พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 656


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๕๖

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ผู้ฟัง ยังมีสภาพที่เกิดดับแล้วไม่ปรากฏด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้สิ่งที่เกิดดับไม่ปรากฏ หรือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ต้องรู้สิ่งที่เกิดดับปรากฏได้ให้รู้ได้ แต่ก็ต้องทราบว่ายังมีสิ่งที่เกิดดับแล้วไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้เยอะเลย รู้ หรือเปล่าอะไรเกิดแล้วดับแล้วเมื่อวานนี้

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ต่อไปก็เช่นเดียวกันถ้าไม่ฟังธรรมให้เข้าใจขึ้น จะได้เข้าใจธรรม เวลาที่ฟังธรรมก็คือว่าขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าฟัง และก็มีธรรมที่กำลังปรากฏก็จะได้ค่อยๆ ใช้คำว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นเพราะเหตุว่าธรรมละเอียดลึกซึ้งมากในขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตาทุกคนบอกว่าเห็น เพราะฉะนั้น ลักษณะที่ปรากฏถ้าไม่มีการเห็นก็จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เราก็ไม่ได้คิดถึงเลยว่ามีสิ่งที่ปรากฏเมื่อมีธาตุที่กำลังเห็นสิ่งนี้ นี่คือวิญญาณ ไม่ใช่ผิดปกติใดๆ เลยทั้งสิ้น ตั้งแต่เกิดมาก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะใดก็มีสภาพ หรือธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏ เสียงปรากฏ กลิ่นปรากฏ รสปรากฏ เรื่องราวที่คิดนึกปรากฏเพราะขณะนั้นมีธาตุที่กำลังรู้สิ่งนั้น ไม่ทำอะไรเลยนอกจากมีปัจจัยเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป นี่คือลักษณะของวิญญาณ ขณะนี้มีวิญญาณไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นต้องที่กำลังเห็นนี่แหละเป็นวิญญาณ

    ผู้ฟัง ได้ยินขณะที่ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เสียงปรากฏ ขณะนั้นมีวิญญาณที่กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น ไม่มีความสงสัยในเรื่องของวิญญาณ แต่ว่าขณะที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดต้องมีสภาพธรรมอื่นเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น เวลาที่ธาตุที่กำลังเห็นเกิดขึ้นเห็นต้องมีสภาพธรรมที่อาศัยปรุงแต่งเป็นปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมกัน ขณะนั้นจำสิ่งที่เห็น จริง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริง เพราะฉะนั้น เข้าใจสภาพจำแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีการเห็นเมื่อไหร่ก็มีสภาพที่จำสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ได้ยินเสียง ได้ยินเป็นธาตุรู้ เป็นจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน เป็นวิญญาณในการรู้เสียง จำเสียงที่ปรากฏด้วย มิฉะนั้น จะไม่รู้เลยถ้าไม่มีการจำเสียงใดๆ จะไม่มีการเข้าใจความหมายของเสียงสักเสียงเดียว แต่ทันทีที่เสียงปรากฏเพราะวิญญาณเกิดขึ้นได้ยิน สภาพจำ สัญญาเจตสิกก็เกิดขึ้น จำสิ่งที่กำลังได้ยินทันที พร้อมกันเลย เพราะฉะนั้น จำไม่ใช่สภาพที่เป็นใหญ่ในการได้ยินเสียง แต่เวลาที่มีการได้ยินเสียงสภาพจำก็เกิดขึ้นจำ เสียงที่กำลังได้ยินทันที ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเป็นความเห็นที่ถูกต้องภาษาบาลีใช้คำว่า "ปัญญา" มีจริงๆ เข้าใจจริงๆ ก่อนฟังไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจในเรื่องธาตุรู้สภาพรู้กับสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่พอได้ฟังแล้วมีความเข้าใจแม้ในขณะนี้ก็เป็นเพียงธาตุ หรือเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเห็น นี่เริ่มเข้าใจแล้วเวลาเสียงปรากฏก็มีธาตุคือธรรมที่เกิดขึ้นได้ยินเสียง และก็มีสภาพที่จำเสียงที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี่เป็นธรรม ขณะที่เข้าใจเพียงเท่านี้ เพียงเท่านี้ก็เป็นปัญญาเพียงเท่านี้ แต่ว่ายังไม่ได้สามารถที่จะเข้าใจถึงความเป็นธรรมของทุกสิ่งทุกอย่างที่มี และปรากฏในชีวิตประจำวัน ขณะนี้ก็ต้องตอบตามความเป็นจริง เห็นอะไร ถามอีกแล้ว

    ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ นี่จำ แต่เห็นอะไร มีใครบ้างที่พอถูกถามแล้วก็บอกว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา นั่นจำไว้ต่างหากว่าเห็นจริงๆ นั้นต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ต้องเรียกคำอะไรเลย แต่แสดงว่าสิ่งนี้มีจริงแน่นอนในสังสารวัฏฏ์ สิ่งนี้มีจริงแน่นอนเพราะกำลังปรากฏ แล้วที่จะตอบว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแค่จำ ทีนี้ไม่ต้องอาศัยอย่างนั้น ถามแล้วก็ให้ตอบ เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไรอีกไหม

    ผู้ฟัง เห็นไมโครโฟน

    ท่านอาจารย์ สองอย่างเหมือนกันไหม

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ ไม่เหมือน ทั้งๆ ที่ปรากฏให้เห็น ทั้งสองอย่างปรากฏให้เห็นแต่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เห็นความละเอียดของธรรม ซึ่งต่อไปเวลาได้ยินคำอะไรก็จะได้มีความเข้าใจสิ่งนั้นลึกซึ้งขึ้น เช่นถ้าตอบว่าเห็นไมโครโฟนจะต้องมีสิ่งที่ปรากฏรูปร่างสัณฐาน เด็กๆ รู้ไหมว่าเป็นไมโครโฟน เด็กรู้ไหมว่าเป็นไมโครโฟน ถามเด็ก แล้วเด็กจะตอบไหมว่าไมโครโฟน

    ผู้ฟัง ถ้าแบเบาะก็ไม่ตอบ

    ท่านอาจารย์ เด็กไม่รู้จักสิ่งนี้ที่เป็นชื่อแต่ว่าเห็นเหมือนกันหมด และเวลาที่สภาพจำเกิดขึ้นก็จำเหมือนกันหมด จะไปจำสิ่งที่ไม่เห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่เป็นนกเป็นสัตว์เป็นอะไรก็ตามแต่ สภาพเห็นไม่ได้เป็นของใครเลยเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเห็นแล้วดับ แต่ขณะนั้นสภาพจำก็จำสิ่งที่ปรากฏถ้าโดยการศึกษาแล้วก็โดยการค่อยๆ พิจารณาธรรมว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วต้องดับไม่เที่ยงเลย แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่เห็นดับสักที ใช่ไหม แสดงว่าปัญญาของคนไม่รู้กับปัญญาของคนรู้ต่างกันแค่ไหน ไม่มีทางที่ขณะนี้จะรู้การเกิดดับของสภาพธรรมที่ปรากฏแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังอีกอาจตลอดชีวิต เพียงแต่สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกว่าต้องจริง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดปรากฏแล้วหมดไป ไม่มีอะไรเลยซึ่งไม่หมด แต่ขณะที่เกิดแล้วดับอย่างรวดเร็ว และสืบต่อกันโดยไม่รู้เลยขณะนี้เป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ก็กำลังเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นสิ่งต่างๆ ขึ้นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อ เมื่อเห็นเกิดแล้วดับแล้ว เห็นเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏ แต่เพราะการเกิดดับสืบต่อจำก็จำเรื่อยมา จนกระทั่งเป็นรูปร่างสัณฐาน จำก็จำในรูปร่างสัณฐานขณะนี้เป็นอย่างนี้ จากเห็นมีสิ่งที่ปรากฏแล้วก็เกิดดับจนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต เป็นรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้น ถามว่าเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ แน่ใจ หรือ

    ผู้ฟัง แน่ใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นสิ่งที่ปรากฏจะไม่เป็นอะไรเลยทั้งสิ้น ก็เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏใช่ไหม เพราะฉะนั้น ขณะนี้เห็นอะไร เมื่อกี้ตอบว่าเห็นไมโครโฟนใช่ไหม มีคนก็กระซิบถามอีกว่า นิมิต หรือเปล่า ได้ยินชื่อแต่ไม่เคยรู้จักคำนี้จริงๆ เลยถึงได้ถามว่านิมิต หรือเปล่า ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงให้จำชื่อแล้วก็สงสัยอยู่นั่นแหละนิมิตคืออะไร อนุพยัญชนะคืออะไร สิ่งที่ปรากฏทางตาคืออะไร ไม่ใช่ให้เกิดความสงสัยอย่างนั้น แต่ว่าให้เข้าใจตามความเป็นจริง ตามการสะสมที่สามารถจะเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้บางท่านก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิต ท่านขอเกิดอีกก็ขอให้สามารถฟัง และเข้าใจธรรมได้ เพราะว่าขณะนี้เราก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนๆ เคยคิดอย่างนั้น หรือเปล่า แต่ขณะนี้ก็มีโอกาสได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับว่าสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังฟัง หรือเปล่า เพราะฉะนั้น ถ้ามีคำถามว่านิมิตใช่ไหม ก็แปลว่าได้ยินคำนี้แต่พอมีใช่ไหม ก็ไม่รู้ว่าอะไร แม้ไม่ต้องเรียกชื่อแต่สิ่งที่ปรากฏ เพราะการเกิดดับสืบต่อซึ่งไม่มีใครรู้เลย ตั้งแต่เห็นจนกระทั่งถึงเป็นรูปร่างสัณฐาน จิต เจตสิกเกิดดับนับไม่ถ้วน ไม่ต้องมีการนับเลย นี่คือความรวดเร็วของธรรม ที่ปิดบังไม่ให้รู้ความจริงว่า ขณะนี้เหมือนเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ และจำได้ด้วยว่าเป็นอะไร เพราะเหตุว่ารูปร่างสัณฐานที่มีทำให้สัญญาคือสภาพที่จำที่มีจริงแต่ไม่ใช่จิตเป็นเจตสิก เป็นนามธรรมที่เกิดกับจิตเกิดขึ้นทำกิจของตนเอง ใครจะทำกิจของสัญญาเจตสิกไม่ได้เลย สัญญาเจตสิกกำลังจำแม้แต่เสียง แม้แต่คำ แม้แต่เรื่อง ทุกอย่างรวดเร็วแค่ไหน ลองคิดดู เห็นก็จำแล้ว เสียงก็จำแล้ว ยังฟังรู้เรื่องจำความหมายอีก เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นการเกิดดับสืบต่อที่เร็วมากซึ่งนิมิตหมายความถึงสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างต่างๆ ทางตาถูกต้องไหม ไม่มีใครปฏิเสธว่าขณะนี้มีรูปร่างต่างๆ ทางตาแล้วเวลาที่มีรูปร่างแล้ว มีปัญญัติ ทำให้รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร บัญญัติรู้ในสิ่งที่เป็นนิมิต ถ้าไม่มีนิมิตเลยจะมีบัญญัติรู้ไหม หมายรู้ไหม จำได้ไหม เข้าใจได้ไหมว่า สิ่งนั้นคืออะไร แต่เพราะมีนิมิตจึงเกิดปัญญัติ หรือที่เราใช้คำว่า "บัญญัติ" แม้ไม่เป็นคำพูดก็เป็นอรรถบัญญัติของสิ่งที่ปรากฏว่าสิ่งนั้นคืออะไร อย่างเมื่อวานนี้ถามบอกว่าเห็นคุณอรวรรณไหม คุณบุษกรเห็นคุณอรวรรณไหม เหมือนจริงเพราะนิมิตเป็นคุณบุษกรที่จำได้ใช่ไหม แต่ไม่มีคุณบุษกรจริงๆ เลย แต่มีรูปที่กำลังปรากฏให้เห็นเป็นนิมิตซึ่งจำชื่อได้ว่าเป็นคุณอรวรรณ ไม่ว่าจะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีอรรถบัญญัติว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร และก็มีสัททบัญญัติที่จะเรียกสิ่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่เหมือนเห็นคุณอรรวรรณ ความจริงก็คือเหมือนจริง เป็นคุณอรวรรณแต่ไม่มีคุณอรวรรณจริงๆ เพราะว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เวลาที่เห็นเงาของภูเขา เงามีจริงๆ ใช่ไหม แล้วเงาเป็นภูเขา หรือเปล่า ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น สิ่งซึ่งปรากฏเป็นคนเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ โดยสมมติ หรือว่าโดยนิมิตจริง เพราะว่านิมิตเป็นอย่างนั้น ก็บัญญัติรู้ความหมายของสิ่งนั้นว่าเป็นอะไร แต่ว่าตามความเป็นจริงแท้ๆ ก็คือว่า เป็นสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด แต่เพราะความรวดเร็วสิ่งที่เหลือให้ปรากฏในแต่ละทางก็เป็นเพียงนิมิตของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกของนิมิตโดยไม่รู้เลย ไม่ว่าจะพูดถึงอะไร พูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาแต่ก็เห็นเป็นคนอยู่นั่นแหละ กำลังใช้คำว่า "เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" ก็ยังเห็นเป็นคนใช่ไหม เพราะความรวดเร็วของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น พระธรรมเพื่อเข้าใจ ฟังเพื่อเข้าใจในขณะที่เข้าใจก็ละความไม่เข้าใจ ละความสงสัย ละความไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วธรรมแต่ละอย่างเป็นหนึ่งจริงๆ สิ่งที่ปรากฏทางตาจะเป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เป็นได้อย่างเดียวคือเป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เมื่อจักขุปสาทกระทบเป็นปัจจัยให้จิตธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วสิ่งนี้ก็ปรากฏ แต่เพราะความรวดเร็วของการเกิดดับ รูปก็ดับไปๆ แต่การสืบต่อทำให้ปรากฏเป็นนิมิตของรูปนั้น จึงใช้คำว่า "รู ปะ นิ มิต ตะ" ทุกอย่างซึ่งเกิดดับเร็วมาก แต่เพราะการเกิดดับสืบต่อนั่นเองจึงทำให้ปรากฏรู้ได้ว่าเป็นลักษณะของสิ่งที่ดับแต่ละอย่าง แต่ละธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ อย่างแข็งลักษณะแข็งปรากฏมีจริง

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมของแข็งเป็นอะไร มีจริงเป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    ผู้ฟัง เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แล้ววันนี้คุณสุกัญญา มีแต่แข็งปรากฏตั้งแต่เช้า หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ทั้งๆ ที่แข็งก็ปรากฏตั้งเช้าเลยแต่ก็บอกว่าไม่มีแข็งปราฏปรากฏตั้งแต่เช้า เพราะอะไรปรากฏ ถ้วย จาน ชาม ที่นอน หมอนมุ้ง แปรงสีฟัน เสื้อผ้าปรากฏ ไม่ได้บอกเลยว่ามีแข็งปรากฏตั้งแต่เช้า

    ผู้ฟัง แต่ว่าลักษณะของสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏในชีวิตประจำวันได้มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นนิมิตของปรมัตถธรรม ต้องมีธรรมที่มีจริงเป็นปรมัตถ แต่ใครจะไปรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อจนปรากฏเป็นนิมิตทั้งหมด เป็นรู ปะ นิ มิต เป็นเวทนานิมิต เป็นสัญญานิมิต เป็นสังขารนิมิต เป็นวิญญาณนิมิต หรือจะใช้คำรวมว่าเป็นสังขารนิมิตทั้งหมด นี่เราอยู่ในโลกไหน โลกของการที่ไม่สามารถจะรู้ความจริงแท้ๆ ของสภาพธรรม จนกว่าจะได้ยินได้ฟัง และเป็นผู้ที่ไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ได้ฟังธรรมพิจารณาด้วยความแยบคายด้วยความถูกต้อง ด้วยความเข้าใจที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้น จึงสามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งเป็นความจริงในสังสารวัฏฏ์ หรือเป็นความจริงของสังสารวัฎฎ์นั่นเอง เพราะเหตุว่าสังสารวัฏฏ์ก็จะไม่พ้นจากมีสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วแต่ไม่ปรากฏกับอวิชชา หรือความไม่รู้

    ผู้ฟัง สภาพธรรมจะต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง ถ้าสภาพธรรมนั้นรู้ด้วยจิต หรือรู้ด้วยความจำก็ไม่ใช่ความจริง

    ท่านอาจารย์ จำมีจริงไหม

    ผู้ฟัง จำมีจริง

    ท่านอาจารย์ อะไรจริง

    ผู้ฟัง ความจำก็จริง สภาพธรรมก็จริง

    ท่านอาจารย์ จำแล้วก็ดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เกิดต่อแล้วก็จำทุกขณะจิต เพราะฉะนั้น เวลานี้ทุกคนบอกว่าจำได้ ขณะที่พูดว่าจำได้ นั่นก็เป็นสัญญานิมิตของสภาพจำซึ่งเกิดดับสืบต่อในสิ่งที่จำ

    ผู้ฟัง แต่การที่จะเข้าถึงลักษณะของความจำที่มีจริงก็ต้องด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น อย่าลืม "ตื่น" ผู้เบิกบาน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของธรรมทั้งหมดโดยประการทั้งปวงด้วยพระองค์เอง ทรงพระมหากรุณาเห็นว่าใครจะรู้ได้อย่างนี้ถ้าไม่ทรงแสดงธรรม ไม่มีทางที่ใครจะตื่นขึ้นรู้ความจริงเลยเพราะก่อนที่จะตรัสรู้ก็หลับใช่ไหม แต่ว่าได้บำเพ็ญพระบารมีเหมือนทุกคนขณะนี้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไหร่ก็ตื่น แต่ตื่นโดยฐานะไหน โดยฐานะที่ฟังเข้าใจแล้วก็อบรมเพื่อที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นจนกระทั่งประจักษ์แจ้งเป็นสาวกไม่ใช่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะต้องฟังพระธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ แล้วต่างจากความคิดนึกอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คิดนึกมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก หรือเป็นจิต

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบเก่ง แล้วลักษณะของเจตสิกปรากฏ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าปรากฏก็เป็นนิมิตของสภาพธรรมนั้นซึ่งเกิดดับสืบต่อ

    ผู้ฟัง ทุกอย่างมีจริงหมด

    ท่านอาจารย์ แต่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ต้องเป็นปัญญาที่เริ่มมีโอกาสได้ยินได้ฟัง เห็นคุณค่าจริงๆ ว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากสัจจธรรม แต่ไม่รู้ความจริงซึ่งเป็นสัจจธรรมเลย

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ สภาพคิดนึกก็ต้องมีความจำ

    ท่านอาจารย์ กำลังคิด คุณสุกัญญากำลังคิดไม่ต้องสงสัยเลย

    ผู้ฟัง ก็ต้องมีความจำด้วย

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่จำจะคิดได้ไหม ถ้าไม่จำจะคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเมื่อกี้คุณสุกัญญาพูดว่า "ไม่ได้" ก็ต้องมีการจำคำว่า "ไม่" ต้องมีการจำคำว่า "ได้" ด้วยจึงนึกถึง "ไม่ได้" แล้วพูดมีเสียงออกมาว่า "ไม่ได้"

    ผู้ฟัง เหมือนกับมีทั้งสภาพคิด และสภาพจำปรากฏ

    ท่านอาจารย์ พร้อมกัน หรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็ไม่พร้อมกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าอยู่ในโลกของความลวง ความหลง ความไม่เข้าใจจนกว่าจะได้ฟังธรรมแล้วเริ่มเข้าใจขึ้น ไม่ต้องไปทำอะไรเลย เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น นั่นคือผู้ที่เข้าใจธรรม แต่ว่าถ้าผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม จะทำแล้ว ฟังแล้วทำอย่างไรจะเข้าใจมากกว่านี้ ไม่ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ถ้าปัญญาที่จะรู้สภาพนั้นก็คือเป็นปัญญาที่จะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ เข้าใจ เข้าใจจากการฟัง คิดเองไม่ได้เลย ฟังแล้วเริ่มเข้าใจยังไม่ต้องไปเห็นอะไรทั้งหมด ถ้าไม่มีความเข้าใจจะเห็นอะไรก็ไม่มีประโยชน์เพราะเห็นแล้วไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง จะเรียนถามว่าในลักษณะที่เห็น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็น

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจ หรือความเห็น

    ผู้ฟัง ความเข้าใจที่ถูกต้องที่เป็นปัญญาแล้ว

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจแล้วเป็นปัญญาไหม ถ้าเข้าใจถูก

    ผู้ฟัง เป็น ปัญญานั้นก็จะให้รู้สภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้รู้ เข้าใจจากการฟัง เวลานี้กำลังฟังแล้วมีสิ่งที่ปรากฏ เพราะพูดถึงสิ่งที่ปรากฏให้ฟัง ให้รู้ความจริงว่าความจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอย่างไร คืออะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ต้องไปคิดไปเห็น เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    ผู้ฟัง คือปัญญานั้นก็จะ ...

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเข้าใจสิ่งที่กำลังแล้วอย่างไง จะอะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏนั้นก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่เป็นความจริง

    ท่านอาจารย์ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ยังไม่รู้จักธรรมมีแต่ชื่อตามหนังสือต่างๆ พระธรรมวินัยแล้วอยู่ที่ไหนถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริงขณะนี้ แต่ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงอยู่ในพระไตรปิฎก คำสอนทั้งหมด ๔๕ พรรษา และอรรถกถา เพื่อให้เข้าใจแต่ละคำที่ตรัส จักขุวิญญาณ รูปารมณ์ สองคำนี่เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า หรือถึงอย่างไงๆ ฟังไปอย่างไงๆ ก็ยังต้องพูดถึง เพราะว่าจะเป็นผู้ที่ตรงว่าเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังได้ยินได้ฟังเรื่องนั้น ฐานะไหน โดยเพียงแค่ไหนโดยการแค่การฟัง แล้วก็การคิด หรือว่ากำลังเริ่มรู้ลักษณะที่เห็น

    ผู้ฟัง คือจะเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และก็มีนิมิต

    ท่านอาจารย์ ธรรมดาปกติคนที่เข้าใจก็ต้องเห็นอย่างนี้เพราะเป็นจิตนิยาม เป็นธรรมนิยาม ใครจะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของธรรมไม่ได้

    ผู้ฟัง เพราะในแต่ละวันเราก็จะรู้ว่าเป็นช้อนเป็นส้อมเป็นอะไรๆ ...

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความจริงใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่เพราะจำนิมิต ลองจำไม่ได้บอกไปหยิบช้อนจะหยิบถูกไหม ไม่รู้จักด้วยซ้ำไป

    ผู้ฟัง สำหรับผู้ที่มีปัญญาที่จะรู้ว่าสภาพธรรมที่แท้จริงนั้นก็จะรู้สภาพธรรมที่แท้จริงโดยที่ไม่มีนิมิต หรือ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนคุณพรทิพย์ ใครสอนเรื่องธรรมในขณะนี้

    ผู้ฟัง พระพุทธองค์

    ท่านอาจารย์ รู้จริง หรือเปล่าถึงได้สอน เพราะว่าเมื่อกี้คุณพรทิพย์สงสัยใช่ไหม

    ผู้ฟัง สงสัยในลักษณะของผู้ที่ทราบแล้ว ผู้ที่ประจักษ์

    ท่านอาจารย์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว แล้วสงสัยว่าพระองค์จะรู้ไหม หรืออย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ สงสัยว่าในเมื่อถ้าประจักษ์แล้ว นิมิต

    ท่านอาจารย์ ถ้าประจักษ์แล้วคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อประจักษ์แล้วเป็นอย่างไร

    ผู้ฟัง นิมิตก็จะไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มีได้อย่างไง แล้วจะสอนได้อย่างไง ว่าที่ปรากฏขณะนี้เพราะการเกิดดับของจิตจึงได้มีคำว่า "นิมิต" ตามความเป็นจริง เหมือนกับว่าคนที่รู้แล้วจะไม่ให้เห็นอะไรเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่ว่าปัญญารู้ความจริงซึ่งไม่เปลี่ยน ความจริงทุกอย่างโดยประการทั้งปวงโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น คิดถึงพระอริยบุคคล พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วสิ่งที่ปรากฏเกิดดับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567