ปกิณณกธรรม ตอนที่ 525


    ตอนที่ ๕๒๕

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕ ๔๓


    ผู้ฟัง บอกว่าได้แค่ ๕ พันปี ก็จะไม่มีการไปเป็นอรหันต์ ผมก็ฟังแว่วๆ แล้วก็บอกว่า นี่ก็มาถึง ๒,๕๐๐ กว่า ก็ไปครึ่งกว่าแล้ว แล้วเมื่อถึง ๕ พันปี คนเราก็จะไม่สามารถจะเป็นพระอรหันต์ได้ เท็จจริงแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตามทุกคนในห้องนี้ ไม่มีอายุถึง ๕ พัน หมดปัญหาเลย แต่ขณะนี้กำลังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น บางคนเขาก็บอกว่า ตอนนี้ฟังไม่เข้าใจ เอาไว้คราวต่อไป จะได้เข้าใจ แต่ที่ถูกไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น กำลังฟังอะไรขอให้พิจารณาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพราะว่าถ้าฟังขณะนี้ไม่เข้าใจ คราวหน้าก็ไม่เข้าใจ จะไปหวังว่าคราวหน้าจะเข้าใจ หวังไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราไม่รอ ไม่ว่าได้ยินอะไร ขณะนี้วันนี้อย่างจิต เป็นนามธรรม เป็นแผลเก่า เป็นสภาพธรรม ที่เกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่มีใครที่จะดับนามธาตุนี้ได้เลย นอกจากปัญญาถึงระดับ ความเป็นพระอรหันต์ ถ้าปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น แม้เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็ยังต้องเกิด จิตที่ดับก็เป็นปัจจัย ที่ใช้คำว่า อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย หมายความว่าทำให้จิตเจตสิกต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย นอกจากนั้นก็ศึกษาแม้ว่าเราจะยังไม่ถึงปริเฉท ๘ หรือว่าคัมภีร์ปัฏฐาน แต่เราก็เริ่มเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด ต้องมีปัจจัยจึงทำให้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัจจัยก็เกิดไม่ได้เลย ทุกคนอยากมีแต่กุศลจิตที่ดีงาม แต่วันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดบ่อยกว่า เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตเกิดบ่อยกว่า นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราเริ่มเข้าใจธรรม ตามความเป็นจริงถึงความเป็นอนัตตา ซึ่งทรงแสดงไว้โดยพยัญชนะที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราก็ไม่ทิ้งความหมายนี้ เพราะฉะนั้น เวลาที่เราศึกษา เราก็ศึกษาด้วยความละเอียด ด้วยความรอบครอบ เพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมจริงๆ เพื่อละไม่ใช่เพื่อความเป็นเรา หรือว่าความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าก่อนที่จะศึกษาก็เป็นเราตลอด เป็นตัวตนตลอด แต่ศึกษาทำไม ศึกษาเพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริงที่ว่าเป็นเรา แท้ที่จริงแล้วเป็นเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละชนิดซึ่งมีปัจจัยแล้วก็เกิด แล้วก็ดับ

    ผู้ฟัง เมื่อครบ ๕ พันปี การที่ทราบๆ กันมาว่า จะมีพระอริยเมตไตรย มาเกิดต่อจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ๕พันปี

    ผู้ฟัง อีกนาน ๕ พันปี พระพุทธเจ้าจะอันตธาน ส่วนพระศรีอริยเมตไตรย จะเป็นพระพุทธเจ้า ในภัทรกัปอีกหนึ่งพระองค์ อีกนานๆ แสนนานเลย เพราะว่าอายุขัยตอนนั้น แปดหมื่นปี พระศรีอริยเมตไตรย กว่าจะมาโปรดอีกมาตรัสรู้อีก อีกนาน นานไม่รู้กี่กัป ต่อกี่กัป

    ผู้ฟัง ผมว่าเข้าใจผิด ผมคิดว่า

    ผู้ฟัง จะว่างพระพุทธศาสนาอยู่นาน

    ผู้ฟัง เพิ่งจะมาเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็ได้เคยบอกไว้แล้ว ถ้าเผื่อสติปัฏฐานเกิด จะยังไม่รู้รูปกับนามชัด จนกระทั่งจะถึงญาณก่อน ทีนี้ดิฉันกราบเรียนถามว่า มีบางครั้งที่ชัดได้แต่มันจะไม่ตลอดไป

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ แปลว่ายังไม่ถึง

    ผู้ฟัง ยังไม่ถึง แต่เป็นสติปัฏฐานที่เกิดพอจะรู้ชัดได้บ้าง บางครั้งบางคราว

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ รู้ จะรู้เลยว่าเมื่อเทียบกับวิปัสสนาญาณแล้วจะเป็นการที่เพิ่งค่อยๆ รู้ แม้ว่าเราจะเข้าใจว่าชัด

    ผู้ฟัง สนทนาธรรมครั้งที่แล้วที่วัดบวร เรื่องเกี่ยวกับการเจริญสติปัฏฐาน คุณสุนานก็เรียนถามท่านอาจารย์ว่า การจะทำอะไร สิ่งที่ดีรู้สึกเหมือนว่าจะเป็นการฝืน ทีนี้ดิฉันก็คิดว่าอันนี้มันก็เกิดกับตัวเองอยู่บ่อย ครั้งก็เลยคิดว่าปกติของเราไม่ได้เป็นคนดี พอจะทำ จะอบรมมันก็เลยเหมือนกับฝืน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่เราจะทำให้ดีขึ้น

    ท่านอาจารย์ ความจริงก็เป็นความจริง จะเปลี่ยนความจริงไปไม่ได้

    ผู้ฟัง พูดบอกว่าฝืนทำความดี เหมือนกับไม่ดี ที่จริงดี

    ท่านอาจารย์ เราไม่ต้องไปคิดว่ามันดีหรือไม่ดี ฝืนคือฝืน ทำคือทำ ดีคือดี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องกฏเกณฑ์ แต่เป็นเรื่องเข้าใจถูกในสภาพธรรม คนที่ทำความดีโดยไม่ฝืน มี แล้วทำไมจะต้องไปฝืนก่อน รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ใช่เพื่อเราจะไปสร้างกฏเกณฑ์ แต่เพื่อที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ว่าเมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น เพียงพอหรือไม่เพียงพอของใคร แต่ทุกคนฟังธรรมแล้วก็รู้จักตัวเองว่า มีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังครบถ้วน หรือว่ายังขาดตกบกพร่องอยู่ ยังลังเลสงสัย ยังไม่แน่ใจ

    เพราะฉะนั้น หนทางเดียวก็คือฟังอีก พิจารณาอีกให้เข้าใจขึ้น แม้ในสิ่งซึ่งอาจจะเป็นคำแรก คำต้นอย่างคำว่า ธรรมชาติ ธัม-มะ-ชา-ติ ธรรมชาติ แปลว่าเกิด ธรรมเกิดในขณะนี้ สิ่งที่เกิดเป็นธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งจึงได้เกิด แค่นี้ แล้วความที่เป็นเราก็ต้องมาพิจารณาไป เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า เกิดหรือเปล่า เป็นธรรมชาติ เป็น ธรรมตา หรือเปล่า เป็นเรื่องที่เราจะเข้าใจในพยัญชนะ หรือ คำ ภาษาไทย หรือภาษาบาลี ว่าถ้าเข้าใจโดยไม่ศึกษา เราจะเข้าใจธรรมชาติเผินมากว่า ภูเขา อะไรพวกนี้ เป็นธรรมชาติก็เข้าใจเพียงเท่านั้น แต่ถ้าเข้าใจถึงว่าทุกอย่าง เป็นธรรม แล้วธรรมนี้เกิดขึ้นจึงได้ปรากฏ เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ หมายความว่า สิ่งนั้นต้องเกิด จึงปรากฏ ความเข้าใจของเราก็จะค่อยๆ มั่นคง แล้วก็เข้าใจจริงๆ ในธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่าพิจารณาจริงๆ ให้เข้าใจ แม้แต่เพียงธรรมดาๆ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องไปพยายามสร้างกฏเกณฑ์ หรือคิดอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อตัว ลึกลงไปของทุกคน คือ ความรักตัว เพราะฉะนั้น บางคนอะไรที่ดีอยากจะทำ พยายามจะทำหรือฝืนจะทำ แต่ว่าไม่ได้มีความเข้าใจในสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ซึ่งถ้ายังมีความเป็นตัวอยู่ ถึงเป็น อรูปพรหมก็ยังเป็นเรา ไม่ใช่เพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ ที่เป็นกุศล โน่นบ้างนี่บ้าง แต่ว่ากุศลที่มั่นคงจนกระทั่งจิตสงบที่ไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ แล้วก็สามารถที่จะเกิดก่อนตาย แล้วก็เป็นปัจจัยให้รูปวจรวิบากจิตปฏิสนธิ เป็นอรูปพรหม ซึ่งไม่มีรูปเลย แต่ก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็ควรจะเห็นได้ อะไรที่ควรจะพิจารณา อะไรที่ควรจะเข้าใจ คือ ความเป็นอนัตตา ความเข้าใจว่า ธรรมเป็นธรรม อย่าไปพยายามสร้างกฏเกณฑ์ เพื่อตัวเองจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แต่ว่าเมื่อใดที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นไม่มีโลภะ คำจำกัดความ ความหมายของรูปที่ต่างจากนามธรรม คือเป็นธรรมที่เกิดขึ้น เป็นธรรมชาติ ธัม-มะ-ชา-ติ แต่เกิดแล้วมีลักษณะต่างกันเป็น ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่ง เกิดแล้วแต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย สภาพนั้นทั้งหมดเป็นรูปธรรม สภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นรูปธรรม แต่อีกสภาพหนึ่งนั้น เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ เมื่อเกิดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ นี่เป็นความต่างกันของนามธรรมกับรูปธรรม เพราะฉะนั้น ที่ตอบว่าอย่างไร รูปคือ ที่ว่ามี ๒ อย่างคือ

    ผู้ฟัง จับต้องได้ มองเห็น จับต้องได้ อีกอย่างคือมองไม่เห็นจับต้องไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อันนั้นไม่ใช่ จะมองเห็น หรือมองไม่เห็น ถ้าเป็นรูป คือสิ่งนั้นเกิดแล้วไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ต้องทิ้งความหมายเก่า เอาความหมายใหม่ คือสิ่งที่เกิด แล้วก็ไม่ใช่สภาพรู้ คือไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย นั่นคือรูป เสียงเป็นรูปหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าโดยความหมายนี้ มองไม่เห็น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มองไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ จับต้องไม่ได้ แต่เสียงมีจริง เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น เสียงเป็นรูปธรรม หรือรูปธาตุชนิดหนึ่ง มีรูปอื่นอีกไหม นอกจากเสียง มีคนตอบแล้ว ยังไม่รับคำนั้นหรือ

    ผู้ฟัง แสง ตัวแสง

    ท่านอาจารย์ จะเรีกกอะไรก็ได้ หรือไม่เรียกอะไร แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ใช่ไหม เป็นสิ่งที่ถูกเห็น ปรากฏให้เห็นไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง ภาษาไทย ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีนจะเรียกอะไร หรือไม่เรียกอะไร สิ่งนี้มีแล้ว กำลังปรากฏจริงๆ เพราะว่ามีสิ่งที่กำลังเห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกเห็น สภาพที่ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นรูปชนิดหนึ่ง ตกลงมีเสียง แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป เป็นนามได้ไหม บางโอกาสจะเป็นนามธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง เป็นได้

    ท่านอาจารย์ ทำไม รูปเป็นรูป จะเป็นนามธรรมไม่ได้เลย นามธรรมเป็นนามธรรม จะเป็นรูปธรรมไม่ได้เลย ๒ อย่างนี้ต่างกันโดยเด็ดขาดโดยสิ้นเชิง

    ผู้ฟัง ตามความรู้สึก มีชื่อน่าจะเป็น นาม

    ท่านอาจารย์ เอาใหม่ๆ ว่าสภาพธรรมที่มีจริงๆ มี ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม โลกนี้มีนามธรรมไหม กำลังอยู่ในโลกนี้ มีนามธรรมในโลกนี้ไหม กำลังนั่งอยู่ที่นี่ เป็นโลกนี้ มีนามธรรมไหม

    ผู้ฟัง คิดว่ามี

    ท่านอาจารย์ มีรูปธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี คิดว่า มี

    ท่านอาจารย์ โลกอื่น สวรรค์มีนามธรรม มีรูปธรรมไหม

    ผู้ฟัง แค่นี้ เพียงแต่ ความนึกคิด จินตนาการ

    ท่านอาจารย์ จะมีไหม

    ผู้ฟัง ก็ยังไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เราเรียกโลกนี้ว่า โลกมนุษย์ เพราะสภาพนี้เป็นอย่างนี้ ยังไม่ประณีตเท่าโลกอื่น ถ้าสมมติว่าเปลี่ยนเสียใหม่ โลกนี้ แสนที่จะประณีตต่างกับความจริงที่เป็นขณะนี้ เราก็ใช้คำว่า สวรรค์ แต่ว่าเพราะว่าความจริง คือไม่ใช่สวรรค์ เพราะว่ายังไม่ประณีตเท่านั้น แต่ว่ามีนามธรรม มีรูปธรรม สวรรค์ก็มี เทวดาก็มี ตามกรรม เป็นนามธรรมเป็นรูปธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ นี้เป็นเหตุที่เราจะต้องศึกษาพระธรรมหรือพระไตรปิฎก ไม่อย่างนั้น เราก็จะอยู่ในโลกของความคิดหรือ ความเชื่อ หรือความเข้าใจของเรา ซึ่งไม่ใช่การศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ จากการตรัสรู้ ที่เราพูดกันอยู่ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วทุกคนก็มี ทำไมถึงได้เข้าใจยากเย็นจริงๆ เป็นเพราะอะไร

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราเคยถือว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นเราทั้งหมด เราไม่เคยพิจารณาแต่ละรูป แต่ละลักษณะเลย อย่างที่ตัวคุณวิรัตน์ หรือทุกตัวคนทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองเห็นเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ความจริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ อย่างละเอียด นี่เราก็ไม่เคยคิด แล้วไม่รู้ความจริงด้วย ไม่รู้อะไรสักอย่าง เพราะเราไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าเกิดมา เกิดมาในโลกนี้ มีตัวครบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นเราไปทั้งหมด ไม่เคยรู้เลยว่าแต่ละรูปเกิดขึ้นเพราะมีอะไรเป็นสมุฏฐาน เป็นธรรมที่ก่อตั้งให้รูปแต่ละชนิดเกิด แต่ละกลุ่มเล็กๆ ที่สุดเพราะว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แล้วก็เกิดขึ้น และก็ดับไปอย่างรวดเร็วด้วย เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมจึงต่างจากที่เราเคย คิด เคยเข้าใจ หรือว่าไปอ่านหนังสือเรื่องปรัชญา จิตวิทยาต่างๆ ซึ่งผู้เขียนไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ปัญญาต่างระดับมาก ระดับของคนที่เข้าใจว่ารู้จักธรรมแล้วก็เขียนแต่ว่าความจริง ไม่ตรงกับที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงโดยละเอียด แม้แต่คำว่า ธรรมชาติ ก็อาจจะทำให้เราเข้าใจไปอย่างหนึ่ง ไม่ครบถ้วน แต่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ละเอียด ไม่ว่าจะกล่าวถึงนามประเภทใด รูปประเภทใด ทรงแสดงทั้งลักษณะของสิ่งนั้น แล้วก็กิจ รสะหรือหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ หรือว่าอาการที่ปรากฏ หรือว่าเหตุใกล้ที่จะให้เกิดสภาพธรรมแต่ละอย่าง

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราได้เห็นความจริงว่า ถ้าเราไม่ได้ศึกษาพระธรรม ตั้งแต่เกิดจนตายก็เป็นเรา และก็เข้าใจโน่นบ้างนี่บ้างนั้นธรรมชาติอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ถ้าได้มีโอกาสที่จะได้ศึกษา เราจะมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ธรรมต้องมาจากการตรัสรู้จากผู้ที่รู้ความจริงของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงแต่คิดเดา ประมวล คาดคะเนเอาว่า คงจะเป็นอย่างนี้ อย่างที่บางคนก็คิดว่า รูปเกิดแล้วไม่ดับหรอก ขณะนี้ไม่เห็นดับ แต่ทรงแสดงไว้ว่ารูปเกิดดับ เช่นเดียวกับจิตในขณะนี้ ซึ่งเกิดดับซึ่งอายุของรูป หยาบ หรือว่ายาวกว่าอายุของจิต เพราะว่ารูปรูปหนึ่งจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ซึ่งแสนสั้นมาก เพราะขณะนี้จิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยิน เป็นจิตต่างประเภท ห่างไกลกันมีจิตเกิดคั่นเกินกว่า ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น ให้คิดๆ ว่ารูปรูปหนึ่ง เกิดแล้วจะดับเร็วสักแค่ไหน แต่อะไรก็ตามที่เกิดดับเร็วมาก แล้วก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จะไม่ปรากฏอาการดับ หรืออาการเกิด เหมือนกับว่าสิ่งนั้นมีอยู่คงที่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น จึงจะต้องเป็นที่ศึกษาให้เข้าใจความหมายของพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ โดยเปลี่ยนไม่ได้เลย หมายความว่า ถ้าตรัสรู้และทรงแสดงไว้อย่างไร ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม หรือใช้อีกคำคือ อภิธรรม ธรรมที่ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมนั้น แต่สามารถที่จะฟังพิจารณาศึกษาให้เข้าใจได้ ในสภาพของปรมัตถธรรมนั้นๆ ก็ต้องศึกษาจากพระธรรมไม่ใช่จากบุคคลอื่น ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป เรื่องราวต่างๆ มีได้ไหม ความคิดต่างๆ เหล่านี้มีได้ไหม เพราะฉะนั้น อะไรที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรื่องราวมีจริงๆ แต่ว่าจิตคิดมี เพราะว่า ถ้าจิตไม่คิดเรื่องนั้น เรื่องนั้นก็ไม่มี มีเพราะกำลังคิดเรื่องนั้น เพราะฉะนั้น ก็ควรศึกษาสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่เป็นปรมัตถธรรม คือแม้ไม่เรียกชื่อสภาพนั้นก็มี อย่างจิตเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ใช้คำว่าสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่จิตกำลังรู้ เมื่อเป็นสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้นโดยไม่รู้ไม่ได้ เมื่อเป็นสภาพรู้ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วแต่ว่าเราสามารถที่รู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่จิตรู้ขณะนั้นเป็นอะไร แต่ว่าทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย จะขาดจิตไม่ได้เลย เมื่อมีจิตก็ต้องมีเจตสิก แล้วก็ในภูมิที่มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม จะมีแต่เฉพาะนามธรรมไม่ได้ ต้องมีรูปธรรม ด้วยอย่างนี้ก็เป็นความชัดเจน แล้วต่อไปเราก็จะรู้ว่าศาสตร์ต่างๆ เป็นเรื่องความคิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรมทั้งหมดแล้วแต่ว่าจะคิดไปในทางใด สภาพธรรมมีจริงๆ เพราะกำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่ยังไม่ปรากฏเกิดแล้วดับแล้ว อันนี้คงจะลำบากหน่อย เพราะว่าเราเคยจำว่ายังมีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าเราพูดตามความเป็นจริง สิ่งใดไม่ปรากฏ แต่เราคิดว่ามี เพียงคิดว่ามี ใครก็คิดได้ จำไว้ว่ามีได้ แต่เมื่อสิ่งนั้นไม่ปรากฏ จะกล่าวได้ไหมว่าสิ่งนั้นมี ไม่ปรากฏเลย แต่สิ่งที่กำลังปรากฏมีแน่นอน เพราะว่ากำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น เราจะพูดถึงเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่ามีจริง เป็นเครื่องยืนยันว่า ธรรมนี้มีจริงได้ปรากฏ ทางตาเห็น มีจริงไหม เห็น มีจริงไหม สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงไหม มีจริง ได้ยินมีจริงไหม เสียงมีจริงไหม เมื่อไร

    ผู้ฟัง ตอนนี้ดับไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ เมื่อปรากฏ เพราะฉะนั้น อย่างนี้เราก็พอจะเข้าใจได้ว่า เสียง ไม่ใช่สภาพที่ได้ยิน สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้น ส่วนใดสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไรเลย เสียงไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่รู้อะไรเลย สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย แต่เกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นเป็นรูปแต่ละประเภท แต่ละชนิด แต่ทั้งหมดเป็นรูป เพราะว่า ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แสนโกฏิกัปป์มาแล้วก็มีเสียงเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย เพราะมีสภาพแข็ง สภาพแข็งกระทบกันเมื่อไร ก็ทำให้เสียงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นของธรรมดาที่มีอยู่แล้ว เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิด แล้วดับไป คือเสียงเมื่อแสนโกฏิกัปป์ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เสียงเมื่อก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด เกิดเพราะเหตุปัจจัย ชั่วคราว ชั่วขณะสั้นๆ แล้วก็ดับ

    นามธรรมก็เป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ซึ่งมี ๒ อย่างคือจิตกับเจตสิก จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกคนบอกว่ามีจิต ใช่ไหม แต่ว่าไม่รู้ว่าจิตมีลักษณะอย่างไร ขณะนี้จิตกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่ถ้าศึกษาแล้ว จะรู้ว่าจิตเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อไรก็ตาม ขณะใดก็ตามที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ธาตุรู้ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะไม่รู้ไม่ได้ เพราะว่าลักษณะของธาตุชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ เช่น ทางตา เราอาจจะไม่ชินว่า เป็นสภาพรู้เพราะว่าเราเห็น แล้วไม่เคยพิจารณาเลยว่าเห็นต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แต่ว่าไม่มีรูปร่างไม่มีลักษณะอะไรเลยทั้งสิ้น แต่สามารถที่จะมอง หรือรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีลักษณะอย่างไร ขณะนี้ นั่นคือลักษณะของสภาพที่เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น นามธรรมคือจิต เจตสิก นี้ ไม่มีใครมองเห็น แต่ว่ามีกิจการงานหน้าที่ต่างกัน จิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกไม่ใช่จิต เจตสิกเป็นปรมัตถธรรม หรือธรรมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งต้องเกิดกับจิตเท่านั้น จะไม่เกิดกับโต๊ะเก้าอี้หรืออะไรเลย ที่ใดที่มีจิต ที่นั้นจะมีเจตสิกเป็นปัจจัยทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น หรือจะกล่าวว่า จิตก็เป็นปัจจัยให้เจตสิกเกิด เพราะว่าสภาพธรรมที่จะเกิดโดยที่ไม่มีเหตุปัจจัย ไม่มี เพราะฉะนั้น เจตสิกเป็นปัจจัยให้เกิดจิต จิตเป็นปัจจัยให้เกิดเจตสิก แต่จิตไม่ใช่เจตสิก และเจตสิกไม่ใช่จิต อย่างนี้ยังสงสัยไหม

    ผู้ฟัง ตรงนี้ คงต้องศึกษาให้ลึกซึ้งเข้าไปอีก วันนี้อาจจะยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง

    ท่านอาจารย์ แต่พอเป็นแนวทางได้

    จิต ต่างกับ เจตสิก เพราะว่าจิตเกิดดับตลอดเวลา แต่เจตสิกมีหลายประเภท บางประเภทก็เกิดกับจิตประเภทนี้ บางประเภทก็เกิดกับจิตอีกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้น เจตสิกทั้ง ๕๒ ไม่ได้เกิดพร้อมกับจิต ๑ ขณะ แล้วแต่ว่าเจตสิกอะไร จะเกิดกับจิตประเภทไหน แต่จิตจะเกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ แล้วเจตสิกจะเกิดลอยๆ เปล่าๆ โดยไม่มีจิตไม่ได้เหมือนกัน อันนี้ก็พอจะเข้าใจได้ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง พอจะเข้าใจหยาบๆ ก่อน เดี๋ยวจะเสียเวลาท่านผู้อื่น ผมคงจะต้องใช้เวลาอีกสักช่วงหนึ่ง จะชัดเจนขึ้น

    ผู้ฟัง เรื่องธรรมไม่ใช่เฉพาะคุณวีระยุทธ จะคิดว่าทีเดียวจะให้ได้รู้เรื่อง แต่การที่อาจารย์พูดอย่างนี้ ผมฟังมาแล้ว ๒๓ ปี ที่อาจารย์พูดเมื่อกี้ผมก็ได้ประโยชน์อีก ต้องทีละนิดทีละหน่อยไป แต่ผมอยากจะให้ข้อคิดนิดหนึ่งว่า คุณวีระยุทธ คิดว่าคนเราเกิดมา อย่างอาจารย์บอก มันต้องมีเหตุมีปัจจัย อยู่ๆ มันไม่เกิดหรอก ถ้ามันหมดเหตุ หมดปัจจัยมันก็ไม่เกิด ทีนี้ที่เกิดมาแล้ว ธรรมชาติที่เห็น มีตา หู

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 101
    30 มี.ค. 2568