศึกษาธรรมได้ ฟังธรรมได้ เจริญกุศลทุกประการได้ เป็นพระอริยบุคคลถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคลได้ เหลืออีกขั้นเดียวคือความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเมื่อไรที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอรหันต์จะไม่มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป โดยเพศ โดยความเป็นจริงที่ว่าไม่สามารถที่จะเหมือนอย่างคฤหัสถ์อยู่ร่วมกับคฤหัสถ์ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่สามารถจะอยู่ร่วมกับผู้ที่หมดกิเลสด้วยกัน และผู้ที่บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุต้องรู้ว่าทุกคนต้องเป็นผู้ที่สะอาด หรือว่ายังมีกิเลสอยู่ แต่ก็รู้ว่าจะสะอาดได้ด้วยการมีชีวิตอย่างไร ซึ่งต่างกัน บรรพชิตก็สะอาดอย่างบรรพชิต หมายความว่ามีพระวินัยเพิ่มขึ้นมากกว่าชีวิตของคฤหัสถ์ เพราะความจริงใจที่จะขัดเกลากิเลสในเพศนั้นได้ และสำหรับคฤหัสถ์ก็เป็นผู้ที่รู้ว่าพระธรรมยาก ลึกซึ้ง กิเลสก็มี แต่ว่าปัญญาที่เจริญท่ามกลางกิเลส ก็ยังสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะเหตุว่าปัญญามีกำลัง จึงสามารถดับกิเลสได้ ถ้าปัญญาไม่มีกำลังอะไรจะไปดับกิเลสได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะมีปัญญาได้ง่ายๆ แต่ต้องเป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงว่า ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีคำสอน จะไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นเบื้องต้นของคำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่มีจริง ตามลำดับไปตั้งแต่จริงเพราะเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะว่าไม่ซ้ำกันเลย แล้วก็หลากหลายมาก ทุกวันทุกขณะก็เป็นสิ่งที่ละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมมาก่อนแล้วก็ไม่เข้าใจความละเอียด ไม่เข้าใจความลึกซึ้ง ไม่เข้าใจความบริสุทธิ์ของเพศบรรพชิต บวชเพื่ออะไร คนที่อยากบวช

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วไม่มีคนอยากบวช แต่ถูกเกณฑ์ไปบวช

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่อยากบวชมีมากใช่หรือไม่ ผู้ที่บวชนี้เพราะอยากทั้งนั้น ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจอะไรทั้งสิ้น เหมือนกับคนที่ไปปฏิบัติธรรมไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นแต่อยากไป แล้วจะชื่อว่าปฏิบัติธรรมหรือ เพราะฉะนั้นพระศาสนาไม่ใช่เพียงคำพูด พุทธะคือปัญญา ศาสนาคำสอนของผู้ที่ทรงปัญญาเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เพียงว่าเราพูดว่าเป็นชาวพุทธ หรือว่านับถือพุทธแต่ไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาคือคำสอนเพื่อให้เข้าใจถูก ถ้าไม่มีความเข้าใจแล้วบวชทำไม บวชเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไรบ้าง และต้องศึกษาพระธรรมด้วย เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรมจะประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสได้อย่างไร และถ้ายังมีกิเลสอยู่จะเข้าใจธรรมในเพศบรรพชิตได้อย่างไร เพราะเหตุว่าต้องต่างกันใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าจะบวชเพราะอะไร อยากบวช คนนั้นไม่ได้นับถือไม่ได้เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าสอนว่าอะไร เพียงแต่อยากบวช

    เพราะฉะนั้นใครก็ตามในครั้งพุทธกาล ได้ฟังพระธรรมก่อน รู้จักอัธยาศัยของตนเอง เพราะว่าผู้ที่ศึกษาธรรมฟังธรรมมีทั้งภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ก่อนที่จะทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณีได้ ก่อนนั้นก็มีแค่ภิกษุแล้วก็อุบาสกอุบาสิกา แต่ก็มีความละเอียดมาก ว่าเพราะเหตุใด กว่าพระนางมหาปชาบดีจะได้รับอนุญาตให้บวช พระอานนท์ต้องทูลขอ จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสให้เห็นว่าเป็นการยาก ไม่สมควรที่จะดำรงพระศาสนาไว้ ถ้ายังมีพระภิกษุณีอยู่ ศาสนาก็จะมั่นคงน้อยลง ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่ว่าผู้ที่จะเคารพพระรัตนตรัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ต้องเป็นผู้ที่รู้คุณ และก็รู้จักตัวเองเพียงพอว่าสามารถที่จะมีชีวิตในเพศของบรรพชิตต่อไปได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ลาสิกขาบท ไม่มีใครว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าแต่ละคนไม่ใช่ถูกใครนำไปบวช ไม่ถูกใครบอกให้บวช ไม่ถูกใครชวนให้บวช แต่เป็นผู้ที่รู้ว่าบวชคืออะไร เพราะฉะนั้นการกระทำที่เป็นการชักชวนใครให้บวชถูกต้องหรือไม่

    อ.วิชัย ตัวผมเองก็ยังไม่เคยบวช แต่ก็เคยคิด ก็เป็นความอยากเป็นความต้องการ แล้วคิดว่าเมื่อบวชแล้วก็จะเหมือนกับเป็นผู้ขัดเกลากิเลส มีกิเลสน้อยลง เป็นผู้ที่สงบ ก็เป็นเรื่องของการปรุงแต่งของความคิด ความคาดหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจในทั้งพระธรรม และพระวินัยด้วย

    ท่านอาจารย์ ก็ดีที่ยังไม่บวชตอนที่ยังไม่ได้เข้าใจธรรม

    อ.วิชัย เมื่อเข้าใจธรรมมากขึ้นก็จะเห็นถึงการสะสมความพอใจของตัวเอง ว่ายังไม่มีอัธยาศัยอย่างนั้นที่จะเป็นอย่างนั้นได้

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นความถูกต้อง อยากบวชเพราะหวังว่าจะรู้ใช่หรือไม่ แต่พอรู้แล้วรู้ตัวเองว่าไม่เหมาะ อัธยาศัยไม่ได้สะสมมาที่จะศึกษาขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ก็ไม่บวช ไม่ทำให้พระธรรมวินัยเศร้าหมอง เพราะว่าการบวชโดยไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นบวชทำไม

    อ.ธีรพันธ์ มีคำถามว่า การฟังธรรมในขณะที่ยังติดกับการสวดมนต์ และนับจำนวนการสวดด้วย จะขัดกับการฟังธรรมหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อจะสวดมนต์หรือฟังธรรมเพื่ออะไร และสวดคืออะไร มนต์คืออะไร พระพุทธศาสนาไม่ใช่สอนให้ไม่รู้ แต่สอนให้เข้าใจทุกคำ เป็นคำที่นำมาซึ่งความเห็นถูกความเข้าใจถูก แม้แต่คำว่าสวด เป็นคำภาษาไทย ประเทศอื่นเขาสวดกันหรือไม่ ที่นับถือพุทธศาสนาก็สวด แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาว่าเข้าใจอะไรหรือไม่ เพราะฉะนั้นตามยุคสมัยเดิมที่มีการฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีความเข้าใจธรรมแล้ว เขาทำอะไร

    อ.วิชัย ก็จะมีการคิดพิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าฟังพอหรือไม่ แต่ว่าตอนแรกฟังแค่นี้ก็แค่นี้จริงๆ ออกไปข้างนอกก็ลืมหมด ลืมเรื่องที่ฟังแล้วก็ไม่คิดถึง แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไตร่ตรองมีความเข้าใจมั่นคงจะระลึกหรือคิดถึงคำที่ได้ฟังหรือไม่ ไม่ใช่บังคับให้ใครสวดใช่หรือไม่ แต่เป็นการทบทวนสาธยายสิ่งที่ได้ฟัง เพื่อความเข้าใจที่มั่นคง และชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นต้องมีการบังคับหรือไม่ จะเกิดเมื่อไรก็ได้ใช่หรือไม่ หรือว่าต้องทำพร้อมๆ กัน

    อ.วิชัย ท่านผู้ที่เขียนปัญหา ท่านว่ายังมีความติดในการที่จะสวดแสดงว่ายังติดความพอใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงได้ถามว่าฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อสวดมนต์หรือเพื่ออะไร เพราะว่าสวดมนต์โดยไม่ฟังธรรมนี้มากใช่หรือไม่ แต่ผู้ที่ฟังธรรม ฟังเพื่อจะสวดมนต์เหมือนเดิมหรือว่าฟังเพื่ออะไร ถ้าไม่เป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ ไม่ได้สาระจากธรรม เพราะทุกคำของพระธรรม เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง แล้วจะไม่ให้กล่าวถึงธรรมตามพระธรรมวินัยหรือพระธรรมก็ย่อมไม่รุ่งเรือง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบวช เรื่องของการที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และเรื่องของธรรมซึ่งไม่ใช่ธรรม เช่น ปฏิบัติธรรมพวกนี้ก็ควรที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้องว่าความจริงเป็นอย่างไร เพราะธรรมยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร เขาบอกว่าปฎิบัติก็ปฎิบัติ อย่างนั้นหรือเป็นคำสอน แล้วพระธรรมจะรุ่งเรืองได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นเรื่องของการบวช หรือการสวดมนต์ก็เช่นเดียวกัน ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรองจริงๆ ว่ามนต์คืออะไร คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคำของใครก็ได้เป็นภาษาอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ

    อ.สงบ แปลว่าปัญญาใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ แล้วมาจากไหน

    อ.สงบ ก็เป็นจากคำสอนของพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีคำที่ทำให้เข้าใจได้หรือไม่

    อ.สงบ เข้าใจได้ก็คือพระธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสวดเพื่ออะไร

    อ.สงบ ก็ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสวดคือสาธยายทบทวนใช่หรือไม่ เพราะถ้าไม่เคยฟัง เอาอะไรมาคิด แต่เมื่อฟังแล้วยังต้องคิดไตร่ตรองโดยความเป็นอนัตตา ถึงความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ว่าไม่ใช่การบังคับบัญชา ไม่ใช่เรื่องการชักชวนให้ทำสิ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่ทั้งหมด เป็นเรื่องของปัญญาที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้วสวดมนต์เพื่ออะไร หรือว่าฟังธรรมเพื่ออะไร มีคำถามต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด และตรง และจริงใจจะได้ประโยชน์สาระจากพระธรรม

    อ.วิชัย อยากทราบความเห็นจากบุคคลที่ถามว่าฟังแล้วเข้าใจหรือไม่ เพราะว่าเรื่องของการที่จะรู้ความประพฤติเป็นไปว่าการกระทำนั้น ดีหรือถูกต้อง ต้องเป็นเรื่องของปัญญาคือความรู้

    ท่านอาจารย์ อย่าลืมว่าส่วนใหญ่เพียงต้องการคำตอบ แต่ต้องการความเข้าใจหรือไม่ หรือเพียงให้ตอบแล้วก็จบไปเป็นข้อๆ แต่ว่าความเข้าใจ เข้าใจจริงๆ ลึกซึ้ง ไตร่ตรอง มั่นคง เพราะว่าการฟังธรรมไม่ใช่ว่าเผิน ฟังแล้วก็จบไม่ใช่อย่างนั้น ต้องรอบรู้ในปริยัติคือพระพุทธพจน์ และแทงตลอดในแต่ละคำ เช่น คำว่าธรรมคำเดียว สิ่งที่มีจริงทุกอย่างขณะนี้เกิดแล้วจึงปรากฏ ลึกซึ้งหรือไม่ ไม่ใช่ของใคร เกิดแล้วก็ดับทันทีเร็วกว่าที่ใครจะคาด หรือว่าจะประมาณได้ ขณะนี้เหมือนไม่มีอะไรดับ เร็วจนอย่างนั้น เพียง ๑ ที่ปรากฏแล้วดับ แต่นี่มากมาย หมายความว่าแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เกิดดับเร็วแค่ไหน สามารถที่จะทำให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเหมือนภาพลวงตา ซึ่งความจริงแล้วก็ปรากฏเป็นนิมิต ให้เห็นว่าเที่ยงยั่งยืน แต่ความจริงแล้ว ถ้าไม่มีธาตุรู้ คือไม่มีจิตซึ่งมีจริงๆ เดี๋ยวนี้กำลังเห็นเป็นจิต กำลังได้ยินเป็นจิต เป็นธาตุรู้เสียงธาตุรู้สิ่งที่ปรากฏ ธาตุที่รู้อะไรก็ตามแต่ แม้แต่นึกคิดก็กำลังรู้เรื่องที่กำลังนึกคิดนั้น ถ้าไม่มีธาตุรู้ก็ไม่มีโลกก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องเป็นผู้ที่รู้ตามความเป็นจริง ถ้าไม่ได้ฟัง คิดแล้วว่ารู้ คิดแล้วว่าเข้าใจ สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นการจะเห็นพระคุณ หรือการจะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจธรรม แล้วจะสวดหรือ จะสวดอะไร มงคลสูตร หรือรัตนสูตร เข้าใจอะไรหรือไม่ หรือว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก สวดเพราะว่าจะได้สบายใจ สวดเพราะเหตุว่าจะได้ลาภผลอย่างนั้นหรือไม่

    อ.ธีรพันธ์ จริงๆ แล้วไม่ใช่จุดประสงค์ที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แต่เป็นอย่างนั้นหรือไม่ที่สวด

    อ.ธีรพันธ์ เป็น

    ท่านอาจารย์ เมื่อไม่เข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจแล้วไม่ได้สวดอย่างที่ชาวบ้านสวด แต่ละคำเข้าใจพอหรือยัง ไตร่ตรอง

    อ.วิชัย ก็เป็นความละเอียด การนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัย แม้ในขณะนี้เมื่อเข้าใจ บุคคลใดที่จะแสดงสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงให้เข้าใจได้ เมื่อเข้าใจขณะนั้นนอบน้อมบูชาเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้นั่งในขณะนี้เลยใช่หรือไม่ โดยที่ไม่ต้องสวด แต่ว่าเหตุปัจจัยของคนที่จะกล่าวสาธยายธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาด้วยความเคารพด้วยความเข้าใจก็เป็นปัญญาของบุคคลนั้น แล้วแต่ปัจจัยที่จะให้มีความประพฤติเป็นไปอย่างไร แต่ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของปัญญาที่จะรู้ว่าความประพฤติเป็นไปอย่างนั้น มีความตรงมากน้อยแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ ต้องเห็นความลึกซึ้งแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จากความเป็นปุถุชน แล้วก็จะเป็นพระอริยบุคคลผู้ดับกิเลส คือการไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ทุกวันทุกขณะ แล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย จะหมดสิ้นไปต้องด้วยปัญญา ซึ่งไม่ใช่ด้วยการสวดมนต์ หรือพูดคำที่ไม่รู้จัก และหวังประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดจากการสวด ถ้าไม่หวัง จะสวดหรือไม่

    อ.ธีรพันธ์ ส่วนใหญ่ก็เป็นการหวัง

    ท่านอาจารย์ เพราะสวดคำที่ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นต้องหวังถึงจะไปพูดคำที่ไม่รู้จักได้

    ผู้ฟัง มนต์ แปลว่าปัญญา มีความคิดเอาเองว่า สวดบทพุทธคุณแล้วจะชื่อว่าสรรเสริญพุทธคุณ

    ท่านอาจารย์ แค่พูดหรือ แล้วไม่เข้าใจคุณ อะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน เริ่มฟังพระธรรมค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็เข้าใจความหมายของคำที่สวด เห็นเขาสาธยายธรรม ไม่รู้เรื่องเลยก็สาธยายตาม เป็นประโยชน์หรือไม่ แทนที่จะรู้ทุกคำที่เขาสาธยาย แต่ถ้าผู้นั้นไม่เข้าใจก็ไม่ชื่อว่าสาธยาย ไม่มีปัญญา ในขณะที่กำลังใช้คำว่าสวดหรือสาธยาย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางอื่นอีก ถ้าหากไม่ได้ฟังพระธรรมแล้วก็ไม่ได้ไตร่ตรอง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจ และความเข้าใจก็ไม่ได้เกิดเร็ว แต่ทีละเล็กทีละน้อย ที่ได้ยินได้ฟังว่า ท่ามกลางอกุศลจำนวนมาก ซึ่งอกุศล ถ้าอุปมาแล้ว มหาสมุทรก็ยังน้อยแล้วเราไปอยู่ตรงกลางที่มีภัย แต่ถ้าเกิดว่าขณะนั้นมีปัญญาเกิดด้วยแล้วก็มีความเข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ พระมหาชนก ก็เพียรว่ายไปในมหาสมุทรจนกว่าจะถึงฝั่ง

    ผู้ฟัง ท่านบอกว่าไม่เห็นฝั่ง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้จักว่า ฝั่งคืออะไร แล้วเพียรไปไหน เพียรไม่รู้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่เพราะรู้ประโยชน์ และรู้ว่าประโยชน์ลึกซึ้ง แต่ว่าสามารถที่จะเข้าถึงได้เมื่อเจริญขึ้น ก็เพียรไปเป็นวิริยบารมี เป็นขันติบารมี เป็นสัจจบารมี เป็นอธิษฐานบารมี เป็นเนกขัมมบารมีทุกอย่าง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดไม่เข้าใจแม้กระทั่งอยู่กลางมหาสมุทร การฟังธรรมเท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจว่า เนกขัมมบารมีคืออะไร แล้วจึงจะเจริญ เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรหรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่ อกุศลรอบตัว

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คำพูดของเราเอง แต่เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอฆะ ๔ ห้วงน้ำใหญ่ ๔ ที่กำลังอยู่ทุกวัน แล้วจะพ้นจากห้วงน้ำใหญ่ก็ด้วยพระธรรมที่ทรงแสดงไว้

    ผู้ฟัง ก็นอกจากได้ยินได้ฟังพระธรรมมาบ้างว่าได้ยินทางหูก็ดี ในขณะนี้ไม่ใช่กุศลเกิดทั้งหมด แล้วทางตาก็ดีขณะนั้นความติดข้องเป็นห้วงน้ำ

    ท่านอาจารย์ ที่ทรงอุปมาห้วงน้ำใหญ่ เพราะเหตุว่าเราเห็นห้วงน้ำใหญ่ใช่หรือไม่ เพราะว่าใหญ่มาก แต่เราไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นครั้งหนึ่งกิเลสเกิดแล้ว ได้ยินครั้งหนึ่งกิเลสเกิดแล้ว แล้วทั้งวันเห็นเท่าไหร่ได้ยินเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจะมากมายอุปมาเหมือนอยู่ในห้วงน้ำใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่

    อ.วิชัย ขณะนี้ก็มีธรรมที่ปรากฏ ถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจในสิ่งที่มีขณะนี้ แล้วจะให้เข้าใจเมื่อไร

    ท่านอาจารย์ ที่จริงเป็นปัญหาในชีวิตประจำวัน เพราะว่าทุกคนก็เคยสวดมนต์มาแล้ว มากบ้างน้อยบ้างก่อนที่จะได้เข้าใจธรรม และหลังจากที่เข้าใจธรรมแล้ว แต่ก็ต้องเข้าใจว่าในขณะที่สวด สวดเพื่ออะไร เช่นคำว่า นโมตัสสะ ภะคะวะโต อย่างนี้เขาก็ว่าเป็นการสวดมนต์ใช่หรือไม่ เป็นการนอบน้อมต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นโม คือ นอบน้อม ตัสสะคือพระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ หรือจะใช้คำว่าพระองค์นั้น เพราะมีหลายพระองค์ก็ได้ นโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ก็เป็นคำที่เรากล่าวบ่อยๆ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นการแสดงความนอบน้อมต่อพระองค์ในชีวิตประจำวัน เมื่อเข้าใจธรรมก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าในขณะนั้นเป็นกุศลธรรม เป็นกุศลจิตที่ระลึกถึงพระคุณ จริงๆ แล้วในขณะที่ฟังธรรม เข้าใจธรรมเมื่อไร ระลึกถึงพระคุณเมื่อนั้นใช่หรือไม่ ใครที่จะทำให้เข้าใจแม้แต่คำว่าธรรมสิ่งที่มีจริง ใครที่เป็นผู้ที่แสดงความจริงว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้ และใครเป็นผู้ที่แสดงความจริงว่าสิ่งที่เกิดขณะนี้ดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณ จนกระทั่งเป็นนิมิตให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นจริงในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นอย่างนี้ได้เพราะอะไร ถ้าไม่มีจิตธาตุรู้เกิดขึ้น โลกไม่ปรากฏไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่ขณะนี้เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้นจึงเห็น จึงได้ยิน จึงได้กลิ่น จึงลิ้มรส จึงรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสจึงคิดนึก วนเวียนอยู่แต่ในเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ แล้ววันหนึ่งก็จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เพราะบุคคลนี้มาแต่ไหน ก็คือการเกิดดับสืบต่อของจิต เจตสิก ตั้งแต่เกิดจนตาย ตามกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วว่าจะเป็นบุคคลนี้นานเท่าไร และก็ระหว่างที่ยังเป็นบุคคลนี้อยู่ อะไรเป็นประโยชน์สูงสุด ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้เคยฟังธรรมมาก่อน จะเห็นประโยชน์ของการฟังแล้วฟังอีกเพื่อที่จะได้เข้าใจหรือไม่ เพราะฉะนั้นการฟัง และความเข้าใจแต่ละครั้ง ไม่สูญหายไป ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตขณะใด ประเภทใดก็ตาม สะสมสืบต่อในจิตทุกขณะ พร้อมที่จะเกิดถึงแสนโกฏกัปมาแล้ว ก็ยังมีผลที่จะทำให้ จิตขณะนี้คิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ แล้วก็สืบต่อไปข้างหน้าด้วย

    นี่คือการแสดงความจริง ซึ่งทุกคนก็เห็นวา เกิดแล้วก็ต้องตาย แล้วระหว่างที่ยังไม่ตายทำอะไรบ้าง ดีชั่ว ไม่ว่าจะชื่ออะไร ยศศักดิ์ที่ติดข้องกันนักหนา มากมายมหาศาลเป็นอะไรก็ตาม แต่ธรรมก็ต้องเป็นธรรม ธรรมที่เป็นกุศลก็เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศลก็เป็นอกุศล แล้วใครบอกให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้ได้ ที่จะเห็นประโยชน์ของการที่สิ่งที่ทำในชาตินี้ทั้งหมดก็จะสืบต่อไปถึงชาติต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าดีทุกขณะบ่อยๆ ในชาตินี้ ไม่สูญหายสืบต่อไปถึงชาติต่อไป แม้แต่ความเข้าใจถูก ไม่ไปหลงผิด เข้าใจผิด ติดข้องในความเป็นเรา ในความไม่รู้ เช่น การสวดมนต์ที่เป็นภาษาที่เราไม่เข้าใจ กับการที่จะศึกษาแม้มงคลสูตรทั้งหมด แต่ละข้อ ความละเอียด ความลึกซึ้งมีอย่างไร ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เริ่มต้นจากไม่คบคนพาล คนที่มีความเห็นผิด คนที่ความประพฤติไม่ดี ยังไม่พอ ยังต้องคบบัณฑิตคือผู้ที่สามารถที่จะทำให้ชีวิตเจริญขึ้น แล้วก็รู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะได้คบกัลยาณมิตร เพราะเหตุว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรสูงสุดของทุกคนที่ไม่ได้เคยหวังร้ายต่อใครทั้งสิ้น ทุกอย่างที่ให้เป็นคำจริงสำหรับชาวโลกที่จะได้เกิดปัญญา และก็เมื่อมีการสะสมความเข้าใจเป็นมงคลทุกข้อ ก็จะถึงอันดับที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมที่สุดของมงคล เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่สวดเฉยๆ แล้วก็ไม่รู้อะไร แล้วสวดเพราะคิดว่าเราก็จะได้เจริญขึ้นเพราะเราสวดมงคลสูตร แต่ว่าไม่รู้ว่าความเจริญคืออะไร อย่างนั้นก็ไม่ใช่พระประสงค์ของการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เราได้เข้าใจความจริงตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    1 เม.ย. 2568