แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 599


    ครั้งที่ ๕๙๙


    . วิปัสสนา ผมติดตามมานานแล้ว จะต้องอาศัยศีล สมาธิ หรือไม่

    สุ. อาศัยศีลอะไร สมาธิอะไร

    . ศีล ก็คือ ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ จะต้องอาศัยไหมขณะที่จะเจริญวิปัสสนา จะต้องมีศีล มีสมาธิไหม หรือไม่ต้องใช้เลย คนใจบาปหยาบช้า กักขฬะ ก็เจริญสติปัฏฐานได้

    สุ. กำลังยืนอยู่นี่ มีศีลข้อไหน

    . ก็สำรวมกาย วาจา

    สุ. สติเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ คิดที่จะวิรัติทุจริตอะไรเดี๋ยวนี้หรือไม่ ถ้าไม่คิด องค์ของสัมมาวาจาก็ไม่เกิดร่วมกับสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ องค์ของสัมมากัมมันตะก็ไม่เกิดร่วมกับมรรค ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    . ผมเคยไปสำนัก เขาบอกว่า วิปัสสนาให้ดูรูปนั่ง ก็พอจะเข้าใจบ้างนิดหน่อย

    สุ. เข้าใจว่าอย่างไร

    . เข้าใจว่า ต้องใช้ปัญญา

    สุ. ใช้อย่างไร

    . อธิบายลำบาก ไม่ใช่ความคิดนึก วิปัสสนาเขาบอกให้ดูความฟุ้ง ผมไม่เข้าใจ ดูฟุ้งนี้ดูอย่างไร ความฟุ้งนี้เป็นนิวรณ์ วิจิกิจฉา พระผู้มีพระภาคบอกว่า ต้องขับออกไป จะไปดูทำไม ผมเคยนำไปใช้แล้วไม่เข้าใจ ผมมีข้อสงสัยว่า วิปัสสนานี่จะต้องอาศัยศีล สมาธิ สติด้วยหรือไม่

    สุ. สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เจริญสติปัฏฐานหมายความว่า ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะที่ระลึกเป็นกิจของสติ สติเกิดขึ้นจึงกระทำกิจระลึกลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าสติไม่เกิดก็หลงลืม เพราะฉะนั้น ไม่มีใครไปใช้สติ แล้วแต่ว่าสติเกิดขณะใด ก็กำลังระลึก ที่กำลังระลึกเป็นลักษณะ เป็นกิจของสติ

    . สติคือการระลึกได้

    สุ. รู้ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    . เจริญวิปัสสนานี้จะต้องอาศัยศีล อาศัยสมาธิไหม สมมติว่า เราดูรูปนั่ง

    สุ. สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ทางตามีไหม

    . มี เช่น พระพุทธรูป

    สุ. และจะรู้อะไร ทางตาต้องรู้อะไร

    . ทางตาไม่รู้ รู้ต้องเป็นปัญญา

    สุ. ต้องรู้เสียก่อนว่าจะรู้อะไร ถ้าไม่รู้ว่าจะรู้อะไร ปัญญาก็ไม่รู้ ทางตามีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นของจริง เพราะฉะนั้น จะรู้อะไรทางตา ต้องทราบก่อน ทางหูมีของจริงกำลังปรากฏ มีลักษณะที่ปรากฏทางหู เพราะฉะนั้น ทางหูจะรู้อะไร จะต้องทราบไปแต่ละทางทีเดียวว่า ทางตาต้องรู้อะไร ทางหูต้องรู้อะไร ทางจมูกต้องรู้อะไร ทางลิ้นต้องรู้อะไร ทางกายต้องรู้อะไร ทางใจต้องรู้อะไร

    . ผมสงสัยว่า จะต้องอาศัยศีล สมาธิหรือไม่

    สุ. กำลังยืนอยู่อย่างนี้ มีเห็น อาศัยศีลอะไร

    . หมายความว่า คนบาปหยาบช้าก็เจริญสติปัฏฐาน วิปัสสนาได้

    สุ. คนละขณะ ขณะที่สติระลึก ไม่ใช่ขณะที่ทำบาปหยาบช้า ไม่อย่างนั้นท่านพระองคุลีมาลก็เจริญสติปัฏฐานไม่ได้

    นี่พูดถึงเรื่องความจริงซึ่งทุกท่านจะต้องอบรม ให้ทราบว่า แต่ละขณะก็เป็นแต่ละขณะจริงๆ ขณะที่กำลังยืนอยู่เดี๋ยวนี้ สติระลึกรู้อะไรทางไหนได้บ้าง นี่คือ การเจริญวิปัสสนา วิปัสสนาเป็นปัญญาที่รู้แจ้ง ถ้าขั้นต้นยังไม่รู้ว่า กำลังยืนอยู่ขณะนี้จะรู้อะไร ปัญญาการรู้แจ้งก็มีไม่ได้

    . วิปัสสนาไม่ต้องอาศัยอะไรเลยหรือ

    สุ. อาศัยความเข้าใจ

    . ผมคิดว่า ก่อนที่จะเจริญวิปัสสนา คนนั้นต้องมีกาย วาจาเรียบร้อย มีศีล ๕ หรือศีล ๑๐

    สุ. ท่านผู้ฟังมีศีลมาแล้วใช่ไหม

    . ก็มีบ้าง ไม่มีบ้าง

    สุ. แต่ความเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานมีแล้วหรือยัง

    . ผมเคยไปทำแล้ว การเจริญวิปัสสนา ดูรูปนั่ง

    สุ. ทำชื่อวิปัสสนา ไม่เอา เอาความเข้าใจเรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะใช้ชื่อไปทำอะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องชื่อว่าไปทำอะไร แต่นี่เป็นความเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มีความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้วหรือยัง

    เรื่องศีล ก็เคยมีแล้ว เป็นเรื่องของศีลที่เคยมี แต่ว่าเรื่องความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏมีหรือยัง นี่คือ การเจริญวิปัสสนา ถ้ายังไม่มี ถึงแม้ว่าเคยมีศีลมาแล้ว แต่ไม่มีความเข้าใจเรื่องการเจริญความรู้ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ไม่สามารถที่จะอบรมให้เป็นความรู้แจ้งในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้

    . วิปัสสนา หมายความว่า รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    สุ. รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

    . รู้ความเป็นจริงว่า หิว หรือว่าเมื่อย

    สุ. กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย

    . ก่อนที่จะทำวิปัสสนา เราจะต้องมีอะไรมาก่อน หรือไม่ต้องมีอะไรเลย

    สุ. ต้องมีความเข้าใจว่า ปัญญารู้อะไร จะเจริญปัญญาใช่ไหม ปัญญารู้อะไร ต้องรู้เสียก่อนว่า ปัญญารู้อะไร ปัญญารู้อะไรได้

    . ถ้าอย่างนั้น ผมก็มีความเข้าใจผิดว่า คนที่จะเจริญวิปัสสนาจะต้องมีศีล มีสมาธิเสียก่อน

    สุ. ก็เคยมีแล้ว ท่านผู้ฟังก็บอกว่าท่านมีศีลแล้ว ที่ยังขาดอยู่ คือ ความเข้าใจข้อปฏิบัติที่จะทำให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีศีลแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องมีความเข้าใจว่า ปัญญารู้อะไร ขณะไหน อบรมเจริญอย่างไร ปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจตรงนี้ ถึงมีศีลแล้ว มีสมาธิแล้ว ปัญญาก็ไม่เกิดที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    . ผมคิดว่า สมาธิ การรักษาใจมั่น พอจิตตั้งมั่นแล้ว จะพิจารณาไปทางไหน ก็ได้ทั้งนั้น

    สุ. เพราะฉะนั้น ปัญญารู้อะไร

    . ถ้าอย่างนั้นที่ผมเข้าใจก็ไม่ผิด คนที่เจริญวิปัสสนานี้ ต้องมีบาทก่อน เช่น ต้องเรียนอภิธรรม หรือตำราอะไรเสียก่อน

    สุ. เรียนอะไรมาก็มากแล้ว ปริยัติก็อาจจะเรียนจบเป็นเล่มๆ ๙ ปริจเฉท อภิธัมมัตถสังคหะ พระไตรปิฎกก็อ่านแล้ว แต่เข้าใจจริงๆ หรือยังว่า ปัญญาที่จะต้องอบรมให้เจริญขึ้นนั้น ปัญญานั้นรู้อะไร ถ้ายังไม่เข้าใจ วิปัสสนาเกิดไม่ได้เลย

    วิปัสสนา เป็นการรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งต้องอาศัยการอบรมตั้งแต่ขั้นของการฟัง ขั้นของการพิจารณาให้แจ่มแจ้ง เป็นอริยสัจธรรมรอบที่ ๑ คือ เป็น สัจจญาณ เห็นจริงๆ ว่า จะต้องอบรมเจริญอย่างไร ปัญญาจึงสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้

    . เขาบอกให้ดูฟุ้ง อาจารย์จะแนะได้ไหม ดูฟุ้ง ดูฟุ้งซ่าน บอกว่า ๑๕ นาทีให้ดูฟุ้ง ผมไม่เข้าใจ

    สุ. ไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่ปัญญา

    . จะดูทำไม

    สุ. ก็อย่าไปดู

    . เขาสอนให้ดูฟุ้ง ๑๕ นาที

    สุ. ไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องไปดู

    . หลับตาเสียหรือ

    สุ. ไม่ต้องไปดูอะไรทั้งนั้นที่ไม่เข้าใจ ใครให้ดูอะไร ถ้าไม่เข้าใจแล้วไม่ต้องดูทั้งนั้น ดูได้อย่างไรถ้าไม่เข้าใจ

    ถ. อาจารย์จะแนะวิธีดูได้ไหม

    สุ. ไม่ใช่ให้ดู ให้เข้าใจ

    ถ. เขาให้ดูรูปนั่ง กำลังนั่งอยู่

    สุ. ดิฉันไม่ได้ให้ดูรูปนั่ง

    ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โลกปรากฏได้ ที่เข้าใจว่าเป็นโลก ก็เพราะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น การรู้จักโลก ต้องรู้สภาพความจริงที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    ทางตา เห็นอยู่ตลอดเวลา ต้องพิจารณาจริงๆ ว่า ปัญญาควรรู้อะไรในขณะที่กำลังเห็น จึงจะชื่อว่าเป็นปัญญา

    ทางหู ก็มีอีก ปัญญาควรจะรู้อะไรจริงๆ จึงจะชื่อว่าเป็นปัญญา จึงจะเป็นสภาวลักษณะของปัญญา เพราะเหตุว่าสามารถจะแทงตลอดในสภาพธรรมที่ปรากฏทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องตัวตนไปทำ อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ เจตสิก ๘ ดวง เมื่อเจตสิกซึ่งเป็นสัมมาสติเกิดขึ้น ทำกิจระลึกชอบ รู้ลักษณะของสิ่งที่ควรรู้ ควรศึกษาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั่นเป็นกิจ คือ การปฏิบัติมรรคของสัมมาสติ เพราะฉะนั้น มรรคมีองค์ ๘ เป็นผู้กระทำกิจ คือ เจริญมรรค ไม่ใช่มีตัวตน เราไปนั่งทำ แต่เจตสิกเหล่านี้เกิดขึ้นขณะใด กระทำกิจขณะใด เป็นการเจริญมรรคในขณะนั้น

    . มรรคที่เป็นหนทางที่ถูก ที่จะพาไปสู่อริยมรรค มี ๒ ทางใช่ไหม สมถกัมมัฏฐานอย่างหนึ่ง

    สุ. สมถะ ไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘ อริยมรรคมีองค์ ๘ หมายเฉพาะสติปัฏฐาน

    . หมายเฉพาะสติปัฏฐาน ไปทางวิปัสสนาเลยใช่ไหม

    สุ. ยังไม่ถึง แต่เป็นทางที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นหนทางที่จะให้วิปัสสนาเกิดขึ้น ถ้ายังไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ไปนั่งที่ไหน ไปดูอะไร ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น

    . ผมเข้าใจว่า เราต้องทำสมาธิเสียก่อน

    สุ. สมาธิทำแล้วใช่ไหม

    . สมมติง่ายๆ อย่างนี้ เราสวดอิติปิโสไปครั้งหนึ่ง ยังฟุ้งซ่านอยู่ เราก็สวดให้หลายครั้ง จนกระทั่งจิตแน่วแน่ และเราจึงจะพิจารณา พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตาย หรือจะพิจารณาสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับเรา

    สุ. เอาสมาธิอะไรมาพิจารณาทางตาที่กำลังเห็นในขณะนี้

    . ผมให้จิตเป็นสมาธิเสียก่อน

    สุ. กำลังเห็นขณะนี้ เอาสมาธิอะไรมาพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    . ต้องรักษาใจให้มั่น ถ้าใจไม่มั่น ทำอะไรไม่ได้

    สุ. สมาธิก็ทำมาแล้ว เคยทำมาแล้ว เพราะฉะนั้น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เอาสมาธิอะไรมารู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา จะเอาสมาธิอะไรมารู้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมีสติปัฏฐาน ๔ ก็เอาสมาธิมารู้นี่ รู้นั่น ไม่ต้องเจริญ สติปัฏฐาน ๔

    แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น การอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ คือ การอบรมเจริญ สติปัฏฐาน ๔ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจสติ สภาพธรรมที่เป็นสติ ขณะที่ระลึกรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นความรู้ขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่สมาธิปัฏฐาน ถ้าไปทำสมาธิเสียก่อน และเอาสมาธิมารู้นั่น รู้นี่ ก็ต้องเป็นสมาธิปัฏฐาน แต่นี่ไม่ใช่ นี่สติปัฏฐาน

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังพิสูจน์ธรรมได้ ท่านก็เคยมีศีลมาแล้ว ท่านก็เคยทำสมาธิมาแล้ว เอาสมาธิอะไรมารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ เอามาอย่างไร เอามาได้ไหม

    ถ. ...

    สุ. กำลังเห็นนี่ล่ะ ท่านลองเจริญสมาธิอะไร และก็เอามารู้ลักษณะที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้

    . จิตฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิเสียแล้ว

    สุ. จะเอาสมาธิอะไรมารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ เอามาจากไหน เอามาได้อย่างไร สมาธิอะไร

    . สมาธิเกิดจากการที่เราจะต้องปฏิบัติ

    สุ. ขณะนี้ เอามาเลย เอามาได้ไหม

    ถ. ไม่ได้

    สุ. เอามาไม่ได้ ก็เจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ

    ทางตานี่ กว่าจะเป็นความชำนาญ กว่าที่จะชิน ที่จะรู้ในลักษณะของสภาพรู้ ไม่ใช่ตัวตน และก็รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นแต่เพียงของจริงที่เพียงปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ปรากฏทางอื่นเลย ของจริงปรากฏแต่ละทาง ก็แต่ละอย่าง ถ้าปรากฏทางตา ก็เป็นสีสันวัณณะต่างๆ ซึ่งก็ต้องอาศัยมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สีสันวัณณะต่างๆ ก็ปรากฏไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน ก็ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งจะรู้ได้โดยการสัมผัสทางกาย และก็เห็นได้ เห็นสภาพที่มีอยู่จริง คือ สีสันวัณณะ ต่างๆ ที่อยู่ที่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งปรากฏทางตา

    ลักษณะสภาพของจริงที่ปรากฏแต่ละทาง ก็แต่ละอย่าง เพราะฉะนั้น ต้องระลึกรู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง จนกว่าปัญญาที่เป็นวิปัสสนาจะรู้แจ้งแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งปรากฏ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    . นี่สูงเหลือเกิน เราก็รู้ในสิ่งที่เป็นของธรรมดา คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ก็ไม่เรียกว่า รู้ในทางวิปัสสนา ไม่ใช่รู้จริง

    สุ. รู้จริง ต้องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ รู้จริง ต้องรู้ถึงการเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ปรากฏให้รู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    . ขอบพระคุณ



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๖๐ ตอนที่ ๕๙๑ – ๖๐๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 42
    28 ธ.ค. 2564