พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 615


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๑๕

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    อ.วิชัย แต่กล่าวแค่นี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ให้พิจารณาไตร่ตรองได้มากขึ้น จึงต้องกล่าวให้ละเอียดขึ้นอีกว่า สิ่งที่มีจริงที่เป็นธาตุรู้คืออะไร มีลักษณะที่ไม่ใช่อย่างเดียว แต่มีหลายลักษณะ ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน จะใช้คำต่างๆ ว่า จิต วิญญาณ มโน มนะ ปัณฑระ ก็เป็นคำที่กล่าวถึงสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ และมีธรรมอื่นที่เกิดพร้อมจิต เป็นอกุศลก็มี เป็นโสภณก็มี จึงมีลักษณะจริงๆ ให้รู้ว่า ที่เคยคิดว่าเป็นเรานั้น แท้ที่จริงเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นทำกิจแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

    ดังนั้นต้องเริ่มเข้าใจคำที่กล่าวจริงๆ ว่า เบื้องต้นคืออะไร เข้าใจแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีทั้งหมดเป็นธรรม ไม่เป็นอื่น กว่าจะเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ทั้งหมดเป็นธรรม เกิดแล้วดับไป ทางตาเห็น เกิดแล้วดับไป ได้ยิน ทางใจคิดนึก ทั้งหมดวนเวียนอยู่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่มีธรรมเลย ก็ไม่มีอะไรเกิดแล้ววนเวียนไป ไม่มีคำว่า “สังสาระ” ไม่มีคำว่า “วัฏฏะ” แต่เพราะมีธรรมแล้วไม่รู้ธรรมว่า เป็นธรรม ก็เลยได้ยินแต่ชื่อว่า สังสารวัฏ แล้วขณะนี้ที่เห็นเป็นสังสารวัฏ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นก็ต้องเป็นสังสารวัฏ

    ท่านอาจารย์ อะไรที่มีทั้งหมด ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ เกิดแล้วก็ดับไป แล้ววนเวียนไป พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้ไหม พ้นจากการเกิดดับ เกิดแล้วเกิดอีก วนไปเวียนมาไม่ว่าจะในภพนี้ หรือภพไหนได้ไหม แต่ทั้งหมดก็คือธรรม

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมีสิ่งที่ไม่ใช่เรา แต่เข้าใจว่าเป็นเรา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏเหมือนเที่ยง ยั่งยืน แต่ความจริงก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ โดยไม่สามารถรู้ความจริงเพราะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดจะประมาณได้ เหมือนนายมายากล จนบัดนี้ใครสามารถรู้วิธีเอานกออกมาจากหมวกได้ไหม เก่งขนาดไหนก็ทำได้แค่นั้นเอง แต่ธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วสุดจะประมาณได้ เพราะฉะนั้น ตลอดเวลาเหมือนอยู่ที่นี่ แต่ความจริงเป็นธรรมที่เกิดแล้ว ดับแล้ว สืบต่ออย่างเร็วตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น จะอยู่ในโลกของความคิดว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า เห็นไม่ใช่เรา แล้วเราคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นคน หรือเป็นสัตว์ ถ้าสามารถเข้าใจจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้องว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แค่นี้ค่ะ ไม่ต้องไปที่ไหนไกลเลย เพียงแต่ขณะนี้ ความจริงมีเพียงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้น คนส่วนใหญ่จะมุ่งหวังไปทางอื่นเวลาฟังธรรม อ่านธรรม ได้ยินธรรม สนใจธรรม แต่ไม่รู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะตั้งต้นรู้ธรรมที่ไหน ก็คือที่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง

    เพราะฉะนั้น เมื่อทุกอย่างเป็นธรรม มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง กำลังปรากฏด้วย การศึกษาธรรมให้เข้าใจธรรมก็จะเริ่มที่ไหน ก็เริ่มลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ขั้นฟังก่อน เพราะไม่มีใครสามารถละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ทันที แม้ขณะนี้ที่กำลังได้ยินได้ฟังความจริงของธรรมสิ่งหนึ่ง คือ ธรรมที่สามารถปรากฏให้เห็นว่ามีเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น แค่นี้ค่ะ ไม่ต้องไปไกลเลย แต่ก็เป็นเพียงอุปนิสัยที่จะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจจนกว่าประจักษ์ หรือรู้ความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นทันทีไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง แล้วทำไมต้องออกจากสังสารวัฏ

    ท่านอาจารย์ ออกคืออะไร

    ผู้ฟัง หมายถึงไม่เกิดอีก

    ท่านอาจารย์ เพราะมีธรรม จึงมีสังสารวัฏ ถ้าจะไม่มีสังสารวัฏ ก็คือต้องไม่มีธรรมที่จะเกิดอีก จึงพ้นจากสังสารวัฏได้ ก่อนเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์มีสังสารวัฏไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ยังไม่ได้ตรัสรู้ เป็นสังสารวัฏ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้หายไปไหนเลย จิตก็เกิดดับสืบต่อวนเวียน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ คิดนึก เรื่องราวต่างๆ ก็เปลี่ยนจากชาติก่อนๆ นานมาแล้ว ก็มาถึงชาตินี้ แม้ชาตินี้ก็เปลี่ยน ทุกขณะที่เห็น คิดเรื่องเห็น เวลาได้ยินเสียง ก็คิดเรื่องได้ยิน ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนจากสิ่งที่ปรากฏ โดยไม่รู้เลยว่า กำลังเปลี่ยนทุกขณะอย่างเร็ว

    เพราะฉะนั้น การที่จะไม่มีธรรมเหล่านี้ พ้นจากการเกิดวนเวียนไป ไม่มีอีกเลย คือต้องไม่มีธรรมเกิดขึ้น

    ผู้ฟัง แล้วธรรมจะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะทุกอย่างเป็นธรรมหมด

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้จริงๆ หรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ รู้เมื่อไร

    ผู้ฟัง เมื่อมีปัญญา

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้อีก จนดับการเกิดได้ เพราะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมเกิดแล้วทำหน้าที่ของธรรมแต่ละอย่าง นานแสนนาน ยับยั้งไม่ได้เลย เป็นไปตามปัจจัยทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ถ้าทำดี ก็ต้องได้รับผลดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกคนจะเริ่มเคลื่อนจากการฟังธรรมให้เข้าใจ มาคิดถึงทำดี และผลดี แล้วความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่คิดเลยที่จะรู้ขึ้น หรือค่อยๆ หมดไป

    ผู้ฟัง เพราะยังไม่เห็นความสำคัญ หรือไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะรู้ได้ว่า สภาพธรรมมีจริงๆ ในขณะที่ปัญญารู้เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่เป็นอย่างอื่น นอกจากเป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง เมื่อก่อน ก่อนจะมาฟังธรรมที่นี่ ก็ยังรู้สึก และตั้งคำถามกับตัวเองตลอดว่า ฟังธรรมเพื่ออะไร ก็มีคำตอบว่าเพื่อจะรู้เพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ ที่บอกว่า ตั้งคำถามให้กับตัวเอง หมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ไม่อยู่ก็ต้องถามตัวเอง ถ้าท่านอาจารย์อยู่ก็ถามท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แล้วความจริงคืออะไรที่บอกว่า ตั้งคำถามให้ตัวเอง แท้ที่จริงคืออะไร

    ผู้ฟัง ความสงสัยในสภาพที่เป็นอยู่

    ท่านอาจารย์ คือความคิดเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้อยู่ตรงนี้มีคนมากมาย ก็เลยไม่ตั้งคำถามให้ตัวเอง คือไม่คิดอย่างนี้

    ผู้ฟัง แต่ก็ยังมีคำถามกราบเรียนท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ นี่คือคิด เพราะฉะนั้น ต้องรู้ด้วยว่า ไม่มีตัวเอง แต่มีคิด

    ผู้ฟัง แล้วสังสารวัฏเกี่ยวกับกุศล อกุศลอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เวลานี้กำลังฟังธรรม เป็นกุศล หรืออกุศล

    ผู้ฟัง เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ มีอกุศลด้วย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ คนละขณะ ถ้าไม่มีความไม่รู้ จะมีกุศล อกุศลไหม ไม่สงสัย แต่เวลาที่ไม่รู้ ขณะนี้กำลังไม่รู้ บางขณะก็เป็นกุศล บางขณะก็เป็นอกุศล เพราะยังมีความไม่รู้อยู่ คนที่เกิดมาบางคนก็มีกุศลจิตเกิดบ่อยๆ บางคนก็อกุศลจิตเกิดบ่อยๆ แต่ทั้ง ๒ คนก็ไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นสาธารณเหตุ คือ อวิชชา ทั่วไปเหมือนพื้นดินเป็นที่เกิดของต้นไม้นานาชนิด ต้นไม้ที่มีพิษก็มี ต้นไม้ที่มีประโยชน์ก็มี สัตว์โลกต่างๆ ก็อยู่บนพื้นดินนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีอวิชชาอยู่ก็เป็นปัจจัยที่เป็นสาธารณะ ไม่ว่ากุศลจิตเกิด หรืออกุศลจิตเกิดก็ตามแต่ เพราะไม่รู้จึงเป็นอย่างนั้น พิสูจน์ได้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้แต่จิตก็เป็นกุศล ขณะที่สนใจ ศรัทธาฟังธรรมให้เข้าใจขึ้น ขณะเข้าใจก็เป็นปัญญา แต่ก็ยังไม่หมดอวิชชา

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เราควรจะคิดถึงความไม่รู้ที่มีมาก และเป็นเหตุให้เกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ที่ใช้คำว่า สังสารวัฏ กิเลสวัฏเป็นปัจจัยให้กัมมวัฏ กัมมวัฏเป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏ ไม่ได้หมายความว่า เฉพาะแค่ ๓ รวมทุกอย่าง แต่ไม่ได้กล่าวโดยละเอียด แต่กล่าวแล้วคือสังสารวัฏทั้งหมด ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมเกิดสืบต่อ ด้วยความไม่รู้ เป็นกุศล หรืออกุศล

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะไม่มีสังสารวัฏ ก็ต้องไม่มีอวิชชา อย่างนี้ต้องใช้คำว่า ปฏิจจสมุปปาท ไหมคะ เพราะว่าคนไทยใช้ภาษาไทย เข้าใจธรรมในภาษาไทย แต่พอเข้าใจแล้ว ได้ยินว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร รู้เลยว่า กำลังพูดถึงความไม่รู้ ยังไม่รู้อยู่ บางครั้งจึงเป็นกุศล อกุศล แต่ก็ยังคงไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ กุศลก็เกิดได้ อกุศลก็เกิดได้

    ผู้ฟัง จากพระสูตรที่สนทนาเมื่อวานนี้ยังไม่เข้าใจชัด คำว่า “สุข” ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง กับสุขที่พระภิกษุกล่าวถึงเป็นอย่างเดียวกัน หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ สุขมีจริงๆ ไหมคะ

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมที่เป็นรูปธรรม ไม่รู้อะไรเลย หรือเป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ประเภทไหน

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ พอเป็นตำรา ไม่สงสัยเลย ตอบได้หมด แต่เวลาที่ความรู้สึกเป็นสุขเกิดขึ้น ขณะนั้นตรงตามที่ตอบเหมือนในตำราไหมว่า เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าละเอียดก็ตอบได้ว่า เป็นเวทนาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ นั่นเรียกชื่อต่างหาก แต่ถ้าเป็นธรรม คือ ลักษณะนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ความรู้สึกนั้นเกิดแล้วดับแล้วด้วย ไม่เที่ยงเลย อย่างนั้นเป็นสุขที่แท้จริง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง สุขกาย สุขใจ ไม่ใช่สุขที่แท้จริง

    ท่านอาจารย์ แต่เปลี่ยนลักษณะไม่ได้ สภาพที่เป็นสุขเกิดก็มีลักษณะหนึ่ง เมื่อมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ทีนี้ที่พระองค์ตรัสว่า มีเหตุ ๔ อย่างที่นำสุขมาให้ สุขคือพระนิพพานที่เป็นสุขอย่างยิ่ง หรือหมายถึงสุขเวทนา หรือโสมนัสเวทนา ยังไม่เข้าใจชัด

    ท่านอาจารย์ คุณอรวรรณก็เป็นผู้มีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้วถึง ๒,๕๐๐ กว่าปีก็ยังมีโอกาสได้ฟังธรรม เพราะอะไรคะ เหตุที่ทำให้เป็นสุขเรียงตามลำดับ คือ การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วต่อไปคืออะไร

    ผู้ฟัง ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ

    ท่านอาจารย์ ก่อนได้ฟังธรรม คุณอรวรรณก็มีความสุขตามแบบที่พอใจในรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง หรือข้าวสาลีเนื้อบ้าง อาหารต่างๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็คิดนึกเรื่องที่สนุกสนาน เวลาอ่านหนังสือ หรือดูหนังสนุกสนาน จะชอบมาก เป็นสุขไหม เป็น แต่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม เห็นความต่างไหม สุขอย่างนั้นๆ ที่เคยสุขมาแล้วให้ประโยชน์อะไรบ้าง ให้ประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงชั่วคราวขณะที่มีสิ่งนั้นเกิดปรากฏ แต่ไม่ได้คำนึงสิ่งที่หมดไป เพราะมีสิ่งอื่นซึ่งเกิดสืบต่อ ไม่ขาดสายเลย เนียนมาก ทุกข์อาจจะแทรกบางขณะ ความขุ่นเคือง ความไม่พอใจ แต่ก็ยังรู้สึกเป็นสุข แต่สุขต่างๆ เหล่านั้นอยู่ที่ไหน เป็นที่พึ่งจริงๆ หรือเปล่า ยามทุกข์เกิดขึ้นสิ่งต่างๆ เป็นสุข ที่ชอบ ช่วยอะไรได้ หรือเปล่า คนที่ป่วยไข้ อาหารอร่อย มีประโยชน์ไหม สิ่งที่สบายทางกายสำหรับเขากระทบแล้วเป็นทุกข์ มีประโยชน์ หรือเปล่า เสียงต่างๆ ที่เคยชอบ แต่ขณะนั้นเขากำลังปวดหัวมาก แล้วได้ยินเสียงที่เคยชอบ จะสุข หรือจะทุกข์

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้มา หรือความรู้สึกเป็นสุขจากสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสุขที่แท้จริง หรือเปล่า หรือชั่วคราว แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วเป็นสุขขึ้นบ้าง หรือเปล่า แต่ไม่ใช่สุขเดิม แต่เป็นสุขที่มีอะไรกระทบปรากฏแล้วเป็นทุกข์ ก็สามารถเข้าใจได้ แล้วทุกข์นั้นก็น้อยลง หรือขณะที่ได้ฟังธรรม ก็ยังรู้สึกว่าเข้าใจความจริงซึ่งมีในขณะนี้ แล้วค่อยๆ เห็นความจริงว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วคราว คนบางคนที่ได้ฟังพระธรรมบางข้อประทับบางสิ่งบางอย่าง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมกับบุคคลต่างๆ เพราะทรงรู้อัธยาศัยว่า เขาสะสมมาที่จะได้ยินได้ฟังอะไร แล้วเกิดปีติ หรือเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้ เราก็ฟังธรรมมานานพอสมควรในชาตินี้ รู้ไหมว่า เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง แค่นี้ พอจะปลดปล่อยความติดข้อง ความพอใจได้ไหม ชั่วขณะหนึ่ง เหมือน ณ กาลครั้งหนึ่งที่พระวิหารเชตวัน ณ กาลครั้งหนึ่งที่สาวัตถี ก็เป็นเพียงชั่ว ๑ ขณะจิตที่เกิดแล้วก็ดับไป เหมือนเดี๋ยวนี้ไหมคะ เดี๋ยวนี้เอง เมื่อกี้นี้เองเป็น ณ กาลครั้งหนึ่งแล้ว แค่นี้พอจะสาวไปถึงอดีตไหมว่า อดีตก็ไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้เพียงชั่วขณะหนึ่งก็ไม่เหลือแล้ว ไม่ต้องรอไปจนถึงอีก ๑,๐๐๐ ปี แล้วก็จะมาระลึกว่า ขณะนี้ คือ ณ กาลครั้งหนึ่ง อยู่ตรงนี้ ถ้าสามารถระลึกชาติได้ ก็จะรู้ได้เลยว่า ณ กาลครั้งหนึ่งเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ใช่อย่างนี้เลย เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว เพียงแต่จำเรื่องราวจากสิ่งที่เคยปรากฏแล้วเคยจำไว้ได้เท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น สังสารวัฏเป็นอย่างนี้มาตลอดจนถึงเกิดมาแล้วเป็นเด็ก สนุกไหมคะ จำได้ไหมว่า เคยชอบอะไร ขนมอะไร ทำอะไรตั้งแต่เป็นเด็ก แล้วเดี๋ยวนี้ทั้งหมดอยู่ที่ไหน ก็ไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้น นี่คือเหมือนฝันไหมคะ เพราะสิ่งที่มีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก เหลือแต่สิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา เวลาเราฝัน เราจำความฝันได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรในฝันเลย นอกจากความจำ

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้อยู่ที่ตรงนี้ก็เหมือนฝัน คือ จำได้ว่าเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏก็ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมต้องละเอียด คือไม่ข้ามแม้เพียงคำเดียว ธรรม ปรมัตถธรรม หรืออภิธรรม ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็ไม่สงสัยเลยว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ กำลังกล่าวถึงความละเอียดยิ่งของธรรมแต่ละอย่าง เพื่อให้เป็นอุปนิสัย เป็นอุปนิสยโคจรสะสมเพื่อเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังแล้วได้ฟังอีก จนกระทั่งเมื่อได้ฟัง อกุศลจิตเกิด ก็ยังเป็นอารักขโคจร เป็นเองตามการสะสมที่นึกได้ว่า ขณะนั้นก็เป็นธรรมที่เพียงปรากฏ แล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นอย่างนี้ หรือยัง ถ้ายัง วันหนึ่งก็จะระลึกได้ในขณะที่เห็น และเริ่มเข้าใจว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง ไม่มากกว่านั้นเลย

    นี่คือสังสารวัฏด้วย เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตื่น หรือยัง ถ้าตื่น คือ ขณะนี้มีลักษณะแข็งปรากฏ แข็งมีจริงๆ ในขณะที่ปรากฏ และขณะนั้นที่แข็งปรากฏเป็นอนัตตา โดยที่บางคนได้ยินว่า ขณะนี้แข็งปรากฏไหม ก็ไม่รู้ที่แข็ง หรือแข็งก็ไม่ได้ปรากฏกับบุคคลนั้น แต่สำหรับบางคนขณะนี้มีแข็งไหม ก็รู้ตรงแข็ง แต่ยังไม่รู้ความละเอียดว่า ขณะที่แข็งปรากฏขณะนั้น เราใช้คำว่า สติ แต่สติเกิดแล้วไม่ต้องใช้ชื่อ ไม่ต้องเรียกชื่อ เกิดแล้วรู้ตรงแข็งแล้ว

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง และลักษณะนั้นก็แสดงความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จนกว่าจะรู้ทั่วว่า ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่หวั่นไหว อะไรเกิดก็มีลักษณะของสิ่งนั้นปรากฏความเป็นธรรมของสิ่งนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น ตื่น คือ เมื่อรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง โดยขณะนั้นสติเกิดแล้วจึงรู้ตรงนั้น ไม่ใช่ไปพากเพียรคอยสติ เมื่อไรสติจะเกิด เมื่อไรจะรู้ตรงแข็ง นั่นคือไม่รู้เลยว่า เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่าถ้าสติเกิดจริงๆ ไม่ต้องมานั่งเรียกชื่อ ไม่ต้องมานั่งคอย ไม่ต้องหวัง เพราะว่าขณะนั้นรู้ตรงแข็ง เกิดแล้ว สติที่เกิดแล้วเป็นอนัตตา และทำกิจรู้ลักษณะนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น กว่าที่สภาพธรรมนั้นจะปรากฏกับสติ และปัญญา ต้องอาศัยการฟังจนกระทั่งมั่นคง และรู้ว่าธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้แหละที่ตลอดชีวิตกี่ภพกี่ชาติ ฟังเพื่อรู้ความจริงว่า เป็นลักษณะของธรรมอย่างหนึ่งๆ ซึ่งเพียงเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น ไม่ซ้ำกันเลย

    เพราะฉะนั้น แต่ละอย่างเป็นขันธ์ แต่ละหนึ่งๆ ไม่ว่าจะหยาบ ละเอียด เลว ประณีต ใกล้ ไกล ภายใน ภายนอก ก็คือลักษณะของสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงก็หลากหลาย เมื่อเกิดแล้วดับไป ก็เป็นแต่ละลักษณะซึ่งไม่ซ้ำกันเลย

    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่า เหมือนฝัน ขณะนี้สภาพธรรมก็เกิดดับ แล้วเข้าใจผิดว่า เที่ยง เหมือนฝัน คือ ไม่ตรงความจริง

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่เห็นเป็นคุณอรวรรณเป็นฝัน หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็เหมือนฝัน เพราะจริงๆ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีนิมิตที่จำว่าเป็นคุณอรวรรณ ในฝันก็มีคุณอรวรรณอย่างนี้แหละ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567