พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 651


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๕๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ ตามความเป็นจริง เดี๋ยวนี้มีธรรม หรือเปล่าตรงตามที่เคยเข้าใจไม่ว่าจะโดยฟัง โดยอ่าน โดยคิด โดยพิจารณา หรือเปล่า เริ่มรู้จักตัวจริงๆ ของธรรม ไม่ใช่ให้กลับไปคิดเรื่องชื่อในหนังสืออีก

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ แต่ความปวดมีจริงเกิดขึ้นก็หมดไปเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ได้กลับมาอีก ทีนี้อยากจะถามว่าทางใจ หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถามทำไม ทางไหน ไม่ได้ปรากฏทางไหนแล้วจะไปถามว่าทางไหน แต่ถ้าปรากฏกับปัญญาเมื่อไหร่ ไม่มีความสงสัยเลยว่าทางไหน มิฉะนั้น ก็ถามอยู่อย่างนี้เพราะว่าสภาพนั้นไม่ได้ปรากฏความต่าง

    ผู้ฟัง เพราะจริงๆ พอปวดขึ้นเราเริ่มหาว่าปวดหลัง หรือปวดเข่า

    ท่านอาจารย์ เรา ไม่ใช่การเข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมเลยเป็นเรา คิด หา ค้นอยากรู้ทั้งหมดเลย อะไรทั้งหมดที่ไม่ใช่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง อย่างนั้นก็คือลักษณะเดียวกันกับความพอใจ หรือความโกรธใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เกิดเมื่อไหร่ปรากฏลักษณะนั้น

    ผู้ฟัง หมดไป

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง

    อ.กุลวิไล กราบท่านอาจารย์ มีท่านผู้ถามเขียนมาว่า ขอความกรุณาช่วยอธิบายการฟังธรรมแล้วเข้าใจโดยสัญญา

    ท่านอาจารย์ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ฟังว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ได้ฟังแล้วหลายครั้งทุกครั้งไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ฟังธรรม ก็จะได้รู้จักธรรมว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ สิ่งที่มีจริงนั่นแหละจะใช้คำว่า "เป็นสิ่งที่มีจริง" ก็ได้ หรือจะเรียกว่า "ธรรม" ก็ได้ หรือไม่เรียกว่าอะไรเลยก็ได้แต่สิ่งนั้นก็มีจริง เข้าใจอย่างนี้ หรือเปล่า คุณกุลวิไลช่วยตอบแทนก็ได้

    อ.กุลวิไล เข้าใจจากการฟัง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจอย่างนี้เพราะจำ ที่จะสงสัยว่าคืออย่างไร ทบทวนคำถามอีกที

    อ.กุลวิไล ขอความกรุณาช่วยอธิบายการฟังธรรมแล้วเข้าใจโดยสัญญา

    ท่านอาจารย์ นี่จำได้ ถามอีกว่าอะไรกำลังปรากฏก็ตอบเพราะจำ เห็น กำลังเห็นแต่ไม่รู้ลักษณะที่เห็น แต่รู้ว่าเห็นมี และเห็นเป็นธรรมก็ตอบเพราะจำ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นสัญญาที่จำจะหมดกิเลสได้ไหม

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อุปาทานขันธ์ ลืมไปอีก เดี๋ยวก็ลืมแต่ความจริงก็คือชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะรู้จริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ต้องอาศัยการอบรมค่อยๆ เข้าใจขึ้นที่จะละความไม่เข้าใจ แม้การฟังก็ต้องละเอียด รอบคอบที่จะไม่เป็นเราที่ฟัง และก็ดีใจที่เรารู้เราเข้าใจ แต่ฟังเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละความเห็นผิด

    อ.กุลวิไล กราบท่านอาจารย์ คำถามต่อไปคือ การฟังธรรมแล้วเข้าใจโดยวิญญาณ

    ท่านอาจารย์ วิญญาณคืออะไร คือจิตถ้าจิตไม่เกิดจะมีอะไรปรากฏไหม เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏเพราะจิตกำลังรู้ เพราะฉะนั้น เสียงปรากฏจิตได้ยินเสียง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นความเข้าใจว่าเสียงเป็นธรรมที่ไม่ใช่ได้ยิน หรือเปล่า ก็ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น โดยการที่เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ เพียงเป็นธาตุรู้ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาวิญญาณก็เกิดขึ้นเห็นคือรู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ เสียงที่กำลังปรากฏขณะนี้ รู้โดยวิญญาณก็คือกำลังรู้ในลักษณะของเสียงแต่ไม่ใช่ปัญญา

    อ.กุลวิไล กราบท่านอาจารย์ คำถามต่อไปว่าการฟังธรรมแล้วเข้าใจโดยสติมีลักษณะ อาการอย่างไร

    ท่านอาจารย์ โดยสติแต่ก็ไม่รู้จักสติ ใช่ไหม ก็จำ เพราะฉะนั้น ความรู้ขั้นฟัง เข้าใจ ไม่ใช่ความรู้ขั้นลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่สติเป็นสติ แต่สติที่เป็นไปในทานก็ได้ในขณะที่กำลังคิดเรื่องการที่จะให้ สติเป็นไปในการวิรัติทุจริต ขณะนั้นก็เป็นไปในศีล หรือว่าในการที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือคนอื่น ด้วยกายด้วยวาจาขณะนั้นก็เป็นศีล ถ้าจิตใจไม่สงบเลย โกรธ และก็ไม่ลืม พอคิดได้จะโกรธทำไม เสียเวลาคนนั้นกำลังสบาย สนุกรับประทานอาหารอร่อย กำลังเพลิดเพลิน แล้วเราก็มานั่งเป็นทุกข์ โกรธแล้วก็ไม่ลืมยังโกรธต่อไป มีประโยชน์อะไรกับความโกรธนั้น ถ้าระลึกไม่ได้ก็โกรธต่อไป ใช่ไหม เพราะฉะนั้น สติที่ระลึกได้สงบจากอกุศลตามระดับขั้นก็แล้วแต่ปัจจัย

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ที่มีท่านผู้นั้นบอกว่าจะเห็นได้ต่อเมื่อมีนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วควรจะมีอะไรที่เข้าใจมากกว่านั้นก่อนที่จะเป็นนิพพานเป็นอารมณ์

    ท่านอาจารย์ ปัญญามีหลายระดับ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ปัญญาที่รู้ชัด ใช้คำหนึ่งวิปัสสนาญาณ สติก็มีหลายระดับ สติที่เป็นไปในทาน ไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม เป็นเราที่ให้ทาน สติในขณะที่วิรัติทุจริตก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ ที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป เร็วแต่ก็ยังปรากฏนิมิตให้รู้ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมนั้น ไม่ใช่สภาพธรรมอื่น เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้ว่าตราบใดที่มีสภาพธรรมปรากฏแล้วก็กำลังฟังเรื่องสภาพธรรมแต่ยังไม่ถึงกาลเข้าใจลักษณะทีละลักษณะด้วยสติสัมปชัญญะ ที่กล่าวไว้ว่าแข็งปรากฏ หรือเปล่าตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่ได้ปรากฏด้วยดีว่าเป็นเพียงแข็ง ก็กลับปรากฏว่าเป็นช้อนส้อม เก้าอี้ เสื้อผ้า อย่างนั้นแข็งไม่ได้ปรากฏด้วยดีเลย แข็งเกิดแล้วดับไปแต่ว่าไปจำผิดว่าแข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรมรู้ว่าแข็งเป็นธรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์เพราะเกิดแล้วก็ดับ แต่ว่าปัญญาจะรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ต่อเมื่อได้ฟังแล้วเข้าใจจนกระทั่งขณะใดที่แข็งปรากฏต่างกับที่ไม่เคยปรากฏเลยตั้งแต่เช้า เพราะขณะนั้นสติสัมปชัญญะกำลังรู้ลักษณะที่เป็นเพียงแข็ง ขณะนั้นไม่มีสภาพใดเลยทั้งสิ้น เพราะว่าลักษณะของแข็งปรากฏขึ้นเป็นแข็งด้วยดีกับสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็ไม่สงสัยในลักษณะของสติสัมปชัญญะ ไม่เหมือนกับฟังชื่อสติสัมปชัญญะแล้วสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็สงสัยว่า แล้วสติสัมปชัญญะเป็นอย่างไร สติปัฏฐานเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น เราไปติดเรื่องชื่อมานานมาก ไปเรียนชื่อแล้วก็มาจำชื่อแล้วก็นึกถึงชื่อแต่ไม่รู้ลักษณะของธรรม แต่เมื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมแล้ว ย่อมรู้ความต่างของขณะที่ฟังเข้าใจแต่ว่าสภาพธรรมนั้นไม่ได้ปรากฏลักษณะที่เป็นธรรมแต่ละลักษณะเฉพาะแต่ละลักษณะ ด้วยเหตุนี้การเจริญขึ้นของปัญญาคือว่าสามารถที่จะรู้ความต่างของความหมายของปัญญา ของสัญญา ของวิญญาณซึ่งเป็นสภาพรู้แต่ว่ารู้ต่างกัน เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่กล่าวว่ารู้แจ้งอริยสัจจธรรมชัดเจน เมื่อประจักษ์ลักษณะของนิพพานผู้นั้นกล่าวผิด เพราะความรู้ต้องเริ่มชัดตามลำดับ ตั้งแต่ในขั้นที่ยังไม่ใช่สติปัฏฐาน แล้วเริ่มเป็นสติปัฏฐานแล้วกว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนเป็นวิปัสสนาญาณที่แทงตลอดลักษณะของธรรมแต่ละอย่างจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ใช้พยัญชนะที่ต่างกันเพราะความรู้ต่างกัน สภาพธรรมต่างกัน ถ้าหลงผิดเมื่อไหร่ก็คือว่าเข้าใจผิด แม้ว่าจะได้อ่านแล้วเหมือนกับรู้เรื่อง และด้วยความต้องการ และด้วยความไม่ละเอียด ด้วยความไม่ลึกซึ้งก็ทำให้เข้าใจผิด

    อ.กุลวิไล กราบเรียนถามท่านอาจารย์ถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ก็ยากมากที่จะเข้าใจถูกต้อง ว่าเป็นเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏ ธรรมต้องละเอียดแม้แต่แต่ละคำที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องพิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นสิ่งที่รู้ยากว่าเป็นธรรม แต่ว่าธรรมเมื่อหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ขณะนี้เห็นจริงๆ แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เพราะฉะนั้น สัจจธรรมไม่ลวง ไม่หลอกแต่ว่าความไม่รู้ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องได้ว่าในขณะที่กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาควรจะมีความเข้าใจจริงๆ ในธรรมซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสว่า "เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" ทุกคำตลอดวันตั้งแต่ตื่นมามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งนี้ก็คือว่าเป็นธรรมที่มีจริง เกิดกระทบจักขุปสาทแล้วก็มีจิตเห็นสิ่งนี้จึงปรากฏให้เห็นได้ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏก็คืออย่างนี้ ธรรมดาอย่างนี้ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเลยเพียงแต่ว่าเข้าใจให้ถูกต้องว่าขณะนี้มีสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น จะเป็นคน เป็นวัตถุจะเป็นสิ่งต่างๆ ต้องหลังจากที่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ความละเอียดก็คือว่าเมื่อมีจิตเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏว่ามีจริงๆ ขณะนี้ แล้วก็ดับไปนี่คือความรวดเร็ว แต่ถ้าศึกษาธรรมจะเร็วยิ่งกว่านี้อีก เพราะว่าทรงแสดงความเป็นไปของจิตแต่ละ ๑ ขณะซึ่งขณะนี้ไม่ได้ปรากฏว่าจิตแต่ละ ๑ ขณะเป็นอย่างไร ก็เริ่มฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่าเราติดข้องเพราะความไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนี้เพียงเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป แต่เพราะความเร็วซึ่งเกิดดับสืบต่อทำเกิดปรากฏเป็นนิมิต หมายความว่าไม่ปรากฏว่าดับ ถ้าปรากฏว่าดับก็จะเห็นได้ว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ แต่ละอย่างแต่เมื่อเกิดต่ออย่างเร็วจนกระทั่งไม่ปรากฏว่าดับเลยก็ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่าง เป็นสัญฐานเป็นสิ่งต่างๆ ถูกต้องไหม ในขณะนี้ กำลังเป็นอย่างนี้ ฟังเพื่อให้เข้าใจความจริงว่า ความจริงก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ปรากฏเป็นอย่างนี้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธาตุ หรือธรรมซึ่งเกิดดับกระทบจักขุปสาทปรากฏ แต่ปรากฏจนกระทั่งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เหมือนไม่ดับเลย เพราะรูปร่างนิมิตสัญฐานต่างๆ เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้ หรือว่าอยู่ในโลกของความลวงความติดข้องในสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ธรรมไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เกิดแน่นอน มิฉะนั้นก็จะไม่มีสิ่งที่มีชีวิตในขณะนี้ หรือสิ่งซึ่งแม้ไม่มีชีวิตก็เกิดเป็นแต่ละอย่างๆ เป็นแต่ละธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ให้เป็นไป คือไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายก็เพียงเท่านี้ เกิดมาต้องเป็นไป มีการเห็น แล้วก็คิดแล้วก็จำแล้วก็เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่จิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับไป แล้วก็จะมีจิตซึ่งเกิดสืบต่อในภพต่อไปทันทีไม่มีระหว่างขั้น นี่ก็เป็นธรรมดาของการเกิดดับของจิตซึ่งจะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อกรรมยังทำให้เป็นบุคคลนี้อยู่ ยังไม่ทำให้จิตขณะสุดท้ายของชาตินี้เกิด ก็จะมีความจำว่าเป็นคนนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วก็คิดเรื่องราวอย่างนี้เป็นคนนั้น คนนี้ รักบ้างชังบ้าง เมตตาบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วขณะๆ ที่ต้องเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็จากไปหมดเมื่อสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่จำก็จำไม่ได้ ทุกคนเกิดมาแล้วชาติก่อน ชาติก่อนก็ไม่ต่างกับชาตินี้ เกิดแล้วก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องมีเรื่องราวต่างๆ ตลอดเวลาจนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชาติก่อน เกิดแล้วดับแล้ว ปฏิสนธิจิตขณะแรกสืบต่อจากชาติก่อน ก็เป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ แต่จำชาติก่อนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะนี้เหมือนจำได้ว่าเป็นคนนั้นคนนี้เป็นเรื่องต่างๆ แต่พอถึงจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับไป ก็ไม่มีการที่จะรู้ว่าก่อนนั้นเป็นอะไร เหมือนชาตินี้ก็ไม่รู้เลยว่าชาติก่อนนั้นเป็นอะไร แต่ว่ามีความพอใจความไม่พอใจ มีเรื่องราวต่างๆ มีสุขมีทุกข์มากมายเพียงชั่วขณะที่เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้น ความละเอียดของธรรมก็คือว่าไม่ใช่สิ่งต่างๆ จะหมดไปเพียงเมื่อจุติจิตคือจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับ แม้ขณะนี้จิตแต่ละขณะก็กำลังเกิดดับสืบต่อ ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจ เมื่อวานนี้ก็เห็นแต่ขณะนี้ที่เห็นไม่ใช่เมื่อวานนี้ แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏเมื่อวานนี้เลย ทุกขณะเพียงธาตุ หรือธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว แต่การเกิดดับสืบต่อเสมือนว่าไม่ดับจึงทำให้เหมือนกับว่ามีโลกเที่ยง มีสัตว์มีบุคคลต่างๆ มีเรื่องราวต่างๆ แต่แล้วก็ต้องลืม และหมดไปเมื่อถึงชาติหน้า เพราะฉะนั้น ชาตินี้ความสำคัญอยู่ที่ไหน หลงตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น สาระก็คือว่าความเข้าใจถูกเห็นถูกว่าเป็นสิ่งที่ใครบังคับบัญชาไม่ได้เลย เป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ ไม่มีใครไปยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ให้ดับได้เลย เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมก็คือว่ามีความมั่นคงว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามทั้งนั้น เป็นธรรมซึ่งมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างซึ่งสามารถจะเริ่มเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงได้ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมด้วยความละเอียดด้วยความรอบคอบ แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็ปรากฏแต่เมื่อฟังมีความเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเพราะกำลังปรากฏ ก็ต้องไม่ลืมว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏแล้วหมดไปอย่างรวดเร็วเท่านั้นเอง ไม่เป็นใครไม่ใช่ของใครแล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครเลยทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นสิ่งที่เที่ยงนอกจากเป็นธาตุ หรือธรรมแต่ละอย่างซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ลืมว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จะชอบใครยับยั้งได้ จะไม่ชอบใครยับยั้งได้ ก็เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงพระมหากรุณาแสดงสัจจะความจริงทุกคำไม่เปลี่ยนเลย แล้วก็จะเห็นพระคุณว่าแม้แต่คำที่กล่าวว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้จริง เป็นธรรมบังคับไม่ได้เกิดแล้วดับแล้วด้วยเพียงปรากฏให้เห็นชั่วคราวขณะที่มีธาตุเห็นเกิดขึ้นเท่านั้น เวลาคิดนึกสิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เลยก็เป็นเรื่องซึ่งค่อยๆ ฟังแต่ความละเอียดมีมากกว่านี้อีก จนกระทั่งเวลาที่เข้าใจแล้วเราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าพูดโดยไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเหตุว่าปัญญาขณะนี้ไม่สามารถที่จะรู้ทั้งหมดอย่างละเอียดได้ แต่ว่าถ้าศึกษาต่อไปก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์เห็นสิ่งเดียวกันแต่คิดไม่เหมือนกัน และชอบกับไม่ชอบต่างกัน

    ท่านอาจารย์ บังคับได้ไหม เกิดแล้วเป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง บังคับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความจริง ชอบเกิดแล้วจะบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เปลี่ยนชอบที่เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ นี่คือธรรม

    ผู้ฟัง แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ในห้องนี้มีใครเหมือนกันบ้าง

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ แค่รูป ใจยิ่งกว่านั้นอีก

    ผู้ฟัง แต่ว่าสิ่งปรากฏทางตาก็คืออย่างเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ เวลานี้คุณสุกัญญาเห็นอะไร ลองบอก

    ผู้ฟัง ก็ต้องบอกว่าเห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ คนอื่นว่าเห็นอะไร ลองบอก

    ผู้ฟัง ก็เห็นท่านอาจารย์เหมือนๆ กัน

    ท่านอาจารย์ อย่างอื่นไม่เห็นเลย หรือ ธรรมเป็นเรื่องตรง เป็นเรื่องจริง จะเข้าใจก็ต่อเมื่อพิจารณาความจริง อย่างอื่นไม่เห็นเลย หรือ

    ผู้ฟัง สิ่งที่เห็นเหมือนๆ กัน

    ท่านอาจารย์ ก็มีสิ่งนี้ที่กำลังปรากฏทุกคนอยู่ที่นี่แต่คิดต่างกัน กำลังคิดถึงคนอื่นจะมองเห็นคนข้างๆ ไหม คนที่อยู่ข้างหน้าเห็นไหม กำลังคิดถึงเรื่องอื่น

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ก็มีสิ่งที่ปรากฏตรงนี้เหมือนๆ กัน แล้วแต่ใจคิด

    ผู้ฟัง แต่กล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนั้นเกิดขึ้น แล้วก็จิตเห็นในขณะนั้นเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นโดยไม่เรียกว่าอะไรเลย ไม่ต้องเรียกเราไม่คุ้นกับธรรมเลยแต่เราคุ้นกับชื่อ เช่น บอกว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นรูปชินเลยใช่ไหม แต่ไม่ต้องบอกว่าเป็นรูปหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงคือเป็นธรรม ก่อนอื่นเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องไปนึกเกินกว่านี้เลย เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏมีจริงๆ เห็นก็จริงเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ ไม่ต้องบอกว่าเห็นเป็นนามเพราะว่าจะไปทำให้จำคำแล้วก็ตอบได้ มีแต่คำทั้งนั้นเลยแต่สภาพธรรมถูกปกปิด เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจว่าแต่ละคำหมายถึงลักษณะจริงๆ ของธรรมแต่ละอย่าง เพียงแต่ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่มีจริงๆ ไม่ต้องใช้คำว่าธรรมก็ได้มีจริงๆ แล้วสิ่งที่มีจริงไม่ต้องเรียกอะไรก็ได้ แต่ความที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงเพิ่มขึ้นจะเห็นความหลากหลายว่าสิ่งที่จริงแต่ละอย่างนั้นต่างกันทั้งหมดเป็น แต่ละหนึ่งๆ เช่นในขณะนี้ไม่ต้องบอกว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นรูปมีจริงๆ เห็นไม่ต้องเรียกว่าเห็น แต่มีเห็นไหม มี เพราะฉะนั้น เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตาเหมือนกัน หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอย่างเดียว หรือเปล่า รู้ได้อย่างไรเมื่อเริ่มเข้าใจ แต่ไม่ใช่เพราะชื่อบอก ถ้าชื่อบอกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูป และเห็นเป็นนาม ความคุ้นเคยกับภาษาทำให้เหมือนเข้าใจแล้วแต่ความจริงไม่ต้องอาศัยคำแต่อาศัยความเข้าใจ ความเข้าใจก็ไม่ใช่เราเป็นธรรม เวลาที่กุศลจิตเกิด ๑ ขณะธรรมทั้งหมดที่เกิดในขณะนั้นไม่ใช่มีเพียง ๑ แม้ธาตุรู้ เอ่ยออกมาก็เป็นแต่ละชื่อซึ่งรู้จักหมดเรียกได้จำได้แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่ต้องใช้คำว่า "มนสิการ โยนิโสมนสิการ" หรืออะไรมาปิดบังทั้งสิ้น เพียงแต่ว่ามีสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วทำอย่างไรจะสามารถเข้าใจต้องอาศัยคำแต่ไม่ใช่หมายความว่าให้ไปจำคำ แต่ขณะนี้ไม่ต้องคิดถึงคำอะไรเลยฟังแล้วเข้าใจไม่ใช่ไปติดที่ "ไม่ให้คิดถึงคำอะไร" นี่ก็ผิดแล้ว ฟังอย่างไงกลายเป็นอย่างนั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567