ปกิณณกธรรม ตอนที่ 532


    ตอนที่ ๕๓๒

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕ ๔๓


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องใหญ่ที่พุทธศาสนิกชนต้องฟังแล้วก็ใคร่ครวญ แล้วก็พิจารณาด้วยความละเอียดจริงๆ

    บารมีที่ ๔ คือ ปัญญาบารมี ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เห็นถูก เข้าใจถูก รู้ถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ปัญญาจะมีได้อย่างไร ถ้าไม่มีการเพียรที่จะพยายามฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียรอย่างอื่นไม่สามารถที่จะเกิดปัญญารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ นี่คือความเพียรของผู้ที่เป็นสาวก คือผู้ฟัง แต่ถ้าเป็นความเพียรของผู้ที่จะอบรมถึงขั้นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีความเพียรมากกว่านี้ มากทีเดียว ท่านพระสุเมธดาบสซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้สอนตนเองอย่างนี้ว่า ท่านไม่พึงเว้นคนชั้นต่ำ ชั้นกลาง และชั้นสูงไรๆ เข้าไปหาบัณฑิตทุกท่านแล้วถามปัญหา เช่นเดียวกับอาหารบิณฑบาต ไม่เว้นตระกูลทั้งหลายเลย ทั้งตระกูลชั้นต่ำ ตระกูลชั้นกลาง และตระกูลชั้นสูง นี่แสดงให้เห็นความเพียรของบุคคลที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แม้ปัญญาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโดยการฟัง ไม่ว่าจะฟังใครทั้งนั้น ก็จะต้องเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความเห็นถูก เป็นความเข้าใจถูกจากการฟัง จึงจะเป็นผู้ที่เป็นพหูสูต คือผู้ที่ฟังมากไตร่ตรองมาก

    เมื่อท่านสุเมธดาบสได้ฟังคำพยากรณ์ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร แล้ว ท่านก็ได้เฝ้าแล้วก็ได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๒๓ พระองค์ ซึ่งถ้ารวมทั้งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่า ทีปังกร แล้วก็เป็น ๒๔ พระองค์ ก็เป็นเวลาที่ยาวนานมาก เป็นจิรกาลภาวนา

    บารมีที่ ๕ คือ วิริยะบารมี ความเพียรไม่ท้อถอยในสิ่งที่แม้จะยากลำบากสักเท่าไรก็ตาม ซึ่งทุกคนที่เพียรในเรื่องอื่น มีความสามารถในเรื่องอื่นมาแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ไม่มีอะไรที่จะยากกว่าความเพียรที่จะละความชั่ว ประพฤติดี และชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอกุศล เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จทุกอย่าง ทั้งในทางโลกและทางธรรม ถ้าไม่มีความเพียรแล้วก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย แต่ความเพียรในทางโลกซึ่งเต็มไปด้วยความต้องการ กับ ความเพียรในกุศลซึ่งจะขัดเกลากิเลส ย่อมจะต้องมีความเพียรมากกว่า เพราะเหตุว่าปกติแล้วก็เป็นผู้ที่เพียรในอกุศล คือเพียรด้วยความติดข้อง ต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งทุกคนก็พิสูจน์ได้ว่าเพียรอย่างนี้มาตลอด คือเพียรที่จะได้รูป ด้วยความต้องการในรูปนั้น เพียรที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข เพราะฉะนั้น กว่าจะมีกำลังในความเพียรที่จะละ ไม่ใช่เพียรที่จะได้ แต่เพียรที่จะละความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ในทุกอย่าง ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในสุข ก็จะเห็นได้ว่า ต้องเป็นเวลาที่ยาวนานมาก กว่าจะเปลี่ยนจากความเพียรในทางอกุศล เป็นความเพียรที่เป็นกุศล

    ขอกล่าวถึงความเพียรอย่างยิ่งยวดของพระโพธิสัตว์ในพระชาติที่เป็นพระมหาชนก พระมหาชนกได้ทูลลาพระมารดา แล้วลงเรือเพื่อไปค้าขายสินค้าที่เมืองไกล คือในสุวรรณภูมิ ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก เมื่อพระมหาชนกทรงทราบว่าเรือจะจม ก็เสวยอาหารจนอิ่ม แล้วทรงนุ่งผ้าที่ทรงชุบน้ำมันจนชุ่มอย่างแน่นหนา เมื่อเรือจม ผู้ที่อยู่ในเรือก็จมน้ำ เป็นอาหารของสัตว์น้ำไป แต่พระมหาชนกทรงมีกำลังจากอาหารที่เสวย และผ้าทรงที่ชุบน้ำมันจนชุ่มก็ทำให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ดี ป้องกันภัยจากสัตว์น้ำทั้งหลายได้ พระองค์ทรงมีความเพียรไม่ย่อท้อ ทรงว่ายไปในทะเลนานถึง ๗ วัน นางมณีเมขลาซึ่งเป็นเทพธิดาเห็นเช่นนั้นก็ลองพระทัย โดยถามว่า ใครหนอว่ายน้ำอยู่ได้ถึง ๗ วัน ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง ก็จะทนว่ายไปทำไม พระมหาชนกตรัสตอบว่า ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่งเราก็จะว่ายไป จนกว่าจะถึงฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง นางมณีเมขลากล่าวว่า มหาสุมทรนี้กว้างใหญ่นัก ท่านจะพยายามว่ายสักเท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่ง ท่านคงจะตายเสียก่อนเป็นแน่ พระมหาชนกตรัสตอบว่า คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไป ในขณะที่กำลังทำความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว นางมณีเมขลาถามต่อว่า การทำความพยายามโดยมองไม่เห็นทางบรรลุเป้าหมายนั้น มีแต่ความยากลำบาก อาจจะถึงตายได้ จะต้องเพียรพยายามไปทำไมกัน พระมหาชนกตรัสว่า แม้จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังกระทำนั้น ไม่อาจสำเร็จก็ตาม ถ้าไม่เพียรพยายาม แต่กลับหมดความเพียรเสีย ย่อมได้รับผลร้ายของความเกียจคร้านอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีวันบรรลุถึงจุดหมายที่ต้องการ บุคคลควรมีความเพียรพยายาม แม้การนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม เพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ในทะเลนี้ เมื่อคนอื่นตายกันไปหมดแล้ว เราจะพยายามจนสุดกำลัง เพื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้ นางมณีเมขลาได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญความเพียรพยายามของพระมหาชนก และอุ้มพระมหาชนกไปจนถึงฝั่งเมืองมิทิลา นี่เป็นพระชาติหนึ่งซึ่งจะได้เห็นความเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งยาก เพราะเหตุว่าเพียงการข้ามมหาสมุทร ถ้ายังทำไม่ได้ การเพียรที่จะข้ามโอฆะ คือห้วงน้ำของกิเลส จะมีได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น กว่าจะอบรมคุณธรรมทางฝ่ายที่เป็นบารมีที่จะให้ถึงฝั่ง ไม่ใช่เรื่องที่เล็กน้อยเลย เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่าทุกคนกำลังมีกิเลส แล้วจะให้ละกิเลสที่กำลังมี กำลังเกิดขึ้น แม้เพียงในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เช่น ขณะที่กำลังสนุกสนานรื่นเริง ด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดก็ตาม บอกว่า หยุดเสีย อย่าต้องการ เลิกเสีย ไม่ว่าจะเป็นหนังละคร โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรืออะไรก็ตามแต่ ใครทำได้ ในขณะนั้น ในขณะที่โลภะกำลังเกิดขึ้นติดข้องในสิ่งนั้น ชีวิตในแต่ละวันก็เป็นอย่างนี้ คือว่ามีความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่าง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็จะให้ละความติดข้องในสภาพที่กำลังติดข้องนั้น ถ้าไม่มีปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรม ไม่สามารถที่จะละอกุศลได้ และการละอกุศลได้ก็ต้องเป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่ไปตามความต้องการว่าจะละโลภะก่อน แต่ว่าต้องละตามลำดับขั้นของอกุศล คือละความเห็นผิดที่เห็นว่าสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

    บารมีที่ ๖ คือ ขันติบารมี ไม่พอเลย แม้ว่าจะมีบารมีถึง ๕ ประการแล้ว ก็ยังไม่พอที่จะทำให้สามารถที่จะดับกิเลสได้ ต้องอาศัยบารมีอื่นประกอบอีก คือบารมีที่ ๖ ขันติบารมี ความอดทนต่อความทุกข์ ความสุข ความยากลำบาก อดทนในการยกย่อง ในการดูหมิ่นของคนทั้งปวงได้ เพื่อละความติดข้องในตัวตน เพราะเหตุว่าเมื่อยังมีเรา ก็จะต้องมีความติดข้องในคำสรรเสริญ ในการยกย่อง หรือว่ามีความขุ่นเคืองใจเมื่อผู้อื่นดูหมิ่น เพราะฉะนั้น ความอดทนต้องอดทนทุกอย่างในชีวิต ทั้งในสุข ทั้งในทุกข์ ทั้งในความยากลำบากต่างๆ อุปมาเหมือนแผ่นดินซึ่งทนต่อสิ่งของที่เขาทิ้งลงมา ทั้งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง เพราะฉะนั้น ชีวิตของทุกท่าน ในระหว่างที่กำลังฟังพระธรรม ก็จะต้องมีความอดทนที่จะเพียรต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าในชาติไหน จะได้รับสุขทุกข์อย่างไร หรือว่าจะมีความทุกข์ยากต่างๆ อย่างไร

    สำหรับชีวิตในชาตินี้ก็อาจจะเห็นได้ว่า ถ้าขณะที่กำลังเพลินไป ขณะนั้นไม่ทำกุศล เพราะเหตุว่ากำลังติดข้อง คิดว่าจะทำ แต่ถ้าอกุศลจิตเกิด ไม่ทำแล้ว ไปเที่ยว หรือว่า ทำอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่การกุศล

    บารมีที่ ๗ สัจจะบารมี เป็นผู้ที่ตรงและจริง ไม่ทำหรือพูดที่ผิดจากความจริง เวลาที่ทำความดีกับใคร ก็ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพราะว่าเป็นเรื่องความจริงของการที่ทำดีจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่หลอกลวง หรือเสแสร้ง เพราะว่าถ้าเป็นการกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น แต่ว่าทำไปด้วยการต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ด้วยความจริงใจ ในขณะนั้นก็เหมือนการเสแสร้ง หรือเป็นการหลอกลวง เพราะเหตุว่าเป็นการทำเพื่อหวังประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่เพื่อหวังประโยชน์แก่คนอื่น ซึ่งเรื่องของสัจจะ ความเป็นผู้ตรง มีข้ออุปมาว่า เหมือนยาชนิดใด ก็แก้โรคชนิดนั้น ไม่ว่าจะเป็นขิง ดีปรี พริก ก็รักษาตรงกับโรคนั้นๆ ไม่ออกนอกทางไปทางอื่น คือแล้วแต่ว่าเป็นยาประเภทใด ก็รักษาตรงตามลักษณะของโรคประเภทนั้นๆ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดที่หวังที่จะให้กุศลเป็นบารมี การทำกุศลก็ต้องเป็นการตรง เพื่อกุศลจริงๆ ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น

    บารมีที่ ๘ คือ อธิษฐานบารมี เป็นผู้ที่มั่นคงในการเจริญกุศล เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งบางคนอาจจะมีความคิดที่จะเจริญปัญญา หรือว่ามีความตั้งใจว่าชาตินี้หรือชีวิตนี้จะบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์อย่างไร แต่ถ้ามีอกุศลเกิดขึ้นเมื่อไร ความมั่นคงของกุศลนั้นก็จะคลอนแคลนได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความมั่นคงจริงๆ ในชีวิตที่ตั้งไว้ว่าจะทำกุศลประเภทใด ก็เป็นผู้ที่ไม่คลอนแคลนในการที่จะให้ชีวิตดำเนินไปตามความต้องการที่จะขัดเกลากิเลส ซึ่งข้อนี้อุปมาว่า แม้ลมพัดมากระทบทุกทิศ ก็ไม่คลอนแคลน สำหรับผู้ที่มีความตั้งใจที่มั่นคง เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาตนเองจริงๆ ในเรื่องของการขัดเกลากิเลส ในเรื่องของการที่จะถึงฝั่ง คือการดับกิลสได้

    บารมีที่ ๙ คือ เมตตาบารมี คำนี้ใช้กันบ่อยๆ แต่ว่า จิตที่เมตตานั้นเกิดบ่อย มากน้อยแค่ไหน เพราะเหตุว่าทุกคนใช้คำต่างๆ ได้ แต่ว่าต้องพิจารณาสภาพจิตจริงๆ ว่า เมื่อเป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่ควร ที่จะมีเมตตา คือมีความเป็นเพื่อน มีความหวังดีที่จะเกื้อกูลบุคคลอื่น ชีวิตประจำวันเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า หรือว่าเพียงแต่เป็นสิ่งซึ่งใช้คำนี้ ให้ทุกคนที่มีเมตตาต่อกัน ให้ทุกคนมี แต่ว่าในขณะที่ตนเองกำลังประสบกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็อาจจะลืมพิจารณาว่า ขณะนั้นมีเมตตาหรือเปล่า สิ่งหนึ่งซึ่งทุกคนจะพิจารณาก็คือว่า ถ้าจะมีเมตตากับคนที่เป็นคนดี มีประโยชน์เกื้อกูลก็ไม่ยาก แต่ว่าการที่จะมีเมตตากับคนที่ไม่มีประโยชน์เกื้อกูล คือคนที่ไม่ดีนั้น รู้สึกว่า จะทำได้ยาก แต่เมตตาไม่ควรจะจำกัด เพราะเหตุว่าผู้ที่อบรมเจริญเมตตา ก็จะต้องเมตตาทั่วไปหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดี หรือว่าเป็นคนชั่ว ไม่ใช่ว่าถ้าเป็นคนชั่วแล้วก็ไม่เมตตา เมตาตาแต่เฉพาะคนดี ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่เป็นบารมี เพราะเหตุว่า ไม่สามารถที่จะชำระความขุ่นเคืองใจของตนเองได้ เพราะเหตุว่าในขณะที่ไม่เมตตาคนอื่น ขณะนั้นก็ยังคงมีความขุ่นเคืองในบุคคลนั้น อุปมาเหมือนกับน้ำที่ย่อมเอิบอาบ ทำความเย็นแก่ที่ๆ น้ำผ่านไป เพราะฉะนั้น บุคคลใดก็ตามที่มีความเมตตาแก่คนทั้งปวง ไม่ว่าจะพบเห็นบุคคลใด ทั้งคนดีและคนชั่ว ขณะนั้นจึงจะเป็นเหมือนกับน้ำที่เอิบอาบ ทำความเย็นแก่ทุกคนที่ผ่านไปในชีวิต ซึ่งขณะนั้นก็จะทำให้จิตคลายจากอกุศลคือโทสะ เพราะว่าขณะใดที่เมตตาไม่เกิด ขณะนั้นก็อาจจะขุ่นเคืองในบุคคลอื่นได้

    บารมีที่ ๑๐ คือ อุเบกขาบารมี เป็นสิ่งที่เพิ่มความยากขึ้น เพราะเหตุว่าอุเบกขาบารมี หมายความถึง ความเป็นกลางทั้งในสุขและในทุกข์ คือไม่หวั่นไหว เห็นว่าสุข และทุกข์ก็เหมือนกัน คือเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของความสุขและความทุกข์ได้เลย เพราะเหตุว่าทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีอุเบกขา ก็เสมือนกับผู้ที่ถือตาชั่งซึ่งมีสุขและทุกข์ และตาชั่งนั้นก็ตรง คือเสมอกันไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้ว่าทุกคนจะรู้จักบารมีทั้ง ๑๐ ว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าชีวิตจริงๆ ไม่ใช่สามารถที่จะมีบารมีได้ทุกโอกาส เพราะเหตุว่า ยังมีอกุศลมาก ที่จะต้องอาศัยบารมี ๑ ซึ่งขาดไม่ได้เลย คือ วิริยะบารมี ถ้าใครรู้ว่าสิ่งใดดี แต่ไม่มีความพากเพียรที่จะทำ อย่างไรๆ ก็สำเร็จไม่ได้ แต่ถ้ารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี และไม่ท้อถอย ยังเพียรต่อไปอีก ในสังสารวัฏฏ์ที่อีกยาวนานกว่าทุกคนจะหมดกิเลสได้ ก็จะต้องรู้ว่าบารมีหนึ่งที่สำคัญ ที่เกื้อกูลบารมีทั้งหลายก็คือ วิริยะบารมี ซึ่งตามความเป็นจริง เมื่อได้ศึกษาพระธรรมล้ว ก็จะได้ทราบว่า วิริยะในชีวิตเกิดขึ้นเกือบทุกขณะ ความเพียรเกิดขึ้นกับจิตเกือบทุกประเภท คือหลังจากที่เห็น มีความเพียรเกิดขึ้นแล้ว หลังจากที่ได้ยิน มีความเพียรเกิดขึ้น ในขณะที่เห็นแล้วคิด ขณะที่คิด มีความเพียรเกิดร่วมด้วย คือคิดดีหรือคิดไม่ดี หลังจากที่ได้ยินแล้วก็คิด ในขณะที่คิด หลังจากที่ได้ยินแล้วก็มีความเพียรเกิดร่วมด้วย ในขณะที่คิดดี หรือไม่ดี

    เพราะฉะนั้น ในชีวิตวันหนึ่งๆ นอกจาก เห็น ได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรสรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็มีความเพียรเกิดกับความคิดตลอดมา แต่ว่าความเพียรในชีวิตประจำวัน เป็นความเพียรที่เป็นไปกับความเป็นอยู่ ไม่ว่าจะในเรื่องของทางโลก ในการอาชีพต่างๆ แล้วก็เพียรตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นไปในเรื่องของชีวิตในความเป็นอยู่ซึ่ง ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว หลายๆ ชาติตลอดกี่แสนชาติ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ความเพียรที่เกิดหลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่นแล้ว ลิ้มรสแล้ว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว ก็เพียรไป เพียงในเรื่องของความเป็นอยู่ของชีวิตในวันหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็จะเห็นได้ว่า กว่าจะค่อยๆ เปลี่ยนหรือว่าเพิ่มวิริยะ ความเพียร จากความเพียรในอกุศล เป็นความเพียรในกุศล จากความเพียรที่เป็นมิจฉาชีพ หรือว่ามิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ จากอกุศลกรรมทั้งหลาย เป็นความเพียรที่ค่อยๆ เป็นไปในกุศลธรรมทั้งหลาย จนกว่าจะเป็นความเพียรในโพธิปักขิยธรรม

    นี่จะเห็นได้ว่า ธรรมทุกอย่าง จะต้องค่อยๆ เจริญขึ้น ถ้าเป็นทางฝ่ายอกุศลที่สะสมมาแล้ว ก็เป็นไปตามกำลังของอกุศลนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่การสะสมฝ่ายกุศล เพราะฉะนั้น ธรรมฝ่ายอกุศลก็ย่อมมีกำลังมาก ซึ่งต้องอาศัยความเพียรอย่างมากในทางฝ่ายกุศล จึงจะค่อยๆ เพียรตามความเป็นจริงในชีวิตว่า หลังจากที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ไม่กล่าวถึงในชาติก่อนๆ เฉพาะในชาตินี้ มีความเพียรในทางกุศลเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ซึ่งแต่ละคนก็จะรู้จักตัวเอง ตามความเป็นจริงว่า ถ้าขาดความเพียรเสียอย่างเดียว ไม่มีทางที่จะละอกุศลได้เลย แล้วก็จะได้เห็นกำลังของความเพียรว่า ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากกุศลที่เป็นไปในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งถึงการอบรมเจริญปัญญา ที่เป็นธรรมที่เป็นฝักใฝ่ในการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องใช้กาลเวลานานมาก คือต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม เพียรฟัง เพียรพิจารณาให้เข้าใจให้ถูก เพียรอบรมเจริญปัญญา เพราะว่าในขณะที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นละอกุศลทีละเล็กทีละน้อย แต่ยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าความเพียรนั้นยังไม่เป็นไปในธรรมที่เป็นโพธิปักขิยธรรม คือ เป็นธรรมที่เป็นส่วนหรือเป็นฝักใฝ่ในการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔

    สำหรับโพธิปักขิยธรรม ๓๗ เป็นสิ่งที่จะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้ ใกล้คือสามารถที่จะอบรมเจริญได้ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจสภาพธรรม ที่ไกลก็คือ กว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมครบทั้ง ๓๗ ประการที่เป็นองค์ของการตรัสรู้ ก็ต้องเป็นเวลาที่นานมาก จะขาดโพธิปักขิยธรรมประการหนึ่งประการใดใน ๓๗ ประการไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 101
    1 เม.ย. 2568