พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 611


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๑๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ เพราะว่ากว่าปัญญาจะค่อยๆ อบรมจนกระทั่งรู้จริงๆ อย่างนั้นได้ ก็ต้องอาศัยการค่อยๆ เข้าใจทั้งหมดที่ได้ฟังมา จะเป็นเมื่อครู่นี้ หรือหลายๆ วันก่อน ก็คือเพื่อให้มีมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะทุกคนเข้าใจว่า สิ่งนั้นเป็นเรา และเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ความจริงสิ่งที่มีจริงเกิดขณะแรก และเป็นไปโดยไม่มีใครสามารถยับยั้งได้ว่า วันไหนจะให้มีการเห็น หรือวันไหนจะได้ยิน หรือวันไหนจะคิดนึกเรื่องอะไร เป็นไปตลอด โดยไม่มีใครสามารถยับยั้งได้เลย จนถึงขณะสุดท้าย ใครยับยั้งได้ไหม เป็นไปมาทั้งหมดของสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นเราในชาติหนึ่งๆ แท้ที่จริงก็คือเมื่อเกิดแล้วต้องเป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับเรื่องราวที่คิดนึก จนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ อยู่ต่อไปได้ไหม มีใครจะอยู่ต่อไปอีกได้ หรือไม่ ก็ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงทั้งหมดที่เป็นไปตั้งแต่เกิดจนถึงขณะสุดท้าย ก็เป็นไปตามปัจจัยซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นเลย แต่ต้องเป็นอย่างนั้น

    ขณะนี้ทุกคนนั่งที่นี่ มีชื่อต่างๆ กัน เพียงชื่อ แต่ธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นเป็นไป โดยไม่ต้องเป็นชื่อใดๆ เลยทั้งสิ้น ที่จะต้องสมมติว่า เป็นคนนั้นคนนี้ แต่เนื่องจากธรรมหลากหลายมาก ก็ต้องใช้ชื่อแต่ละชื่อ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตลอดชีวิตไม่มีสภาพธรรมใดที่เหลืออยู่เลยสักอย่างเดียว แม้แต่สิ่งที่เราใช้คำว่า สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เอง มีจริงๆ ชั่วคราว หลับสนิทมีไหม ขณะที่ได้ยิน เห็นยังมีไหม ขณะที่กำลังกระทบแข็ง เห็นยังมีไหม

    เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่แม้เป็นจริงอย่างนี้ กว่าจะรู้อย่างนี้ตามความเป็นจริงก็ต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่าง จึงจะเป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่หลายๆ อย่างรวมกัน เช่นในขณะนี้เพียงพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏให้เห็น เพียงอย่างเดียว พระผู้มีพระภาคตรัสกี่ครั้งในพระไตรปิฎก กี่แห่ง กับใครบ้าง และแม้แต่คนเดียวกันนั้นก็ยังตรัสถึงสภาพธรรมที่มีจริง คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครที่ไปเฝ้า ก็ทรงแสดงธรรมที่มีจริงให้บุคคลนั้นได้เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ขณะนี้

    เพราะฉะนั้น การฟังแต่ละครั้งกว่าจะมีความเข้าใจจนสามารถเข้าถึง "ปฏิปัตติ" เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ด้วยการเริ่มเห็นว่า เกิดเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงก็ทำให้ผู้ฟังเห็นความต่างกันของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และสาวก ความต่างกันคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่สามารถรู้ได้ แต่สาวก คือ ผู้ฟัง สามารถฟัง และเข้าใจได้แค่ไหน แล้วแต่การสะสม บางคนสะสมมาที่สามารถเข้าใจสภาพธรรมขณะนี้ถึงความเป็นพระอรหันต์ น่าอัศจรรย์ไหม สิ่งที่กำลังปรากฏแล้วคนอื่นไม่รู้ พูดบ่อยๆ หลายๆ ครั้ง กว่าจะรู้ กว่าจะเข้าใจทีละลักษณะ ค่อยๆ น้อมไปสู่ความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย ก็เกิดมีโลภะ ความต้องการเกิดแทรกคั่น มาในอากาศทันที อยากจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถึงกับคิดว่า แล้วเมื่อไรจะรู้ความจริง จะรู้ความจริงได้อย่างไรในเมื่อกำลังฟัง และมีสิ่งที่กำลังปรากฏ และกำลังรู้ความจริงเดี๋ยวนี้เท่าไร ไม่ถึงการประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ เพียงด้วยความรู้ขั้นฟัง แล้วยังไม่รู้ว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ได้ฟัง กำลังฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ลืมธรรม หรือไม่ ลืมธรรมที่กำลังเกิดดับ มีจริงๆ ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้น และทางกายที่กระทบสัมผัสก็ลืม แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ถ้าไม่ลืมสิ่งที่มีจริงมีลักษณะปรากฏจริงๆ ให้รู้ได้ว่า เป็นธรรม เช่น แข็ง เมื่อกี้นี้ก็ไม่รู้ แต่ขณะใดที่มีลักษณะของแข็งกำลังปรากฏ เริ่มเห็นว่า เป็นธรรมอย่างหนึ่ง นั่นคือผลของการฟังเข้าใจว่า ธรรมไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย ขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด และมีลักษณะเฉพาะธรรมแต่ละอย่างด้วย อยู่ที่ว่าจะถึง “ปฏิ” เฉพาะลักษณะนั้น หรือไม่ เช่น แข็ง ถึงลักษณะที่เป็นแข็งชั่วคราว และต่อจากนั้นสภาพธรรมอื่นเกิดดับ ก็ลืมไปอีก ไม่ใช่มีแต่แข็ง อย่างทางตา มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย แข็งปรากฏให้รู้ว่ามีแข็งเมื่อกระทบสัมผัสฉันใด ธาตุที่สามารถปรากฏให้รู้ว่า มีจริงๆ ก็ปรากฏทางตาว่า สิ่งนี้มีจริงสามารถเห็นได้ในขณะที่กำลังเห็น เท่านั้นเอง

    นี่คือชีวิตแต่ละขณะซึ่งเป็นไป ซึ่งเกิดแล้วต้องเป็นไป ปฏิสนธิเกิดขึ้นแล้วเป็นปวัตติ คือ ต้องเป็นไปๆ แต่ละขณะซึ่งยับยั้งไม่ได้เลย

    วันนี้ต้องการอะไรบ้าง จริงๆ ก็รู้ว่า แต่ละคนฟังแล้วอาจจะลืมว่า เมื่อครู่ได้ฟังอะไรบ้าง แต่ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น ตอบคำถามสักนิดหนึ่งได้ไหมว่า ตั้งแต่เช้าต้องการอะไรอีก นอกจากต้องการรู้ ต้องการเข้าใจ เพราะพอตื่นมาก็ไม่ใช่จะต้องการเข้าใจเลย ต้องการอะไร

    ผู้ฟัง ต้องการความสงบ

    ท่านอาจารย์ ต้องการความสงบ จะได้มาจากไหน ถ้าไม่รู้ว่าสงบคืออะไร และไม่รู้ว่า เพราะอะไรจึงไม่สงบ เมื่อวานต้องการมากไหม

    ผู้ฟัง เมื่อวานนี้ต้องการมาก แต่วันนี้ไม่ต้องการมาก

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อวานนี้ที่ต้องการมาก สงบ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่สงบ เพราะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกมาก

    ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นความจริงของธรรมที่สะสมมาสืบต่อตั้งแต่เกิดจนถึง ณ บัดนี้ว่า จะต้องเป็นไปอย่างนี้ และสำหรับแต่ละคนก็ต้องเป็นไปตามการสะสมด้วย แต่ให้ทราบว่า ทุกคนมีลูกศรอยู่ในใจ ถึงไม่สงบ ลูกศรนั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ ใหญ่ไหมไม่นับเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่ แต่ลูกศรคือโมหะ คือ เกิดมาลืมตาก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จะเห็น จะได้ยิน จะรับประทานอาหาร จะนึกคิดอะไรทั้งหมด ก็ไม่รู้ความจริงของธรรมนั้นๆ เลย

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีความไม่รู้ มีความติดข้อง วันหนึ่งๆ คนที่มีลูกศรปักอยู่ในใจ ทำอะไร พล่านไปทางโน้น ทางนี้ ทางนั้นตามกำลังของลูกศร เห็นโทษเห็นภัย หรือไม่ว่า จะสงบได้ต่อเมื่อไม่มีลูกศร แต่ไม่สามารถเอาออกเองได้เลย เพราะมีสะสมอยู่ในจิตมานานมาก

    ด้วยเหตุนี้ถ้านึกถึงภาพ เป็นภาพ ทุกคนกำลังพล่านไปทุกวัน ทุกนาที แล้วแต่ว่าจะไปทางไหน เพราะเหตุว่ามีลูกศร คือ อกุศลอยังคงอยู่ในจิตใจ

    นี่แสดงให้เห็นว่า พระธรรมที่ทรงแสดง แสดงให้เห็นความจริง ซึ่งถ้าไม่ฟังจะไม่รู้เลยว่า ขณะนี้มีความไม่รู้แค่ไหน แล้วมีความติดข้องมากมายแค่ไหน จึงมีความขุ่นใจเพราะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เป็นชีวิตแต่ละวันตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมยังไม่ใช่ให้เป็นผู้ดับกิเลสทันที หรือไม่ใช่ฟังเรื่องเห็น แล้วฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วจะให้รู้ความจริงว่า ขณะนั้นไม่ใช่เราเลย ซึ่งความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ก็ฟังจนกว่าจะรู้ว่า ขณะใดที่สามารถจะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูก เพราะอย่างแข็ง ทุกคนมี ปรากฏตลอดเวลา แต่เป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงว่า ธาตุนี้ คือ ลักษณะที่แข็งมีจริง ปรากฏเมื่อกระทบสัมผัสกับกายปสาทเท่านั้น ที่ใดที่ไม่มีกายปสาท อย่างที่โต๊ะ ที่เก้าอี้ ไม่มีรูปที่เป็นกายปสาท แม้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบก็ไม่รู้ อย่างมีอะไรวางบนโต๊ะ โต๊ะรู้ไหมว่ามีอะไรวางบนโต๊ะ ก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่โต๊ะก็แข็ง และสิ่งที่กระทบโต๊ะก็แข็ง ทั้ง ๒ อย่างไม่รู้เลยว่า มีอะไรที่แข็ง ที่กำลังอยู่ตรงนั้น เพราะไม่มีธาตุรู้ ไม่มีสภาพรู้

    เพียงเท่านี้คือโลก ตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะที่ปรากฏได้ว่า มีจริงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทว่า เป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนั้น ให้เข้าใจว่า เป็นอย่างนั้นซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างแข็งเป็นแข็ง ใครเปลี่ยนแปลงได้ไหม เสียงเป็นเสียง กลิ่นเป็นกลิ่น คิดเป็นคิด คือ ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งเป็นไปตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้

    ก็คงไม่ลืมที่ครั้งหนึ่งเคยได้ยินคำว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่เว้นเลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ไม่อิสระ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้รู้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ธรรมนั้นๆ ก็ไม่เป็นอิสระเลย ถ้ามีสิ่งที่น่าพอใจปรากฏ จะไม่ให้พอใจได้ไหม ถ้ามีสิ่งที่ไม่น่าพอใจปรากฏ จะให้ไม่ขุ่นใจได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมด แม้เป็นอนัตตา ก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    ฟังเหมือนเมื่อวานนี้เลย เหมือนวันก่อนนี้เลย เหมือนทุกๆ วันเลย จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ เพราะจะฟังอะไร ถ้าไม่ใช่ฟังความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นพื้นฐานที่สามารถทำให้เห็นความจริงยิ่งขึ้นว่า เป็นธรรม ความจริงก็คือเป็นธรรม แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็เป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ฟังธรรมเหมือนกับฟังรู้เรื่อง แต่ไม่รู้ว่า เข้าใจ หรือไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ รู้เรื่องกับเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ต่างกันตรงไหน

    ผู้ฟัง ถ้าพูดถึงลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม เข้าใจคือปัญญาเจตสิก แต่รู้เรื่องเป็นอาการของนึกคิด หรือไม่ ที่ยังข้องใจอยู่

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็คือไม่ได้ฟังธรรม แต่คิดเอง เรื่องที่รู้นี่คือเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง เรื่องของธรรม

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าเข้าใจคำว่า “ธรรม”

    ผู้ฟัง บางทีก็จำได้

    ท่านอาจารย์ รู้เรื่องของธรรม เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า ธรรมคืออะไร คืออะไร คือเรื่องของธรรม

    ผู้ฟัง ที่ตอบท่านอาจารย์ได้ เพราะจำมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่เข้าใจ แต่จำชื่อได้

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามว่า ผู้ฟังธรรมพอจะเข้าใจได้อย่างไรว่า ในขณะใดที่รู้เรื่อง และในขณะใดเข้าใจธรรม เพราะว่าค่อนข้างสับสนบางทีก็เหมือนรู้เรื่องด้วย และเข้าใจด้วย บางทีก็ฟังรู้เรื่อง แต่ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ฟัง ยังไม่ต้องคิดเรื่องอื่นได้ไหม เพื่อจะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ขณะนี้มีธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ นี้เข้าใจ หรือรู้เรื่อง

    ผู้ฟัง จากการสะสมมาก็เข้าใจระดับหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เริ่มเข้าใจแล้ว พอได้ยินคำว่า “ธรรม” แต่ก่อนอาจจะคิดว่า ธรรมเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แต่ ณ บัดนี้ที่ได้ฟังว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ด้วย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงขณะนี้เป็นสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แน่นอน ถูกต้องไหม หรือไม่จริง

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงนั่นแหละเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง แต่ละอย่าง นี่คือฟังธรรม แล้วเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และกำลังมีจริงๆ ขณะนี้ด้วย และก็เป็นแต่ละอย่างๆ ด้วย

    ผู้ฟัง ตรงนี้ที่สับสนพอสมควร ท่านอาจารย์ถามว่า ขณะนี้มีธรรมจริงๆ เกิดขึ้นไหม และท่านอาจารย์ก็ย้ำเตือนว่า เมื่อธรรมเกิดขึ้นทีละอย่าง ก็ทีละขณะ ทีละอารมณ์ แต่ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ถาม หมดเลยทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นธรรมทั้งหมดที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านอาจารย์อธิบายไว้

    ท่านอาจารย์ เรากำลังตั้งต้นใหม่ ไม่ใช่หรือ คือตั้งต้นเรื่อง รู้เรื่องกับเข้าใจ เราจะไม่ไปเรื่องอื่นเลย เพราะเป็นความละเอียดที่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า รู้เรื่องคืออย่างไร และเข้าใจคืออย่างไร

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังฟังเรื่องธรรม หมายความว่ามีธรรมจริงๆ ถูกต้องไหม เดี๋ยวนี้ด้วย เพราะฉะนั้น กำลังฟังธรรมให้เข้าใจ คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ว่า เป็นธรรม เราก็ค่อยๆ ฟัง แล้วก็เข้าใจไป ธรรมมีอย่างเดียว หรือหลายอย่าง

    ผู้ฟัง หลายอย่าง

    ท่านอาจารย์ อันนี้รู้เรื่อง หรือเข้าใจ

    ผู้ฟัง รู้เรื่องด้วย และพิจารณาเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันด้วย

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ หรือ

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริงที่จะเข้าใจได้ก็คือเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ และสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีเพียงอย่างเดียว หรือมีหลายอย่าง เปลี่ยนคำถาม ตั้งต้นใหม่เลยที่จะให้เข้าใจว่า รู้เรื่อง หรือเข้าใจแต่ละคำๆ ไป ตอนนี้รู้เรื่องธรรม และเข้าใจธรรมด้วย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง คิดว่าเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจว่า กำลังมีธรรมอยู่ และธรรมที่กำลังมี ที่ปรากฏว่า มี เป็นอย่างเดียวกัน หรือมีต่างๆ กันไป นี่คือรู้เรื่อง หรือเข้าใจ

    ผู้ฟัง มันเหมือนกับขัดแย้งกัน การศึกษาธรรมก็มีทีละอย่าง

    ท่านอาจารย์ อันนี้ไม่สงสัยเลย แต่กำลังจะพิจารณาแต่ละคำว่า ที่เราได้ยินได้ฟังทุกคำเป็นเพียงรู้เรื่องราว หรือเข้าใจ เพราะฉะนั้น จะไม่กล่าวถึงตอนอื่น แต่กล่าวถึงเดี๋ยวนี้เอง เพื่อจะได้เข้าใจด้วยตัวเองจริงๆ ว่ากำลังเพียงรู้เรื่อง หรือกำลังเข้าใจ เดี๋ยวนี้ความเข้าใจไม่ใช่เพียงเรื่อง เพราะรู้เรื่องของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เรื่องอื่น

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม อันนี้สำหรับทุกคนเลยที่ไม่ลืมว่า เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องนึกถึงชื่อเลย สิ่งที่มีจริงเพราะมีจริงจึงเป็นธรรม

    ทีนี้คำถามเพื่อที่จะให้คิด ให้เข้าใจต่อไป ไม่ใช่เพียงฟังเรื่อง ถ้าฟังเรื่องก็มากเลย พูดไปอีกมากมาย เร็วด้วย จะพูดเรื่องตา เรื่องหู เรื่องเหตุ เรื่องรูป พูดได้หมดเลย แต่คำถามของคุณประทีปไม่ทราบว่า ที่ฟังเพียงรู้เรื่อง หรือเข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็จะกล่าวเพียงทีละอย่างให้แต่ละคนได้พิจารณาว่า รู้เรื่อง หรือเข้าใจ เช่น ขณะนี้กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงปฏิเสธไม่ได้เลย จะเรียกสิ่งที่มีจริงว่าอะไร ก็ใช้คำว่า “ธรรม” หมายความถึงพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ จึงเป็นธรรม หรือใช้คำว่า “ธรรม” แม้คำ เราก็ต้องใช้ แต่สิ่งที่มีจริง ไม่ต้องใช้คำก็มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ใช้คำว่า “ธรรม” คือขณะนี้มีธรรมที่มีจริง ปรากฏว่ามีจริง คำถามต่อไปคือ สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏมีหลายๆ อย่าง หรือเพียงอย่างเดียวที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง มีหลายๆ อย่างที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ นี่คือเข้าใจ ไม่ใช่รู้เรื่อง เข้าใจว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงหลายอย่าง สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้มีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม รู้เรื่อง หรือเข้าใจ

    ผู้ฟัง ถ้ากล่าวอย่างนี้ก็รู้เรื่องด้วย เข้าใจด้วย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ตอนนี้พูดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา คุณประทีปจะไม่นึกถึงโต๊ะ นึกถึงเก้าอี้ ไม่นึกถึงคน เพราะกำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ เห็นไหมคะ ไม่ใช่เพียงฟังรู้เรื่อง แต่กำลังเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้พูดถึงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ มีจริงๆ ตอนนี้เข้าใจ ไม่ใช่เพียงจำ และรู้เรื่อง

    เวลาพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นได้ พูดถึงคน หรือภูเขา หรือโต๊ะ หรือพูดถึงสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้จริงๆ

    ผู้ฟัง กล่าวถึงสิ่งที่มีลักษณะอาการอย่างนั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ใครทำให้เกิดขึ้น ทำให้สิ่งที่มีจริงที่ปรากฏทางตาเกิด

    ผู้ฟัง ก็คงเป็นธรรมที่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ใครทำได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีใครทำได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครทำได้เลย หลับสนิท ให้สิ่งที่มีจริงที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ปรากฏได้ไหม แม้ว่าเป็นสิ่งเดียว สามารถปรากฏให้เห็นได้ด้วย แต่ขณะที่กำลังหลับสนิท สามารถให้สิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ปรากฏได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ นี่คือเข้าใจ หรือรู้เรื่อง

    ผู้ฟัง รู้เรื่องด้วย เข้าใจด้วย

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าต้องมั่นคงว่า เราไม่ได้ฟังแล้วเพียงจำเรื่องราว แต่กำลังเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่สั้นมาก เล็กน้อยมาก จริงๆ แล้วก็เกิดแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว แต่สืบต่อจนไม่ปรากฏการเกิดดับ

    นี่คือความยากแก่การที่จะเข้าใจธรรมว่า เป็นธรรมจริงๆ แต่จากการฟัง และเป็นผู้ตรง ต่อไปนี้เวลามีใครพูดกับคุณประทีปเรื่องสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ รู้เลยว่า หมายความถึงอะไร ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง พอรู้เรื่อง พอเข้าใจครับว่า เป็นธรรมชนิดหนึ่งที่เกิด และปรากฏในขณะนั้น ที่กำลังสนทนา

    ท่านอาจารย์ เอาใหม่ คือ ถ้ามีใครพูดกับคุณประทีปเรื่องสิ่งที่มีจริงที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ พอได้ยินอย่างนี้เข้าใจว่า หมายถึงอะไรทันที หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจครับ

    ท่านอาจารย์ คนอื่นล่ะ อย่าลืมว่า การพูด พูดได้หลายเรื่อง พูดรวมๆ ก็ได้ พูดแยกให้เห็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละลักษณะก็ได้ ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย และบอกเขาว่า กำลังเห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ตลอดชีวิต กี่ภพกี่ชาติ เห็นเกิดขึ้นก็สามารถรู้ หรือเห็นเฉพาะสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น คนนั้นจะเข้าใจไหม ถ้าไม่เคยฟังพระธรรมเลย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    5 มี.ค. 2567