แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 552


    ครั้งที่ ๕๕๒


    สุ. อย่างขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ปัญญาที่จะรู้ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น จะใช้คำอะไรก็ได้ จะใช้คำว่ารูปารมณ์ หรือสีสันวัณณะต่างๆ หรืออะไรก็ได้ แต่หมายถึงลักษณะของสภาพของจริงซึ่งไม่ปรากฏทางอื่นเลยนอกจากทางตาเท่านั้น สภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเกิดดับ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล และสภาพที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ปัญญาขั้นนี้ เพียงขั้นนี้ นานไหมกว่าจะเกิดขึ้น เพราะว่าเป็นปัญญาจริงๆ ซึ่งเกิดพร้อมสติที่ระลึกรู้ประจักษ์แจ้งแทงตลอด แยกขาดสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาออกจากสภาพธรรมอื่น เช่น การรู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตาว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ปัญญาที่ได้อบรมแล้วสามารถที่จะรู้ชัดในความแยกขาดจากกันของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วจนไม่ปรากฏความเกิดดับ เพราะฉะนั้น ปัญญารู้ชัดในลักษณะของรูปธรรมว่า ต่างกับนามธรรมที่รู้สีสันวัณณะต่างๆ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสีสันวัณณะต่างๆ เท่านั้น หาความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลในสีสันวัณณะที่กำลังปรากฏนี้ไม่ได้ ปัญญาจะต้องสามารถที่จะรู้ชัดอย่างนี้จริงๆ ว่า ในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ หาสัตว์ บุคคล ตัวตน ในสภาพของสีสันวัณณะที่กำลังปรากฏไม่ได้เลย

    แต่ไม่ใช่เพียงฟังและปัญญาขั้นนี้จะเกิดขึ้น ซึ่งกว่าปัญญาขั้นนี้จะเกิดขึ้น ต้องอบรมจริงๆ ให้เป็นความรู้จริงๆ ก่อนที่จะประจักษ์แจ้งแทงตลอดในความเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรม ก่อนที่จะบรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล

    โดยมากเวลาที่ท่านได้ฟังเรื่องปัญญาขั้นต่างๆ ที่เกิดจากการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งท่านยังไม่ได้เกิดปัญญาอย่างนั้นเลย เพียงแต่ท่านรู้และเข้าใจว่า ปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมอย่างนั้นมีจริงๆ เกิดได้จริงๆ เมื่ออบรมแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านก็สงสัยว่า กำลังเห็นอยู่อย่างนี้จะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น และปัญญาอย่างไรจึงจะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของรูปที่กำลังปรากฏทางตา ของนามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ อาการรู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เมื่อปัญญาขั้นนั้นยังไม่เกิด ก็ย่อมสงสัยเป็นธรรมดาว่า จะรู้ได้อย่างไรในความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลในสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ให้ทราบว่า ลักษณะของปัญญานั้นมีจริง เป็นปรมัตถธรรม เมื่อยังไม่เกิด ก็อบรมไป จนกว่าจะถึงกาลที่สมควร ที่ปัญญาขั้นนั้นๆ จะเกิดขึ้น ปัญญาขั้นนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น ก็ให้เปรียบเทียบ อย่างท่านพระอนุรุทธ ท่านเห็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่ไม่ดู เป็นธรรมดาของท่านในขณะนั้น เป็นปกติของท่านในขณะนั้น แต่สำหรับท่านผู้รักษาอุโบสถศีล เว้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ก็ยังมีกิเลสอีกมากมายเหลือเกินที่จะต้องขัดเกลาด้วยการอบรมปัญญาให้รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่รักษาอุโบสถศีลโดยไม่อบรมเจริญปัญญา หรือโดยไม่รู้แม้จุดประสงค์ที่แท้จริงว่า การรักษาอุโบสถศีลนั้น เพื่ออบรมเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้บรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ในวันหนึ่ง

    ถ้าทราบอย่างนี้ ท่านจะเห็นได้ว่า พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ควรที่จะกราบไหว้บูชาสักเพียงไร เมื่อเปรียบเทียบกันดูกับจิตใจของท่านที่รักษาอุโบสถศีล โดยยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ กิเลสผิดกันแล้วใช่ไหม แต่ถึงอย่างนั้น ท่านที่มีเจตนารักษาอุโบสถศีลแม้เพียงวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ก็เป็นที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง ซึ่งท่านก็รู้จุดประสงค์ที่จะรักษาอุโบสถศีลว่า เพื่อที่จะได้อบรมอุปนิสัย พร้อมทั้งเจริญหนทางที่ปัญญาจะเกิดขึ้นรู้แจ้งชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏ โดยการอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ

    อย่าลืมว่า การติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะมีมาก ทั้งภายนอก คือ ในสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นที่น่ารื่นรมย์ น่ายินดี น่าเพลิดเพลิน น่าปรารถนาที่จะดู นั่นเป็นการติดในรูปภายนอก แต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น การติดในรูปภายใน คือ การประดับตกแต่งตัวเองก็มีมากมายด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นสภาพของกิเลสที่สะสมมามาก

    ขออ่านจดหมายของท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านเขียนมาจากบ้านเลขที่ ๑๑๐ หมู่ ๑ ตำบลท่าข้าม อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์

    วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๘

    เรียน ท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพอย่างสูง

    ผมได้เขียนจดหมายมาถึงท่านอาจารย์วันนี้ ผมใคร่อยากจะเล่าถึงการเจริญสติปัฏฐานของผม และถามปัญหาข้อข้องใจบางข้อ การปฏิบัติของผมนั้น ปัจจุบันนี้ผมได้รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระ ผมเองเป็นคนตาพิการ มองไม่เห็นหมดทั้ง ๒ ข้าง พอถึงวันพระ ผมก็ได้รับศีลทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยเป็นประจำทุกวันพระ และทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้าหลังตื่นนอน และก่อนนอนทุกคืน ผมได้นั่งเจริญสมาธิเป็นบางคืน แต่ผมไม่ได้เข้าใจผิดจากคำสอนของท่านอาจารย์ เพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นบุญกุศล ผมได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ครั้งหนึ่งว่า สิ่งใดที่เป็นกุศลให้รีบกระทำบำเพ็ญขึ้น แต่อย่าให้มีตัวตนในขณะที่ทำ ผมพยายามฟังคำบรรยายของท่านเป็นประจำทุกๆ วัน และผมปฏิบัติตาม และเจริญสติปัฏฐานอยู่ในเวลานี้ แต่การเจริญสติของผมไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเมื่อก่อนนี้ สติวันหนึ่งๆ เกิดบ่อยครั้ง และปัญญาเห็นสังขารร่างกายนั้นเป็นรูปเป็นนาม เป็นสภาวธรรมชนิดหนึ่ง ในขณะปัญญาเข้าไปรู้นั้น ไม่มีตัวตนจริงๆ และจิตเป็นกุศลมาก

    ผมลืมบอกท่านอาจารย์ว่า ที่ผมปฏิบัติเมื่อก่อนนั้น ผมได้อยู่ที่วัด แต่ละวันจิตอยากจะทำกุศลมาก และอัธยาศัยของผมรักในการสมถภาวนาเป็นอย่างมาก และรักในการวิเวกและสงบ นี้คือการที่ผมปฏิบัติ ปัจจุบันได้มาอยู่ที่บ้าน การอยู่บ้านไม่สบายในการปฏิบัติสมถะเลย แต่ไม่เป็นเครื่องกันแห่งการเจริญสติแต่อย่างไร

    ผมใคร่ถามข้อข้องใจเป็นข้อๆ ดังนี้

    ข้อ. ๑ ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้ว่า การเจริญสติเจริญอย่างไร อะไรคือรูป อะไรคือนาม ทั้งๆ ที่ก็ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ทุกวัน ทำไมสติไม่ค่อยเกิดเลย

    ข้อ. ๒ แต่ก่อนนี้ผมอยู่วัด ได้จับพระพุทธรูปบ้าง อยู่ในวิหาร ในลานเจดีย์ และให้พระหรือเณรอ่านหนังสือให้ฟังบ้าง มีปัญหาอะไรก็ถามพระบ้าง สติทำไมเกิดได้บ่อยครั้ง ทำไมไม่เหมือนกับอยู่บ้าน

    ข้อ. ๓ เมื่อได้สิ่งที่พึงปรารถนา เช่น ได้เสียงที่ไพเราะ ได้กลิ่นที่หอม และได้รับรสที่อร่อย แต่ทำไมมักจะหลงลืมสติ เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ชอบ หรือได้ยินเสียงคำหยาบคาย กลิ่นที่เหม็น ได้ลิ้มรสอาหาร หรือสัมผัสร่างกายอย่างที่ไม่ชอบ สติก็ไม่ค่อยเกิด

    ข้อ. ๔ ขณะที่ได้รับอารมณ์ปานกลาง สติเกิดบ่อยครั้ง การเจริญสติของผมเวลานี้ไม่ค่อยจะได้ผล วันหนึ่งๆ บางครั้งสติเกิดครั้งเดียว ๒ ครั้งบ้าง บางวันไม่เกิดเลย จะเป็นด้วยสิ่งที่ไม่เป็นสัปปายะแก่การปฏิบัติ

    ถ้าท่านอาจารย์มีเวลา ช่วยตอบส่วนตัวให้ทราบด้วย ถ้าไม่มีเวลา ตอบทางวิทยุก็ได้ ผมจะพยายามฟังคำบรรยายของท่าน และปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านอาจารย์นำมาบรรยาย เพื่อให้เกิดสติปัญญา ละกิเลสต่อไป

    ผมอยากจะฟังคำบรรยายของท่าน และคุยกับท่านอาจารย์ด้วยตัวจริง แต่ก็มาไม่ได้ เพราะตามองไม่เห็น

    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    สุ. ท่านผู้ฟังท่านอื่นมีความเห็นประการใดบ้างไหม ในจดหมายฉบับนี้ ซึ่งท่านถามมาทั้งหมด ๔ ข้อ

    ข้อ. ๑ ถามว่า ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้ว่า การเจริญสติ เจริญอย่างไร อะไรคือรูป อะไรคือนาม ทั้งๆ ที่ก็ฟังการบรรยายของท่านอาจารย์ทุกวัน ทำไมสติไม่ค่อยเกิดเลย

    ผู้ฟัง ที่ท่านเจ้าของจดหมายกล่าวว่า ธรรมที่ท่านปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ผลนั้น ถ้าท่านฟังคำบรรยายเข้าใจแล้ว และทั้งหมดเท่าที่ผมฟังมา อาจารย์ก็บรรยายไปแล้วทั้งหมด คือ สติจะต้องมีเหตุมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุปราศจากปัจจัยก็เกิดขึ้นไม่ได้ ท่านเจ้าของจดหมายกล่าวว่า เมื่อครั้งก่อนที่ท่านอยู่วัด ลูบคลำพระพุทธรูปบ้าง สนทนาธรรมกับพระเณรบ้าง สติของท่านเกิดบ่อยครั้ง ขณะที่ท่านอยู่วัดนั้น ลูบคลำพระพุทธรูปก็ดี สนทนาธรรมก็ดี ขณะนั้นเป็นกุศลจิตได้ ขณะที่เป็นกุศลจิตนั้น สติก็เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ท่านไม่ได้อยู่วัด ท่านอยู่ที่บ้าน โอกาสที่จะเห็นพระพุทธรูป หรือโอกาสที่จะสนทนาธรรม บางครั้งบ้านใกล้เรือนเคียงไม่มีใครสนทนาธรรมด้วย ก็ไม่ได้พูดถึงธรรมเลย เพราะฉะนั้น สติที่จะเกิดขึ้นนั้น โอกาสก็มีน้อย วันหนึ่งเกิดได้ครั้งหนึ่ง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง นั่นก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว การเจริญสติปัฏฐานนี้ อาจารย์ก็เคยบรรยายไปแล้วในเรื่องสัปปายสัมปชัญญะ อยู่ที่ไหนสติเกิด บางแห่งสติก็ไม่เกิด นี่ก็สำคัญอยู่ เพราะฉะนั้น ขอให้เจ้าของจดหมายหาที่สัปปายะ สติจะได้เกิดมากหน่อย

    สุ. ทุกท่านอย่าลืมว่า จุดประสงค์ของการอบรมเจริญสติปัฏฐานนั้น เพื่อให้ปัญญารู้ชัดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าส่วนมากท่านผู้ฟังอาจจะปนสติกับสมาธิ ท่านจะมีความพอใจในความสงบ และเข้าใจว่าในขณะนั้นสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ท่านเข้าใจว่า ท่านรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแล้ว แต่เป็นนามธรรมและรูปธรรมบางประเภท บางชนิดเท่านั้น ไม่ใช่ชีวิตตามปกติตามความเป็นจริงที่ไม่ได้อยู่ในวัด เพราะฉะนั้น การที่จะรู้เพียงบางนามบางรูปในบางสถานที่เท่านั้น ไม่เพียงพอแก่การที่จะชื่อว่า ปัญญาได้อบรมเกิดขึ้นรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแล้ว

    ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ที่ได้อบรมแล้ว จะเกิดพร้อมสติในขณะหนึ่งขณะใด และรู้ชัดแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏได้ทั้งสิ้น นี่เป็นปัญญาที่ควรจะต้องอบรมเจริญให้เกิดขึ้น จึงจะละการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ถ้าอยู่ที่วัด หรือบางสถานที่ และรู้สึกว่าสติเกิด แต่เวลาที่อยู่นอกวัดหรือบางสถานที่ รู้สึกว่าสติไม่เกิด แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า ปัญญายังอบรมมาไม่พอที่จะเกิดขึ้นพร้อมสติที่จะรู้ชัดจริงๆ ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย ทุกอย่างที่กำลังปรากฏ เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น ซึ่งผู้หนึ่งผู้ใดไม่สามารถที่จะเลือกได้ว่า ให้อารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์เกิด หรือให้อารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์เกิด

    ชีวิตของท่านตามความเป็นจริงของแต่ละคนก็ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่จะให้เป็นตัวท่านจริงๆ ในสถานที่นั้นจริงๆ ในขณะนั้นจริงๆ ซึ่งการที่จะดับกิเลสก็คือปัญญาต้องสามารถแทงตลอดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทุกประเภท ซึ่งท่านเคยยึดถือว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่ว่าเลือกเฉพาะบางนามบางรูป พอถึงบางสถานที่ นามอื่น รูปอื่น ปัญญาก็ไม่สามารถเกิดขึ้นรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้

    เพราะฉะนั้น ถ้ายังรู้ตัวว่า ชีวิตปกติประจำวันที่เป็นอยู่แล้ว คือ ไม่ใช่ที่วัด ปัญญาและสติไม่ได้เกิดขึ้นเพียงพอที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ว่าที่จะละกิเลสได้ ปัญญาต้องเกิดขึ้นรู้ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ว่ายังไม่รู้ในสถานที่ใด ก็อบรมเจริญสติระลึกรู้เนืองๆ บ่อยๆ จนกว่าจะชินกับนามนั้นๆ รูปนั้นๆ

    อย่างชีวิตที่บ้าน บางท่านบอกว่า วุ่นวายมากเหลือเกิน แต่จริงไหม เป็นชีวิตจริงๆ หรือเปล่า ไม่ใช่ตัวตนจริงไหม เป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น จริงหรือเปล่า ถ้าชีวิตจริงๆ ของท่านยังอยู่ที่บ้าน เป็นคฤหัสถ์ที่ครองเรือนอยู่ ที่จะรู้ได้ก็จะต้องอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนั้นๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง และปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น สติก็จะระลึก ปัญญาก็จะรู้ชัดขึ้นในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในชีวิตจริงๆ ของท่านได้

    แต่ถ้ายังหวังอยู่ว่า จะไปที่อื่นชั่วคราว ก็ขอให้เป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน และเวลาที่ไม่อยู่ที่นั้น กลับมาหลงลืมสติ ก็ให้รู้ว่านี่คือตัวจริงของท่าน คือ การที่ยังมีกิเลสมากมายเหลือเกินและมีชีวิตจริงอย่างนี้ พร้อมกับการที่หลงลืมสติ และปัญญาก็ยังไม่ได้รู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่จะละการยึดถือว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

    เพราะฉะนั้น จะมีใครทราบดีกว่าตัวท่านว่า ชีวิตจริงของท่านเป็นอย่างไหน เป็นแบบไหน แม้แต่ตัวท่านเองทราบไหมว่า ชีวิตจริงๆ ของท่านเป็นอย่างไร ก็คือเดี๋ยวนี้ กำลังอยู่ที่นี่ นี่คือชีวิตจริงของท่าน ท่านที่ไม่ใช่บรรพชิต นี่คือชีวิตจริงๆ ของท่านในขณะนี้ ที่จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ชัดในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลได้

    เมื่อยังไม่รู้ และจะต้องรู้ ก็อบรมเสียให้รู้ตามปกติตามความเป็นจริง แต่ถ้ายังหวัง ยังคอย ที่จะไปรู้เพียงบางนามบางรูปในบางสถานที่ นั่นไม่พอเลยกับการที่จะอบรมปัญญาให้ประจักษ์แจ้งในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมโดยทั่ว โดยละเอียด

    เมื่อใดที่สติเริ่มเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง เมื่อนั้นก็แสดงให้เห็นว่า วันหนึ่งจากการอบรมอย่างนี้ สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั่วขึ้น ละเอียดขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ สติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรมและนามธรรมทั่วขึ้นและละเอียดขึ้น จึงจะเพิ่มความรู้ขึ้น เป็นปัจจัยให้เกิดการละคลายมากขึ้น จึงจะแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อกันว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างจึงจะประจักษ์ว่า สภาพธรรมใดเกิดแล้วดับ

    สำหรับปัญหาข้อ ๒ ก็คงจะโดยนัยเดียวกัน

    ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทุกขณะเลย ลักษณะใดที่สติยังไม่ได้ระลึก ก็ควรที่จะระลึกรู้ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่วัด หรือที่ไหนก็ตาม เพื่อเป็นการอบรมเจริญปัญญาให้รู้ทั่ว ให้รู้นามและรูปละเอียดขึ้น

    ข้อ. ๓ ที่ท่านถามว่า เมื่อได้สิ่งที่พึงปรารถนา เช่น ได้เสียงที่ไพเราะ ได้กลิ่นที่หอม และได้รับรสที่อร่อย แต่ทำไมมักจะหลงลืมสติ

    ก็เพราะว่าไม่ได้อบรมเจริญสติให้ทั่ว เพราะฉะนั้น พออารมณ์ประณีตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายปรากฏ เลยหลงลืม แต่ถ้าเริ่มระลึกบ่อยๆ ก็ชิน ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ประณีตสักเท่าไร สติก็สามารถที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นได้



    คำบรรยายคัดลอกจาก E-book
    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๕๕๑ – ๕๖๐
    เรียบเรียงอักษรให้อยู่ในรูปแบบหนังสือ โดยมีเนื้อหาใจความสำคัญครบถ้วน
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 42
    28 ธ.ค. 2564