ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903


    ตอนที่ ๙๐๓

    สนทนาธรรม ที่ ชลพฤกษ์รีสอร์ท จ.นครนายก

    วันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙


    อ.ณภัทร กราบท่านอาจารย์ โทษของความติดข้องในทุกๆ สิ่งที่ปรากฏด้วยความไม่รู้ แม้กระทั่งพวกเรามาฟังความจริงของเห็น ความจริงของได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้กระทั่งได้ฟัง แต่ในชีวิตประจำวัน ความจริงเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏด้วยดี

    เพราะฉะนั้นก็กล่าวได้ว่าแม้กระทั่งฟัง ก็ยังไม่รู้ความจริงของเห็น ไม่รู้ความจริงของได้ยิน จึงยึดถือว่าเป็นเรา ปัญญาที่จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ที่จะค่อยๆ ละความเป็นเรา ปัญญาก็ต้องเจริญจากการที่ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วก็เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ไม่ได้เห็นว่าสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ไม่ได้เห็นของที่ไม่งามว่างาม ซึ่งปัญญาก็เป็นอนัตตาก็เป็นเรื่องยากที่จะมีปัญญาที่จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ต้องฟังด้วยดี เห็นไหมไม่ใช่ว่าฟังเผินๆ แม้แต่เรื่องที่ว่าสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏด้วยดี แค่คำนี้ มีความลึกซึ้งขนาดไหน เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้ก็เห็น แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏด้วยแล้วก็มีได้ยินด้วย และก็มีเสียงด้วย ทำไมกล่าวว่าไม่ปรากฏด้วยดี เพราะเหตุว่า ถึงปรากฏอย่างไรก็ไม่รู้ความจริง ของแต่ละหนึ่งร่วมกันหมดตลอดเวลานี่ก็ดอกบัวใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตา จะปรากฏด้วยดีไหม ในเมื่อเพียงหลับตาไม่เหลือเลยแค่หลับตา แต่พอลืมตาเปลี่ยนแล้วมีคนตั้งเยอะแยะ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่กำลังเห็นขณะนี้เป็นดอกบัวแล้วก็เป็นคนต่างๆ ปรากฏด้วยดี หรือไม่ เห็นไหมแค่คำเดียว สภาพธรรมปรากฏด้วยดี กับสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏด้วยดีก็ต่างกัน

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำเดียว แต่ว่าการไตร่ตรองการเข้าใจ และต้องลึกซึ้งมากเพราะเหตุว่าทำไมไม่ปรากฏด้วยดีก็ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นจะเข้าใจตามที่ได้ฟังด้วยดี หรือไม่ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไม่เชื่อก็หลับตา สั้นมากง่ายมากธรรมดามาก ก็ไม่มีสิ่งที่ปรากฏแล้ว แต่พอลืมตาถ้าเห็นเป็นดอกบัว ปรากฏด้วยดี หรือไม่ ปรากฏกับความไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่ดอกบัว ไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นสิ่งที่สามารถกระทบ " จักขุประสาท " คือรูปพิเศษที่อยู่กลางตา คนไทยเราใช้คำว่าตาแต่ความจริงเราไม่เห็นเลย แล้วตาไม่ใช่ทั้งตาดำตาขาวด้วย เฉพาะส่วนพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่พอหลับตาแล้วไม่มี แต่พอลืมตากระทบแล้วปรากฏให้รู้ว่ามี

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำสั้นๆ อย่างนี้ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ที่ว่าไม่ปรากฏด้วยดีเพราะเหตุว่าปรากฏกับอวิชาจึงไม่ปรากฏด้วยดี ใช่ไหม เเต่เพราะว่าลวงแล้วให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ถ้าปรากฏด้วยดีกับปัญญาต่างกันมากไหม กว่าจะฟังจนกระทั่งสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าปรากฏด้วยดีนี่เป็นอย่างไร แต่ว่าพอได้ฟังธรรมแล้วมีความเข้าใจมั่นคงขึ้น ก็รู้ว่าตราบใดที่ยังไม่เข้าใจถูกต้องว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ มิฉะนั้นจะละการยึดว่าเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือ ต้องเป็นผู้ที่ตรงมากแค่ดอกบัวก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคนนั้นคนนี้ มีชื่อต่างๆ ด้วยก็ยิ่งหลากหลายมากไป แต่ถ้าไม่มีการเห็นเลยจะมีไหม จะมีไหมสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ไม่มี แต่พอมีแล้วไม่รู้ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และกว่าจะเป็นดอกบัว เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ จิตเห็นอายุสั้นมาก และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็สั้นแสนสั้นเช่นเดียวกัน เพียงเกิดแทบจะกล่าวได้เลยเกิดแล้วดับ

    เพราะอะไร เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ ไม่ใช่มีเห็นครั้งเดียวเพราะเหตุว่าถ้าหลับตา และลืมตาขึ้นมานิดเดียวไม่ปรากฏว่าเป็นอะไรเลยทั้งสิ้นแต่พอลืมตา และดูนานๆ ก็เห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นความรวดเร็วของธรรมนี้เหมือนมายากล ที่เก่งมากเลย สามารถที่จะลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะการเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏรูปร่างสัณฐาน ก็คงต้องไปนึกถึงก้านธูปที่จุดแล้ว และแกว่งให้เป็นวงกลม เพียงก้านธูปดอกเดียวแต่เวลาแกว่งเร็วๆ เนี่ยเป็นวงกลม

    เพราะฉะนั้นแกว่งเร็วแค่ไหนกว่าจะเป็นกลีบดอกไม้แต่ละกลีบ กว่าจะเป็นใบไม้แต่ละใบ กว่าจะเป็นคนแต่ละคน และคนแต่ละคนนี่ใส่เสื้อคนละสี รูปร่างต่างๆ มองดูแล้วไม่มีใครซ้ำเลย นี่คือความวิจิตรของจิตซึ่งมากมายมหาศาล แต่พระโพธิสัตว์ อย่างคนที่ไม่เคยที่จะได้ฟังธรรมเลย แต่กว่าจะถึงการที่จะได้ตรัสรู้ ต้องมีความมั่นคงที่จะรู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะว่าอยู่ในโลกนี้ แล้วก็ไม่รู้ความจริงไปจนตายเกิดแล้วเกิดอีก เป็นอย่างนั้นแล้วเป็นอย่างนั้นอีก เกิดตายแล้วตายอีกก็ไม่รู้ความจริงเป็นอย่างไร แต่ใครจะคิดอย่างพระโพธิสัตว์ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏคืออะไร ถ้าไม่คิดอย่างนี้แล้วก็ไม่บำเพ็ญพระบารมีมา จนได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าอีกสี่อสงไขยแสนกัปป์จะได้ตรัสรู้ความจริงอย่างนี้เลย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามพระสมณโคดม นานไหมสี่อสงไขยแสนกัปป์ เราท้อไหม เพียงแค่ได้ฟังธรรมไม่มากแต่มีศรัทธาที่ค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย เพราะจากการที่ไม่เคยเข้าใจความจริงแม้แต่หนึ่งก็เริ่มได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจความจริงว่าเห็นมี เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และคำนี้จะได้ยินจากใคร ไม่มีเลยนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว

    เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงวันที่ธรรมปรากฏด้วยดี อีกนานไหมเป็นผู้ตรง ถ้าอยากเมื่อไหร่ โลภะก็ลวงแล้ว ธาตุที่ติดข้องติดข้องในทุกอย่างที่ปรากฏ เฉพาะสิ่งที่ไม่เกิดเท่านั้นแหละที่โลภะความติดข้องไม่สามารถที่จะไปติดข้องได้ ก็เห็นว่าไม่เกิดให้มีแล้วจะไปติดข้องได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม คือฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า แต่ละคำไม่ใช่เผินแม้แต่สภาพธรรมปรากฎด้วยดี ก็ต้องรู้ว่าขณะใดที่ไม่เข้าใจถูกว่าเห็นถูกจะปรากฏด้วยดีได้อย่างไร ในเมื่อเกิดแล้วดับแล้วเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้หลงติด นั่นหรือปรากฏด้วยดีก็ต้องไม่ใช่การปรากฏด้วยดี แต่ขณะใดที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็จะรู้ว่ากว่าจะถึงเวลาที่ จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ปัญญาต้องอบรมเจริญ และเข้าใจขึ้นอย่างไรตามลำดับไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นปัญญาที่ได้ฟังธรรม กับปัญญาที่สะสมมา กับอวิชชาที่สะสมมา นานมากเปรียบได้ไหมเหมือนห้วงจักรวาลมากมายแล้วก็อวิชชา และก็ปัญญาน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริงว่า ฟังเข้าใจไม่ใช่เรา เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจก็คือว่าไม่มีหนทางแล้ว เพราะไม่รู้มานานแล้วก็ยังไม่รู้ต่อไป

    เพราะฉะนั้นตลอดหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งตรัสรู้ จนกระทั่งทรงแสดงพระธรรม จนกระทั่งปรินิพพานก็คือ รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏแล้วอนุเคราะห์ โดยการทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาให้คนได้เข้าใจ ตามกำลังความสามารถของแต่ละคน บางคนอาจจะเพิ่งฟัง บางคนก็อาจจะฟังมาแล้วหลายชาติสะสมมาแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุดคือมีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะโลภะติดข้องแล้วเห็นผิด เห็นผิดไหมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดเป็นคนนั้นคนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้แต่ละทาง ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นรัตนะ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพุทธรัตนะผู้ประเสริฐสุด ปัญญาที่สูงสุด พุทธะความรู้ ปัญญาเป็นรัตนะอย่างยิ่ง คือถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมซึ่งเป็นรัตนะ มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด ทำให้แต่ละคนเริ่มเข้าใจถูก จนกระทั่งสามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นสังฆรัตนะ ผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจธรรมตามที่ได้ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งตามลำดับขั้นค่อยๆ ละคลายการยึดถือ จนในที่สุดก็ดับกิเลสได้ ถึงความเป็นพระอริยะบุคคล ดับกิเลสฟังแล้วคำนี้ห่าง หรือใกล้ กับการที่สะสมมานานแสนนาน แต่ดับได้ด้วยปัญญา ด้วยบารมีทั้งหลายรวมทั้งความอดทน ที่จะรู้ว่าถึงไกลเท่าไหร่ก็รู้ได้ เหมือนเมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์ ตอนที่ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ใช่ไหม กำลังปัญญาของพระองค์ก็มีผู้ที่ทูลถามว่า ถ้าห้วงจักรวาลทั้งหมดเนี่ยเต็มไปด้วยไฟจะกล้าที่จะฝ่าไปไหมเพื่อที่จะรู้ความจริงให้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือไม่ใช่เฉพาะตน แต่สามารถจะมีทุกคำแม้แต่ ธรรมปรากฏด้วยดีมาจากใคร แค่คำนี้ แต่ความหมายลึกซึ้ง และก็เป็นสิ่งซึ่งต้องเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งตรัสรู้ แสดงธรรม ปรินิพพาน ก็คือว่าหนทางของความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ขนะนี้ทุกคนก็เป็นผู้ตรงสัจจบารมี ขาดบารมีไม่ได้เลย อดทน ไม่ใช่อดทนทำอย่างอื่น ไม่ใช่อดทนไม่ใส่รองเท้า ไม่แต่งตัวสวยๆ ไม่ไปดูหนัง ไม่ไปดูละคร นั่นนะหรืออดทน ตามกิเลสคือความติดข้องด้วยความเป็นเราซึ่งเห็นผิดว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ความคิดอย่างนั้น แต่ผิด เพราะว่าติดข้องในความเป็นเราที่จะทำอย่างนั้น เพราะไม่รู้ความจริงว่า อย่างไรๆ ก็คือว่าเป็นสิ่งที่สะสมมาแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมนี่ไม่ใช่สำหรับให้ไปทำ แต่เดี๋ยวนี้เองหากจะเอื้อมมือ จะลุกขึ้นยืน จะคิดจะยิ้ม จะทำอะไรก็ตาม จะอ่านหนังสือหรืออะไรทั้งหมดเป็นธรรม ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็ดับกิเลสไม่ได้ เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าเป็นความเห็นผิดง่ายมาก ไม่ต้องฟังพระธรรมบ้าง ไปทำอย่างโน้นทำอย่างนี้บ้าง ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็ถูกหลอก

    อ.ณภัทร ยังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนี่ไม่ใช่มีตัวตนที่จะเข้าไปรู้พยายามรู้ในสิ่งที่ปรากฏว่า ไม่ใช่เราแต่กับการที่เป็นปกติคือเห็นเหมือนกัน แต่ว่าด้วยความเป็นปกติแล้วไม่ได้มีความตั้งใจที่จะพยายามรู้ในสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเข้าใจแล้วเมื่อไหร่จะเป็นปกติที่สภาพธรรมปรากฏดี เห็นไหมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย ถ้าเป็นหนทางผิดก็มีตัวตนที่พากเพียรที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ หารู้ไม่ว่าขณะนั้น เป็นความติดข้องในความเป็นเรา และมีความเห็นผิดว่าสามารถที่จะรู้โดยการที่ไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ไม่เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วปัญญาคือความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งถ้าไม่มีแล้วไปทำอะไรแล้วจะเห็นถูกต้องได้อย่างไร เช่นเดียวนี้ทุกคนลืมอีกแล้ว มีสิ่งที่ปรากฏแต่ลืมว่าจิตเจตสิกกำลังเกิดดับทำงานอย่างละเอียดทุกขณะโดยไม่ปรากฏเลย ปรากฏแต่สิ่งที่จิตรู้ทั้งนั้นเลย ขณะนี้มีเห็นไม่มีใครนึกถึงเห็นแต่เห็นอะไร เห็นดอกบัว เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ขณะที่ได้ยิน ก็จิตเจตสิกเกิด ได้ยินเสียงอะไรเสียงคำต่างๆ เรื่องราวต่างๆ

    เพราะฉะนั้นแท้จริงแล้ว ลืมเสมอแม้ว่าจะมีความเข้าใจว่า ขณะนี้ถ้าไม่มีจิตไม่มีธาตุรู้ไม่มีสภาพรู้อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ณ เวลาจิตเกิดขึ้นก็จะต้องมีสภาพธรรมที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งทำให้จิตเกิดขึ้นหลากหลายมาก แม้ในขณะที่กำลังนั่งอย่างนี้ ก็มีความหลากหลายของจิตละเอียดอย่างยิ่ง ที่ทรงแสดงตั้งแต่ก่อนสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏมีไหม มีเมื่อไร หลับสนิท เห็นไหม ชีวิตประจำวันซึ่งทุกคนก็หลับ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าหลับสนิทเนี่ย ที่ใช้คำว่าหลับก็เพราะเหตุว่ายังมีจิต เกิดดับ เวลาพูดถึงจิตนี่รวมเจตสิกด้วยทุกครั้ง เพราะเหตุว่าจิตนี่จะไม่เกิดตามลำพังแต่จะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง นอนหลับสนิทไม่รู้อะไรเลย บ้านอยู่ไหนพ่อแม่พี่น้องอยู่ไหน ใครกำลังป่วยไข้ กลางวันคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้หายไปหมดเลย หายไปจริงๆ ถ้าจิตไม่เกิดอะไรก็ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญมากในชีวิต เพียงแค่จิตไม่เกิดขึ้น ก็ไม่มีอะไรจะปรากฏเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นขณะนี้จิตเกิด แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นจิตต่างประเภทต่างขณะ ซึ่งทรงแสดงไว้ละเอียดยิบเลย ว่าทรงแสดงถึงจิตหนึ่งขณะ ขณะนี้กี่ขณะแล้วนับประมาณไม่ได้เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจิตหนึ่งขณะโดยประเภทต่างๆ ว่าจิตนั้นเมื่อวานนี้เราก็พูดถึงแล้ว ทำหน้าที่อะไร ซึ่งทรงแสดงยิ่งกว่านั้นคือประกอบด้วยเจตสิกเท่าไหร่ โดยสถานะที่เจตสิกแต่ละหนึ่งเป็นปัจจัยให้จิตขณะนั้นเกิดขึ้นต่างกันหลากหลาย โดยปัจจัยต่างๆ ตามประเภทของเจตสิกนั้นๆ นี่คือแสดงให้เห็นว่าขณะนี้ใครรู้เรื่องจิตเจตสิก ใครรู้ลักษณะของจิตเจตสิกซึ่งกำลังเกิดดับได้ เพียงแค่ไม่มีไม่มีอะไรปรากฏเลย แต่เพราะยังมีจิตเจตสิกเกิดดับอยู่เรื่อยๆ ก็จึงมีการเห็น แล้วก็ยังมีการฟัง แล้วก็ยังมีการคิดเหมือนทุกวันๆ แต่ต้องมีขณะซึ่งจิตเจตสิกไม่ได้รู้อารมณ์ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่คิดนึก หลับสนิท ดีไหม เมื่อครู่พยักหน้าดีไหม ลองตอบลองคิด ดีไหม หลับสนิทดีใช่ไหม แน่นอน

    เพราะเหตุว่าไม่เห็นไม่เดือดร้อนเพราะเห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม้ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก กลางวันเดือดร้อนมากทุกข์มาก คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้แต่พอหลับแล้วสบายไม่มีสักเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนที่จะต้องคิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นทุกคนเนี่ยชอบหลับ ถึงเวลานอนไม่หลับก็กลุ้มใจ เพราะฉะนั้นหลับแล้วก็เป็นสุขดี แต่หารู้ไม่ที่ว่าสุขคืออะไร คือไม่ต้องรู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ความจริงขณะนั้นยังมีจิตเกิดดับจึงใช้คำว่าหลับ ไม่ใช้คำว่าตาย เพราะเหตุว่าคำว่าเกิดหมายความถึงขณะแรกจากชาติก่อนเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ว่ากรรมหนึ่งทำให้จิตขณะแรกเกิดขึ้นแล้ว เป็นคนนี้โดยที่ว่าตอนแรกก็ยังไม่เป็นคนนี้เต็มตัว ก็เป็นแต่เพียงลูกเล็กๆ แล้วก็จิต เกิดดับสืบต่อผ่านเหตุการณ์หนาวร้อนสุขทุกข์มาตลอดจนกระทั่งถึงวันนี้ และเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะต้องต่อไปอีกไม่หยุด ไม่หยุดนี้จริงๆ เลยในสังสารวัฎฎ์ ใช้คำว่าในสังสารวัฏฏ์ ได้เลย เพราะใครไปหยุดยั้งการเกิดดับของจิตไม่ได้เพราะว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ใครแต่เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นอะไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ขณะนี้ที่ได้ยินจะให้เป็นเห็นก็ไม่ได้ ขณะที่เห็นเกิดขณะนั้นจะให้ได้ยินก็ไม่ได้ บังคับให้เห็นตลอดไปไม่ได้ยินเลยก็ไม่ได้ นี่คือสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน แต่ว่าเราคิดดูแต่ละหนึ่งขณะ ตอนหลับนี่ทุกคนชอบ แล้วก็นอนไม่หลับก็ทุรนทุรายเมื่อไหร่จะหลับสักที แสดงว่าทุกคนชอบหลับ จริงๆ หรือไม่ หลับแล้วไม่ตื่นเลย ไม่ชอบตอนไม่ตื่นเลยหรือ น่าจะดีหลับแล้วไม่ตื่นเลยพ้นจากการเห็น การได้ยิน การต้องคิดนึกสารพัดเรื่องซึ่งเดือดร้อน ซึ่งมีเพราะคิดเท่านั้นเอง ความจริงไม่มีอะไรนอกจากสภาพของธรรมคือจิตเจตสิกเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ คนไม่รู้ก็เดือดร้อนไปตามสภาพของจิตเจตสิกแต่ละวันซึ่งเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป เปลี่ยนไป ซึ่งความสุขเกิดขึ้นไม่เดือดร้อน พอทุกข์เกิดขึ้นก็เดือดร้อนแต่เดือดร้อนก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรมซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นเกิดขึ้น และต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นหนทางที่เป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบด้วยพระองค์เองทรงตรัสรู้ และทรงแสดงก็คือว่า ให้เข้าใจความจริง ความจริงเป็นอย่างนี้ ควรจะเข้าใจถูกต้องไหม หรือควรจะหลงไปเหมือนเดิม หลงสุข หลงทุกข์ หลงเรื่องราวต่างๆ หรือรู้ว่าเรื่องราวต่างๆ ก็ชั่วคราวแค่ขณะที่จิตคิด ถ้าจิตไม่คิดสุขทุกข์ใดๆ เรื่องใดๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น

    อ. ณภัทร การที่ไม่รู้ความจริง ก็ทำให้ หลงที่จะไปไขว่คว้าสิ่งต่างๆ แล้วก็เป็นทุกข์ เข้ามาในชีวิตมากมาย กับบุคคลที่ค่อยๆ ละคลายความเป็นเราออกไปทีละนิดทีละนิดจึงไม่ค่อยยึดถือ เพราะฉะนั้นเคยมีเพื่อนถามว่า อย่างนี้ถ้าละคลายแล้วก็ไม่ต้องเอาอะไรในโลกนี้แล้วสิ เห็นอะไรก็ปรากฏด้วยดีหมดแล้ว แล้วก็แบบทุกอย่างก็ไม่เอาแล้วอะไรนี้ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่ทำอะไรได้ไหมพูดจบแล้ว

    อ. ณภัทร ทำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำไม่ได้แล้วพูดเรื่องอะไรพูดเรื่องทำไม่ได้

    อ. ณภัทร เพราะว่ากลัวว่าเดี๋ยวพอจะเข้าใจจริงๆ แล้วเขาจะเบื่อหน่ายไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ กลัวอะไร กลัวเบื่อหน่าย แล้วเขาจะเบื่อหน่ายได้ไหม

    อ. ณภัทร ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นไปไม่ได้ก็พูดเรื่องสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยที่เขาเองไม่รู้เลยเพียงแต่คาดคะเน หรือหวังเพราะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น และบังคับอะไรก็ไม่ได้สักอย่างเดียว

    อ. ณภัทร เพราะว่าอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ยังมีชีวิตเป็นปกติแล้วก็เป็นพระโสดาบันได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เป็นปกติไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะชีวิตปกติจริง ไม่มีใครไปทำให้เกิดเลยแต่มีเหตุปัจจัยเกิด แต่โลภะไม่ชอบ อยากรู้มากกว่านั้นอยากจะไปทำอะไรก็ไม่รู้ แต่ขณะนั้นเขาไม่เห็นความไม่รู้ และความติดข้อง เอาความไม่รู้ และความติดข้องไปทำอะไร แล้วจะรู้อะไรได้

    อ. ณภัทร เรื่องการคิดของแต่ละคนเช่นบางคนอยากได้เงินเยอะๆ กับอีกบุคคลหนึ่งซึ่งเข้าใจธรรมคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว อย่างนี้มันอยู่ที่การคิดของแต่ละบุคคล

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาคำพูดแต่ละคำ อยากได้เงินเยอะๆ นี่ผิดไหม ต้องไตร่ตรองทุกคำที่พูด ถึงจะรู้ความจริง ผิดไหม ต้องกล้าที่จะรับความจริง ตราบใดที่ยังมีความติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ อยากได้เงินเพื่ออะไร ถ้าเงินเป็นเศษกระดาษอยากได้ไหม ไม่อยากใช่ไหม เอามาให้เป็นกองเท่าภูเขาก็ไม่อยากได้เพราะเป็นเศษกระดาษทำอะไรก็ไม่ได้ แต่เพราะติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ จึงแสวงหาโดยวิธีที่ทุกคนก็รู้ในยุคนี้ว่าจะได้มาก็ต่อเมื่อมีทรัพย์สินมีเงินทอง

    เพราะฉะนั้นการอยากได้เงินเยอะๆ ผิดไหม ก็ไม่ผิดเพราะอะไร เป็นธรรมดา ใครจะไม่ให้เป็นธรรมดา แต่ว่าความต่างก็คือว่าคนที่คิดอย่างโน้นคิดอย่างนี้คิดว่าไม่ต้องมีเงินไม่ต้องหาเงินไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น จะดีกว่าไปหมกมุ่นศึกษา หรือทำอะไรก็แล้วแต่ ขวนขวายให้มากๆ จริงหรือไม่

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    23 ก.ค. 2567