พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 629


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๒๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    อ.วิชัย มหาภูตรูป ๔ เป็นปัจจัยให้อุปาทายรูปเกิดขึ้น แต่อุปาทายรูปไม่ได้เป็นปัจจัยให้มหาภูตรูป ๔ นี้เกิดขึ้น เพราะอุปาทายรูปหมายถึงรูปที่อาศัยมหาภูตรูปจึงเกิดขึ้นได้ ดังนั้น มหาภูตรูปเป็นปัจจัยให้อุปาทายรูปเกิด แต่พูดถึงมหาภูตรูปทั้ง ๔ ต่างต้องเป็นปัจจัยแก่กัน และกัน ธาตุดินต้องอาศัยธาตุน้ำ ไฟ ลม คือต่างต้องอาศัยกัน และกัน ต่างต้องเป็นปัจจัยแก่กัน และกัน เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ที่แยกขาดจากกันจริงๆ และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าสิ่งที่เราใช้คำในภาษาไทย หรือในชีวิตของเราหมายความถึงอะไร อย่างถ้าใช้คำว่าแก่หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือเปล่า หรือหมายความถึงการเกิดดับสืบของจิต นานไม่มีสิ่งที่ปรากฏเลยเราก็บอกว่าคนนี้แก่ อยู่มาตั้งกี่ปี ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปี ๘๐ ปีโดยไม่ได้พูดถึงรูปเลย แก่ไหม ๘๐ ปีก็ต้องแก่ ไม่ใช่พูดถึงรูป เพราะฉะนั้น ธรรมดาแล้วก็คือว่าต้องมีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ถ้าจะกล่าวถึงรูป รูปไม่ใช่นามธรรมเมื่อไรที่มีความเข้าใจชัดเจนจริงๆ รูปเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่ธาตุรู้ ส่วนนามธรรมก็เป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้น เวลาเห็นอะไร ใช้คำอะไรในชีวิตประจำวันเราเกือบไม่เข้าใจเลยว่าเราคิดอย่างนั้นเพราะอะไร อย่างบอกว่าแก่เพราะเห็น หรือเพราะคิด หรือว่าเพราะจำว่าคนนี้เกิดมาตั้งนานแล้ว และ ๘๐ ปีจะบอกว่าไม่แก่ได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่าแก่ใช่ไหม ถึงรูปก็ตามแต่เกิดจากสมุฏฐานหลายอย่าง รูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน เทวดาอายุเท่าไร ไม่แก่ เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน แล้วก็เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐาน รูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน แล้วรูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานแก่ไหม ก็แล้วแต่จะคิดเพราะว่าเป็นเรื่องของความละเอียดมาก รูปที่เกิดจากอุตุ ทั้งภายใน และภายนอก ภายนอกก็คือต้นไม้ ใบหญ้าต่างๆ ภูเขา แม่น้ำทั้งหมดเป็นรูปที่เกิดจากภายนอก ปรากฏความแก่ หรือเปล่า ถ้าจะบอกว่าเก่า หรือแก่ก็ต้องทางตาที่ปรากฏใช่ไหม แต่ว่าลักษณะของอื่นเช่นธาตุไฟ ธาตุน้ำก็จะไม่ปรากฏเลย และรูปที่เกิดจากอาหารอีกใช่ไหม คงจะเคยได้ยินข่าวเด็กคนหนึ่ง อายุไม่มากเลยแต่ว่าเขาแก่มาก แล้วแก่ได้อย่างไรถ้าไม่มีรูปที่เกิดจากกรรม จิต อุตุ อาหาร และทั้งหมดไม่ได้แยกกันอุปการะกัน รูปที่เกิดจากกรรมเกิดพร้อมปฏิสนธิจิต ตั้งแต่อุปาทะขณะของจิตที่ทำกิจเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน กรรมทำให้วิบากจิต และวิบากเจตสิกเกิดพร้อมกัน พร้อมกับรูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นที่อาศัยเกิดของจิตในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนมีรูปที่เกิดเพราะกรรม มีธาตุไฟไหม ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุไฟเป็นปัจจัยให้เกิดรูปอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ธาตุไฟที่เกิดจากกรรมของแต่ละคนก็ต่างกัน โดยกรรมที่ทำให้ธาตุไฟนั้นต่างกัน เพราะฉะนั้น ลักษณะของธาตุไฟของคนที่ทำกรรมดี กับลักษณะของธาตุไฟของคนที่มีอกุศลกรรมเบียดเบียน หรืออะไรต่างๆ ก็ทำให้แม้เป็นเด็กก็แก่ เป็นโรค บางคนบอกว่าตัวเขาไม่มีใครมองเห็นว่าแก่แต่หมอบอกว่าเขาเป็นโรคแก่ ข้างในตัวทั้งหมดแก่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถที่รู้ความต่างของสภาพธรรมซึ่งเกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ เกิดจากอาหาร รูปที่เกิดจากกรรม ทั่วตัวก็มี ตาตรงกลางตา หูตรงกลางหู จมูกตรงกลางจมูกที่ใช้คำว่าปสาท และลิ้นก็กลางลิ้น กายก็มีกายปสาทซึมซาบอยู่ทั่วตัว เกิดจากกรรม อยู่ไม่ได้ถ้าไม่อาศัยอุตุ และอาหาร เพราะฉะนั้น จึงต้องมีการรับประทานอาหารที่จะประคับประคอง หรืออุปถัมภ์รูปซึ่งเกิดจากกรรม เกิดจากอุตุ และเกิดจากจิตซึ่งแยกจากกัน กลุ่มของรูปกลุ่มใดที่เกิดจากกรรมไม่ใช่เกิดจากจิต ไม่ใช่เกิดจากอุตุ ไม่ใช่เกิดจากอาหาร เพราะฉะนั้น ทุกคนอยากแข็งแรงไม่ป่วยไข้ แต่ถ้ารูปที่เกิดจากกรรม ธาตุไฟนั้นตอนที่เพิ่งเกิดก็จะอบอุ่น ค่อยๆ ทำให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง สีสัน น่าตารูปร่างทั้งหมดยังไม่คร่ำคร่าเพราะว่าเริ่มเกิดที่จะค่อยๆ ทำให้ธาตุที่เกิดอาศัยกันดี จนกว่าธาตุไฟมากถึงกาละที่จะเผาผลาญ ตอนนี้ก็เริ่มทำลายร่างกายให้เป็นโรคภัยต่างๆ หรืออะไรต่างๆ พวกนี้ ก็เป็นเรื่องความละเอียดของธรรม แต่จริงๆ ก็ต้องเข้าใจว่านามธรรมไม่ใช่รูปธรรม แล้วก็เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีโรคต่างๆ หรือว่ามีปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งเราบอกว่าทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมเด็กเกิดมาใหม่ๆ เป็นชรา โดยที่ว่าทุกอย่างเหมือนคนชราเลยอันนี้ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้ขณะนั้นที่ว่าอะไรเป็นปัจจัย แต่ว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดรูป กรรม ๑ จิต ๑ อุตุ ๑ อาหาร ๑

    ผู้ฟัง มีปัญหาถามท่านอาจารย์ว่ารูปเกิดดับสืบต่อตั้งแต่เล็กจนตาย

    ท่านอาจารย์ จิต เจตสิกเกิดแล้วก็ดับ การดับของจิต เจตสิกเป็นอนันตรปัจจัย เป็นอนันตรูปนิสยปัจจัย มีกำลังที่จะทำให้จิต เจตสิกขณะต่อไปเกิด แต่รูปไม่ใช่อย่างนั้น รูปเกิดเพราะกรรม เกิดแล้วอายุ ๑๗ ขณะดับไม่ได้เป็นปัจจัยให้รูปต่อไปเกิด ไม่ใช่อนันตรปัจจัย ไม่ใช่อนันตรูปนิสยปัจจัย เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดจากอุตุเช่นเดียวกัน แต่ว่าอุตุสืบต่อ เพราะเหตุว่าอุตุที่เกิดจากกรรมมีอายุ ๑๗ ขณะก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิดต่อในขณะที่อุตุนั้นยังไม่ดับ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าถึงอย่างไรก็ตามถ้ากล่าวโดยการเกิดขึ้น รูปกลุ่มหนึ่ง หรือรูปหนึ่งที่เกิดต้องมีอายุ ๑๗ ขณะแต่จะมาจากสมุฏฐานใด

    ผู้ฟัง จิตเกิดดับสืบต่อ ในขณะที่เกิดดับสืบต่อตั้งแต่ยังเยาว์จนกระทั่งแก่ ความชรา หรือความเสื่อมของ

    ท่านอาจารย์ ของอะไร

    ผู้ฟัง ของรูปที่เกิดจากกรรม จิต อุตุ อาหารจะมาด้วยโดยเราไม่รู้ตัว อันนี้คือแก่ หมายความว่าปรากฏให้เห็นอันนี้คือแก่

    ท่านอาจารย์ มาด้วยโดยเราไม่รู้ตัว ต้องทราบความละเอียดว่ารูปมีอายุ ๑๗ ขณะเกิดแล้วดับ แล้วก็มีสมุฏฐานให้รูปเกิดแล้วดับ แล้วก็ธาตุไฟอุตุนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะทำให้มีความเจริญเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแข็งแรง หรือว่าเสื่อม เราจะเห็นได้ว่าความสำคัญของอุตุ แม้อุตุภายนอกทำให้เกิดรูปหลากหลาย เป็นเพชรเป็นพลอย เป็นต้นไม้ใบหญ้า เป็นโคลน หรือว่าอะไรเป็นได้ทั้งหมดทุกอย่างที่เรามองเห็น เพราะฉะนั้น เรื่องของรูป เป็นเรื่องของสมุฏฐานที่อุตุภายนอกวิจิตรแค่ไหน คนกับดอกไม้ใครสวยกว่ากัน

    อ.วิชัย แล้วแต่ว่าคนเขาชอบอะไรมากกว่า

    ท่านอาจารย์ แต่เวลาเห็นคนเราก็ไม่เห็นบอกว่าสวย แต่พอเห็นดอกไม้ทุกดอกเลย สวยทั้งนั้น ดอกไม้ไหนไม่สวย ดอกหญ้าก็สวย สีเหลืองก็มี สีขาวก็มี กลีบซ้อนก็มี ไม่ซ้อนก็มีเรายังว่าสวย อุตุทำได้เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดสิ่งที่ปรากฏทางตาที่จะเป็นอย่างดอกราชพฤกษ์ ถ้าดูกลีบบางเบา แล้วก็มีหลายอย่าง อย่างดอกโยทะกาพวกดอกไม้กลีบบางทั้งหลาย ทำไมใครไปจัดสรรให้เป็นอย่างนั้นได้ แต่อุตุก็สามารถที่จะทำให้รูปที่ปรากฏทางตาหลากหลายมาก แต่เมื่อกระทบสัมผัสก็แข็ง หรืออ่อน และถ้าลิ้มรส รสก็ไปอีกต่างกันไปอีกสามารถที่จะบอกได้ เพราะฉะนั้น นั่นเป็นเพียงรูปแต่ความละเอียดของจิตมากกว่านั้น ที่ทำให้เกิดกรรมซึ่งทำให้มนุษย์ไม่มีจะทางสวยเท่าเทวดา นางฟ้า แล้วพอถึงรูปพรหมก็ยิ่งกว่าเทพธิดานางฟ้าในสวรรค์ นี่เป็นเรื่องของความละเอียด เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธรรมก็คือให้เข้าใจว่าเป็นธรรม ซึ่งหลากหลายทั้งฝ่ายนามธรรม และรูปธรรม แต่ว่ารูปธรรมก็เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่างไร ก็ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ธาตุรู้ก็ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การที่แต่ละอย่างซึ่งเป็นรูปเกิดเพราะกรรมบ้าง จิตบ้าง อุตุบ้าง อาหารบ้างผสมผสานกันก็ทำให้ปรากฏซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัย เกิดเพราะอุตุเป็นปัจจัยก็ได้ หรือเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัยก็ได้ อย่างเด็กที่เกิดมาแล้วเป็นคนแก่เลย แล้วอยู่ๆ ไปกรรมก็เป็นปัจจัยให้จักขุปสาทเกิด แต่อุตุในกายก็ทำให้รูปอื่นเบียดเบียนทำให้มองไม่ชัดเจนก็ได้ นี่ก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมดซึ่งเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง จากพระสูตรที่ว่าเทวดาทูลถามพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าก็ตอบว่าศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ขยายความ

    ท่านอาจารย์ อยากจะรู้เฉพาะข้อความที่เทวดาทูลถาม และขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ กำลังคิดถึงเทวดาทูลถาม ขณะนั้นเข้าใจ หรือเปล่าว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดถ้าไม่มีการฟัง และค่อยๆ พิจารณาจะไม่สามารถที่จะเข้าใจแม้คำตอบ หรือคำถามใดๆ ในพระไตรปิฎก เพราะว่าความจริงแล้วก็คือไม่ว่าจะขณะไหนก็ตามมีสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ควรที่จะเข้าใจสิ่งนั้นที่กำลังปรากฏ หรือว่าควรจะรู้เพียงเรื่องราวที่มีในพระไตรปิฏกว่า เทวดามากราบทูลถาม และพระผู้มีพระภาคก็ตรัสตอบ แต่พระพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีให้ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพื่อให้แต่ละคนสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นสำหรับการที่จะเข้าใจข้อความใดๆ ในพระไตรปิฏกทั้ง ๓ ปิฏกนี้ ก็คือต้องมาจากความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ทุกคนถึงแม้ว่าไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาแต่ก็ได้ยินคำว่าจิต และมีจิตจริงๆ แต่ว่าไม่ได้รู้ความจริงว่าจิตคืออะไร แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วทรงแสดงเรื่องของจิตด้วยเพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริง นอกจากจิตก็ยังทรงแสดงความจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใดก็ตาม แต่อะไรสำคัญ ถ้าไม่มีจิตเลยก็ไม่มีอะไรที่จะปรากฏ เพราะว่าเราพูดเรื่องจิตเราก็เพียงพูดว่าคนนั้นจิตใจดี หรือว่าจิตใจไม่ดีทำจิต หรือว่าบังคับจิต แต่ว่าถ้าพูดอย่างนั้นหมายความว่าไม่ได้เข้าใจธรรม แล้วไม่รู้ว่าจิตก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น แม้แต่จะได้ฟังพระธรรมในเบื้องต้น ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็กำลังมีในขณะนี้ ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจจนกระทั่งทะลุปรุโปร่ง หรือว่าแทงตลอดตามความเป็นจริงที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมไม่ลืมว่าฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนแล้วยึดถือว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้เช่นเป็นเรา เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะเห็นได้ว่าเกิดมาก็มีความสนใจแต่ละอย่าง วิชาการมีมากมาย แต่ถ้าไม่มีจิตจะมีวิชาการนั้นๆ ได้ไหม แม้แต่การที่จะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นให้ได้ยินเหล่านี้ก็มีไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้เพียงคำว่า "ธรรม" หรือธรรมที่เป็นธาตุรู้ สภาพรู้ก็เป็นสิ่งที่สามารถจะพิสูจน์ และเข้าใจได้ว่าทำไมตรัสคำว่า "ธรรม" เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แค่นี้พอใจที่จะฟังให้ตลอดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความจริงว่าธรรมเป็นธรรมไม่ใช่เราไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่สำคัญคือจิต ถูกต้องไหม กำลังมีจิตแน่ๆ แต่ว่ายังไม่รู้ความจริงว่าจิตเกิดจึงมีจิต ถ้าจิตไม่เกิดจะไปหาจิตแต่ที่ไหน ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังมีจิต และกำลังฟังเรื่องจิตเพื่อที่จะเข้าใจเรื่องจิต แม้คำพูดอย่างนี้ถึงใจ คือเข้าไปในใจที่จะรู้ว่าไม่ได้ฟังเรื่องอื่นแต่ฟังเรื่องจิตที่กำลังมีในขณะนี้เพื่อเข้าใจจิต มิฉะนั้นก็คือคิดว่าเรามีจิต คนนั้นก็มีจิต ทุกคนก็มีจิตแต่ไม่รู้ว่าจิตคืออะไร ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้มีจิตกำลังฟังเรื่องจิต เพื่อเข้าใจจิตที่กำลังมี ถูกต้องไหม ไม่ได้ฟังเรื่องอื่น ฟังเรื่องจิต เมื่อมีปัจจัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดจึงเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสิ่งที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้นเลย เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่จิตมีก็ไม่ได้รู้ว่าจิตเกิดขึ้นเพราะอะไร เพียงแต่รู้ว่าจิตเป็นธรรมอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ด้วย กำลังมีจิต และก็ได้ฟังว่าจิตเป็นธรรมมีจริง แค่ต้องฟังโดยตลอดว่าเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วก็ไม่ใช่ของใคร เพียงแค่นี้ตรงกันข้ามกับความนึกคิดเก่าๆ หรือเปล่า ว่าจิตเป็นเรา และเราบังคับจิตได้ แต่พอได้ยินคำที่ว่าจิตมีจริงเป็นธรรม มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ใครด้วย เพราะเหตุว่าเป็นธาตุ หรือเป็นธรรมที่มีจริง และถ้าได้ฟังต่อไป จิตมีปัจจัยเกิดแล้วดับ ยิ่งเป็นไปได้ หรือเปล่า ในขณะนี้ เพราะเหตุว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจิตมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น เกิดแล้วก็ดับ คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย ยากที่จะสามารถคิดเองได้ แต่ว่าต้องพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระรัตนตรัย คือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธรัตนะ พระธรรมที่ทรงแสดงให้เข้าใจความจริงจนสามารถประจักษ์ความจริงได้เป็นธรรมรัตนะ และผู้ที่ได้ฟัง ได้อบรมความเข้าใจตั้งแต่ต้นจากที่ไม่เคยเข้าใจเลย เริ่มมีความเห็นถูกต้องแม้ในขั้นการฟัง เพื่อจะได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังเป็นความจริงตามที่ได้ยิน ได้ฟัง หรือเปล่า และอบรมเจริญปัญญาจนรู้ความจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงให้บุคคลอื่นได้รู้ตาม บุคคลนั้นก็สามารถที่จะรู้ความจริงดับกิเลส รู้อย่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงถึงความเป็นอรหันตได้ เป็นพระอริยสาวก ตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ธรรมที่ได้ฟังลึกซึ้งแน่นอน เพราะเหตุว่าสามารถทำให้สิ่งที่ไม่เคยมี ไม่เคยเข้าใจได้เกิดขึ้นเป็นความรู้ เป็นความเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ แม้ว่าทีละเล็กทีละน้อยแต่ไม่ประมาท และไม่รีบร้อน ก้าวไปที่คิดว่าเข้าใจแล้ว แม้แต่คำว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" เกิดเมื่อมีปัจจัยปรุงแต่งแล้วดับ มีใครคิดว่าไม่เป็นอย่างนี้บ้างไหม ขณะที่ฟังเดี๋ยวนี้ก็เริ่มที่จะมีความเข้าใจจากสิ่งที่มี และไม่เข้าใจมาก่อนเลยว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ต้องเกิด เกิดแล้วก็ดับ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ กำลังเริ่มมีความเห็นถูกในขั้นการฟัง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าบังคับให้เชื่อ แต่ว่าพิจารณาที่จะได้เข้าใจว่าแม้แต่คำแรก ที่ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ไม่เคยปราศจากธรรมเลย สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ของใคร ขณะนี้มีจิตอยู่ที่นี่ที่อื่นมีไหม ถ้ามีปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิด จิตจะเกิดณ.ที่อื่นได้ไหม หรือว่าต้องที่นี่เท่านั้น เราพูดถึงสัตว์เดรัจฉานในโลกนี้มีสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่ต่างกันคือมนุษย์กับสัตว์ เพราะฉะนั้น เวลาที่เราพูดถึงสิ่งที่มีชีวิตเราจะไม่พูดถึงต้นไม้ ภูเขา เก้าอี้ แต่จะพูดถึงมนุษย์กับสัตว์ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่มีสภาพ หรือธาตุธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ใช่เฉพาะตรงนี้ หรือตรงนั้น แต่ปัจจัยมีเมื่อไรเกิดที่นั่น เพราะฉะนั้น เวลาที่เราพูดถึงมนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวิตสัตว์ก็มีชีวิตเพราะมีจิต มีธาตุรู้มีสภาพรู้ มีความรู้สึก มีความคิด มีความจำ และก็ขณะที่กล่าวถึงจิตจะเป็นจิตของใคร หรือเปล่าแต่จำไว้ว่าเป็นจิต ของเรา หรือว่าของเขา หรือของสัตว์เดรัจฉาน แต่ธรรมเป็นธรรม เพราะฉะนั้น จิตเป็นจิต ขณะนี้ทุกคนกำลังฟังเรื่องจิต เพื่อที่จะเข้าใจจิต ไม่ใช่เราแต่เป็นจิตนี่คือการที่จะเริ่มไถ่ถอนการที่เคยไม่รู้ความจริง และมีสัตว์มีบุคคลต่างๆ ให้เข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งคือจิต จิตไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ใครจะไปหาจิตที่ไหน รูปร่างอย่างไร ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสแต่จิตเกิดแล้วก็สามารถที่จะเห็น สามารถที่จะได้ยิน สามารถที่จะได้กลิ่น สามารถที่จะลิ้มรส สามารถที่จะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็คือเป็นธรรมที่เป็นจิต เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น ขณะนี้เห็นมีจริงๆ ที่จะศึกษาธรรมก็คือให้รู้ว่าเป็นธรรมคือเป็นธาตุที่มีจริงที่เกิดแล้วก็ทำกิจเห็นในขณะนี้ ถ้าไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ศึกษาธรรม หรือเปล่า ไม่ได้ศึกษาธรรมเลยมีแต่ตัวหนังสือแล้วก็ชื่อต่างๆ โดยไม่รู้ว่าขณะนี้เองเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง โดยละเอียดโดยประการทั้งปวงให้คนที่ฟังสามารถที่จะเริ่มเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม เข้าใจจิตว่าเป็นจิต ขณะนี้จิตดีก็มี จิตไม่ดีก็มี จิตเห็นก็มี จิตโกรธก็มี จิตชอบก็มี ทั้งหมดเป็นจิตเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ให้ทราบความเป็นธรรม ความเป็นอนัตตาคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏในขณะนี้ได้ เช่นเสียง ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้นได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้ว่ามีเสียงจริงๆ ในขณะที่กำลังฟังขณะนี้คิด ถ้าไม่มีสภาพที่รู้เกิดขึ้นคิด ความคิดใดๆ ก็ไม่มี แต่คิดแล้วก็ดับ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับนี่เป็นสิ่งซึ่งละเอียดแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567