พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 639


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๓๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ พฤษาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    อ.กุลวิไล จะกราบเรียนท่านอาจารย์สำหรับพื้นฐานพระอภิธรรมว่าการฟังพระธรรมนี่จะเกื้อกูลต่อการที่จะเข้าใจธรรมที่ปรากฏในขณะนี้โดยไม่ต้องทำอะไร แต่ฟังให้เข้าใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องทำ เพราะว่าจะทำอะไร เห็นไหมว่าพูดคำที่ไม่รู้ทั้งนั้นเลยตลอดชีวิต ไม่ต้องทำแต่ถามว่าจะทำอะไร คุณกุลวิไลจะทำอะไรในขณะที่ฟัง

    อ.กุลวิไล ไม่ได้ทำอะไร เพราะส่วนใหญ่จะตั้งใจฟัง

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังเท่านั้นเองจะไปทำอะไร ฟังเกิดเพราะเหตุปัจจัย หรือว่าไปทำฟังให้เกิดขึ้น นี่คือไม่รู้แม้แต่ขณะนี้ ได้ยินก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ฟังก็เป็นธรรม ทุกขณะเป็นธรรมทั้งหมดแต่ไม่รู้เลย ก่อนที่จะได้ฟังธรรมรู้จักอะไรเยอะแยะใช่ไหม เป็นโลกภายนอกทั้งหมด ถูกต้องไหม คนโน้น คนนี้อยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ที่เราใช่ไหม แต่ว่าเป็นคนเป็นสัตว์เป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นภายนอกทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ความจริงแม้แต่คำว่าโลก คำเดียว ทุกคำในพระศาสนาไม่ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในคำนั้น เพียงแต่ว่าคิดว่าเข้าใจ แต่ว่าถ้าเป็นความเข้าใจจากการฟังพระธรรมก็จะรู้ได้ว่าตั้งแต่เกิดจนตายถ้าไม่ฟังธรรมไม่ได้เข้าใจอะไรเลยตามความเป็นจริง แม้แต่เรื่องราวต่างๆ แม้แต่ความเป็นไปของญาติพี่น้อง ประเทศชาติ โลก การกีฬา หรืออะไรทั้งหมดทั้งสิ้นเศรษฐกิจ หรืออะไรทั้งหมดก็เป็นภายนอก เพราะเหตุว่ามีโลก ๒ โลก โลกภายนอกกับโลกภายใน แต่สนใจเฉพาะโลกภายนอกจริงๆ ไม่รู้เลยว่าความจริงโลกที่สำคัญกว่าก็คือโลกภายในคือจิต ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ เรื่องต่างๆ ก็ไม่มี สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็ปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ ไม่ได้ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นแล้วก็เห็น เพราะฉะนั้น เห็นในขณะนี้ก็เป็นโลกภายใน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นภายนอก เป็นของใคร หรือเปล่า ๑ โลกแล้ว แล้วก็ทางหูเวลาที่เสียงปรากฏ เสียงปรากฏก็ไม่สนใจที่จะรู้ว่าเสียงเป็นอะไร ปรากฏได้อย่างไร แต่ตามความเป็นจริงเสียงเกิดเป็นเสียง เมื่อมีธาตุที่เกิดได้ยินเสียงนั้นที่เกิดแล้วยังไม่ดับ จึงปรากฏว่ามีเสียงนั้นจริงๆ แล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น นี่ก็อีกโลก ๑ ใช่ไหม สิ่งที่มีจริงที่เกิดดับโดยไม่ได้สนใจ แม้ขณะนี้ก็มีเสียงกำลังปรากฏแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นโลกภายนอก แต่โลกภายในจริงๆ ก็คือจิตที่เกิดขึ้นแล้วก็ได้ยินเสียงนั้น เพราะฉะนั้น ทั้งวันก็เป็นเรื่องของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่ามี ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็ยังมีการคิดนึกทรงจำนิมิต สิ่งที่เกิดปรากฏในขณะนี้เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครเห็นการเกิดดับสืบต่อเลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นโลกภายนอกที่เป็นเรื่องราวเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นสถานที่ เป็นสิ่งต่างๆ ที่เข้าใจว่ามีความสำคัญมาก ชีวิตวันนี้ตั้งแต่ตื่นมีอะไรบ้างที่ได้ทำ ฟังอะไร อ่านอะไร คิดอะไร พูดอะไร จำอะไร ทั้งหมดเป็นโลกภายนอกทั้งนั้น ไม่รู้เลยว่าจิตต่างหากที่เกิดขึ้นถ้าจิตไม่เกิดขึ้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็มีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้ความจริงอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วปัญหาอยู่ที่ไหน หรือว่าความทุกข์อยู่ที่ไหน ก็คิดว่าอยู่ภายนอกทั้งหมดแต่ความจริงก็คืออยู่ที่ธาตุรู้ หรือสภาพรู้นั่นเอง เพราะฉะนั้น จะกล่าวได้ไหมถ้าไม่มีการฟังพระธรรมไม่รู้จักอะไรทั้งสิ้น แม้แต่โลกก็คืออารมณ์ คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ในขณะนั้นถ้าจิตไม่เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น ไม่มีสิ่งนั้นเลย เช่นขณะที่นอนหลับสนิทจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ ยังไม่ได้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ยังไม่ได้จากโลกนี้ไปด้วยการที่ไม่กลับมาอีกแล้วก็หายไป หายไปจริงๆ จากโลกไม่เหลือเลย เมื่อยังไม่ถึงขณะนั้น ขณะที่กำลังนอนหลับสนิทไม่คิด ไม่ฝัน จิตก็เกิดดับสืบต่อ โลกภายนอกปรากฏไหม ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นแต่ทันทีที่มีโลกภายนอกปรากฏ คือจิตขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต มีปัจจัยที่ทำให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งกำลังปรากฏที่เป็นภายนอกเพราะว่าไม่ใช่จิต แต่จิตเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องเป็นธาตุรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ให้ทราบว่าโลกภายในเกิดดับสืบต่อไม่รู้เลย ปรากฏแต่โลกภายนอกซึ่งเป็นเรื่องราวต่างๆ นี่คือความไม่รู้ความจริงซึ่งใครก็ยับยั้งความเป็นไปของจิตที่จะไม่ให้เกิดดับสืบต่อเป็นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะทำอะไร หรือเปล่า คุณกุลวิไล

    อ.กุลวิไล ทำไม่ได้แน่นอน เราไม่เคยรู้จักโลกภายในเลย เพราะส่วนใหญ่เราจะไปสนใจโลกภายนอก เรื่องราวต่างๆ มากมายก็เพราะเราจำ และคิดนั่นเอง เราอาจห่วง "โลกร้อน" หรือว่าปัญหาต่างๆ แต่โลกภายในก็คือจิตที่เกิดดับขณะนี้เราไม่รู้ถึงปัจจัยที่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สุข ทุกข์อยู่ที่ไหน เห็นไหม ไม่รู้ทั้งนั้น คิดว่าโลกภายนอกร้อนทำให้เราเป็นทุกข์ต่างๆ หรืออะไร แต่ความจริงจิต และเจตสิกหลากหลายมากซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ถ้าย่อยสิ่งที่เราเรียกว่าชีวิตให้สั้นที่สุดก็คือการเกิดขึ้นของจิต และเจตสิก ๑ ขณะซึ่งเป็นไปต่างๆ โดยละเอียด โดยความเป็นจริงว่าไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น ขอให้คิดว่าจะทำ เข้าใจขณะนั้น หรือเปล่าว่าคืออะไร คิดเป็นคิดใช่ไหม แต่สิ่งที่จะเกิดแม้ว่าจะตรงกับที่คิด แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพราะคิดอย่างนี้จึงเป็นปัจจัยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น นี่แสดงให้เห็นว่าความไม่รู้มากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็คือว่าให้เข้าใจสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงบำเพ็ญพระบารมีจนถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแสดงพระธรรมแต่ละคำ คิดดู นับไม่ถ้วนเลยว่ากี่คำ ตลอด ๔๕ พรรษา เป็นเรื่องจริงทั้งหมด เพื่อให้คนที่ไม่รู้อะไรเลยในสังสารวัฏฏ์ได้ตื่น คือจากกิเลสมารู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ แล้วก็อบรมเจริญปัญญาจนสามารถที่จะเห็นถูกตรงตามที่ได้ฟังแต่ละคำเช่น คำแรก ทุกอย่างเป็นธรรม เวลานี้แค่นี้ก็รู้แล้วใช่ไหม กว่าจะถึงความเข้าใจไม่ใช่เพียงคำเพราะว่าถ้าทุกอย่างเป็นธรรมขณะนี้ก็ต้องเป็นธรรม แต่ก็ลืมเสมอ เป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ว่ามีแล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้น หลงอยู่ในโลกของความไม่รู้นานเท่าไหร่ และมากเท่าไหร่ แต่ว่าอกุศลทั้งหลายแม้ความไม่รู้ก็สามารถที่จะดับหมดได้เป็นสมุหเฉท เมื่อมีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงธรรมให้คนฟังซึ่งเป็นสาวกผู้ฟังมีความเห็นที่ถูกต้องทีละเล็กทีละน้อย ต้องทำอะไร หรือเปล่า

    อ.กุลวิไล คนส่วนใหญ่ก็ยังจะยึดถือว่าโลกภายนอกนี่ต้องแก้ไข

    ท่านอาจารย์ คุณกุลวิไลกำลังมีโลกภายนอกเป็นอารมณ์ใช่ไหม

    อ.กุลวิไล ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงคือไม่รู้จักโลก ว่าโลกมีทั้งภายใน และภายนอก และเราจะแก้ปัญหาอย่างไร คุณกุลวิไลจะแก้คนทั้งโลกซึ่งไม่ฟังธรรม ซึ่งไม่เข้าใจธรรมให้เกิดกุศลให้เกิดปัญญา ให้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหนแล้วเมตตาเฉพาะคนที่อยู่ร่วมกันเป็นชาติเท่านั้น หรือ เพราะว่าตามพระธรรมที่ทรงแสดงเมตตาหาประมาณมิได้ นั่นจะชื่อว่าการเจริญเมตตา เพราะความจริงทำไมเราถึงว่าเป็นชาติเพราะว่าอยู่รวมกัน แต่ที่อื่นก็มีเห็น ก็มีได้ยิน ก็มีความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ก็มีความไม่รู้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น พระธรรมไม่ได้ทรงแสดงสำหรับชาติหนึ่งชาติใดแต่ทรงแสดงสำหรับผู้ที่ได้เคยอบรมการที่จะมีศรัทธาเห็นประโยชน์จริงๆ ของการสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม หรือเป็นธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งเพียงปรากฏแล้วก็หมดไปหายไปเลยไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่ให้เราไปทำอะไรแต่เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ติดหูบ้างไหม ฟังแล้วก็ติดใจ หรือเปล่า จากหูไปถึงใจ แค่ไหน แต่ละคำ แต่ละคำเข้าไปเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น เรื่องราวต่างๆ ที่เราเก็บสะสม และจำไว้ ก็เป็นสิ่งซึ่งขณะนั้นเป็นธรรม หรือเปล่า เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ว่าเป็นธรรมไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ว่าสิ่งที่มีเข้าใจว่าเป็นธรรม จนกระทั่งมีความมั่นคง สัจจญาณมีความมั่นคง ไม่ต้องกังวลว่าแล้วจะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้เมื่อไหร่ เพราะว่ายังไม่ได้ติดหูติดใจพอใช่ไหม เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ลืม วันนี้เสียงอื่นก็มาแล้วติดหูแล้ว ใช่ไหม แล้วก็ติดใจในเรื่องราวด้วย แล้วเมื่อไหร่การฟังพระธรรมสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมเป็นเรื่องรู้ คือเข้าใจถูกตามความเป็นจริง แล้วละ ไม่ต้องห่วงใยว่าใครจะไปทำละ ฟังเท่าไหร่ก็ไม่เห็นละ นั่นก็คือไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือว่าวันนี้ได้ฟังแล้วยังไม่เข้าไปถึงใจพอที่จะระลึกได้ รู้ว่าขณะนี้ก็เป็นธรรมที่ปรากฏเป็นโลกภายนอก ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้เลย แค่นี้ย้ำจนกระทั่งไม่ลืม เป็นปัญญาระดับหนึ่งซึ่งจะเป็นปัจจัยให้สามารถเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ในขั้นฟังก็ยากที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น จะหวังที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ หวังทำไม เพราะว่าถ้าเป็นปัญญา ปัญญาเท่านั้นในขณะนั้นที่ตรงกันข้ามกับอวิชชาซึ่งกำลังปิดบังความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะให้ความจริงนี้เปิดเผยได้อย่างไรในเมื่ออวิชชาคือความไม่รู้ความไม่เข้าใจยังมีอยู่ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ต่อเมื่อใดการฟังเป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นๆ ก็ยังไม่ถึงกาละที่สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้จะปรากฏตามความเป็นจริง เพียงขั้นมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น แต่เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ลืมว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธรรม หมายความว่ามีจริงๆ ตรงตามที่ได้ฟังประมวลสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วในชาติก่อนๆ จนกระทั่งถึงในชาตินี้ที่จะเริ่มเห็นถูก และเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย ลองคิดถึงการสะสม พอเห็นก็เป็นคุณชมชื่น เร็วไหม ไม่มีอะไรกั้นเลย และถ้าเป็นการอบรมเจริญปัญญาแทนที่เห็นแล้วเป็นคุณชมชื่นเหมือนกันเลย แนบเนียนไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นกำลังเข้าใจลักษณะที่ปรากฏทางตา แทนที่จะไม่รู้เลยก็เริ่มแม้แต่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งละความติดข้องที่เคยติดข้อง และกำลังติดข้อง ก็ไม่รู้ใช่ไหม ขณะนี้เห็นไม่มีใครที่จะไม่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ถ้าขณะนั้นปัญญาไม่เกิด และก็รวดเร็วมากหลายวาระกว่าจะจำแล้วก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาแต่ละขณะแต่ละวาระก็เหมือนอย่างนั้นเลย ทันทีที่ผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาแล้ว รู้ลักษณะของสภาพธรรมจะสงสัยไหมในสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้ายังไม่ได้ดับความไม่รู้จึงทำให้สงสัยไม่สามารถที่จะดับกิเลสใดๆ ได้ทั้งสิ้น แต่ผู้ที่ดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยถึงความเป็นพระอรหันต์ปัญญาจะมากมายสักแค่ไหนกว่าที่จะเป็นอย่างนั้นได้ เป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจอย่างเดียว ไม่ต้องกังวลเรื่องสติสัมปชัญญะ สติปัฏฐานการเกิดดับใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเป็นปัญญาที่สามารถรู้ได้เข้าใจได้แต่ไม่ใช่เป็นเราที่จะไปพากเพียร เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังหวังอะไร หรือเปล่า แอบหวัง หรือเปล่า บางคนเหมือนไม่หวังแต่ความจริงยังบอกด้วยว่าแอบหวัง ก็มี ขณะนั้นหวังเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เลิกไปได้เลยเรื่องความหวัง เพราะเป็นสิ่งที่ปัญญาละ เราละไม่ได้ การรู้ถูกความเห็นถูกในธรรม ในขณะใดที่เห็นถูกขณะนั้นไม่มีอวิชชา และเพราะเห็นถูกจึงสามารถที่จะเห็นความหวังที่จะละก็ต่อเมื่อรู้ ถ้ายังแอบซ่อนอยู่ และก็เกิดบ่อยๆ มาทางอากาศบ้างเหมือนกับอากาศที่แทรกอยู่ทุกกลาปของรูป ก็ไม่มีทางที่จะไปละด้วยความไม่รู้ได้ ด้วยเหตุนี้คุณกุลวิไล จะทำอะไร

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์พูดถึงว่าแอบหวังนี่ถ้าใครยังมีความหวังอยู่ก็เป็นผู้ที่ไม่รู้จักโลกภายนอก และโลกภายใน

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ พอดีท่านอาจารย์กล่าวว่าไม่ต้องทำอะไรก็ฟังให้เข้าใจ และต้องฟังโดยละเอียดรอบคอบ และเป็นไปเพื่อการละ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ขยายความตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ฟังสบายๆ นี่เข้าใจอะไร หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าตั้งใจฟังก็สบาย และก็เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่เผินเป็นสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งจะต้องเข้าใจ เหมือนอย่างบางคนเผินก็บอกว่า เมื่อทุกอย่างเป็นอนัตตาก็ช่วยไม่ได้ ใช่ไหม ไม่ต้องเข้าใจด้วยเพราะช่วยไม่ได้เป็นอนัตตา อย่างนั้นถูกไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ แม้แต่คำว่าอนัตตาที่พูดรู้จริงๆ หรือเปล่า นี่แสดงว่าพูดด้วยความไม่รู้

    ผู้ฟัง เรื่องอนัตตามีคนบอกอย่างนี้ว่า "ก็ไม่เห็นเป็นไรไม่มีตัวตนเป็นอนัตตาถ้าจะตกนรกก็อนัตตาที่จะต้องตกนรก"

    ท่านอาจารย์ ด้วยความไม่รู้จักอนัตตา พูดได้ทุกอย่าง เพราะได้ยินคำว่า "อนัตตา" รู้คำแปลของคำว่า "อนัตตา" แต่ไม่รู้จักอนัตตา ไม่ได้เข้าใจอนัตตาตามความเป็นจริงว่าขณะที่พูดก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น เพียงพูดว่าทุกอย่างเป็นอนัตตาแต่กำลังพูดอะไรเป็นอนัตตาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น พูดได้จำมาก็พูด ทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังพูดอะไรเป็นอนัตตาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าคนนั้นรู้อนัตตาพอที่จะกล่าวไหม เพราะว่าเมื่อเป็นอนัตตาก็ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ตกนรกก็ตกนรก

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ขอความกรุณาขยายความว่าแล้วอนัตตาเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของปัญญา พุทธะ แต่ละคำต้องเข้าใจขณะที่เข้าใจคือปัญญาที่มีความเห็นถูก ไม่อย่างนั้นไม่ชื่อว่าเป็นสาวก หรือว่าไม่ชื่อว่าเป็นผู้ที่ฟังธรรม เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจนั่นแหละสาวก จะอ้างว่าฟังว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เป็นอย่างนั้นแล้วเราก็เป็นสาวกแล้วโดยที่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังเลย ก็ไม่ถูกต้องใช่ไหม เพราะฉะนั้น เป็นมรดกสำหรับชาวพุทธที่สามารถจะเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ สำหรับผู้ที่มีศรัทธาที่จะเห็นประโยชน์ของความเข้าใจ เพราะว่าเกิดมาแล้วก็หายไปจากโลกโดยที่ไม่เข้าใจเลย สุขก็สั้นทุกอย่างสั้นมากเล็กน้อยมากเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อย่างที่ข้อความในอรรถกถาอุปมาความสุข ความสุข ยกความสุขทั้งๆ ที่ทุกอย่างก็แสนสั้นแต่ทุกคนปรารถนาความสุข กว่าจะได้สุขลำบากไหม อาหารเช้าที่ถูกปาก แค่สุขในขณะที่ลิ้มรสแล้วก็หายไปเลย แค่นั้น อุปมาว่า "เหมือนเห็นการร่ายรำด้วยแสงฟ้าแลบ" แสงที่สว่างที่สั้นมากคือสายฟ้าแลบ แสงฟ้าแลบเท่านี้เอง เท่านั้นเองจริงๆ เพราะฉะนั้น คำอุปมาในพระไตรปิฎกจะหลากหลายแล้วแต่ว่าจะกล่าวถึงอะไร เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวถึงจิต เจตสิก ก็ก่อนที่จะร่ายรำจิตก็เกิดตั้งเท่าไหร่ และเราก็กำลังร่ายรำอยู่ หรือเปล่าในขณะนี้ มีการแสดงอะไรบ้าง หรือเปล่า เพราะมีจิต และเจตสิกซึ่งไม่รู้เลยว่าทุกอย่างเป็นไป แล้วแต่จะพูดจะทำจะคิดแต่ละคนก็เป็นไปตามการสะสม ซึ่งถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็เกิดมาไม่มีอะไรที่เที่ยงชั่วขณะที่แสนสั้น และก็จากไปคือหายจากความเป็นบุคคลนี้เลย หายจากความเป็นบุคคลในชาติก่อนไหม อยู่ที่ไหน เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักเลย ไม่รู้จักเลย หายไปเลยเหลือพอที่จะให้รู้จักได้ไหม ไม่มีเลยนอกจากความคิด เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าโลกภายใน และโลกภายนอก ถ้าไม่มีการเห็นซึ่งมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และทางใจก็จำไว้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะมีเรื่องราวต่างๆ และมีโลกภายนอกมากมายตั้งแต่เกิดจนตายซึ่งเพียงแต่คิดถ้าเห็นโดยไม่คิด ไม่มีใคร ได้ยินไม่คิดก็ไม่มีเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ทุกทางหมด แต่ว่าเมื่อมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นภายนอกแล้วไม่รู้ตามความเป็นจริงก็มีโลกของความคิด ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ใช่สภาพธรรมเลยสักอย่างเพียงแต่คิดว่ามีใช่ไหม มีโลก มีคน มีเรื่องราวต่างๆ ถ้าจิตไม่คิดมีไหม แล้วสุขทุกข์อยู่ที่ไหน อยู่ที่จิตที่คิด หรืออยู่ที่เรื่องราวภายนอก ที่คิด

    ผู้ฟัง สุขทุกข์อยู่ที่จิตที่คิด ถ้าไม่คิดสุขทุกข์ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น รู้ตัวปัญหาแล้วใช่ไหม ถ้ามีปัญหา

    ผู้ฟัง เพราะว่ามีจิต

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้ความจริง

    ผู้ฟัง เรื่องร่ายรำทุกคนก็นั่งฟังพระธรรมด้วยความตั้งใจ ไม่คุยกันตั้งใจที่จะเข้าใจแล้วเป็นร่ายรำไปอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คิด หรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ เรื่องอะไร

    ผู้ฟัง เยอะแยะเลย

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละร่ายรำแล้วไม่ได้อยู่เฉย ยังไม่ใช่แค่คิด ยังร่ายรำทางกาย ทางวาจาออกมาอีก วิจิตรมาก ไม่ได้อยู่เฉยๆ คำแต่ละคำที่พูดมาจากไหน จิตวิจิตรแค่ไหน คำไม่จริง คำเสียดสี คำหยาบคาย คำไร้สาระมาจากไหน

    ผู้ฟัง มาจากจิตที่เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ได้รู้จักโลกตามความเป็นจริง มีแต่ปัญหาๆ แต่ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้น ปัญหาทั้งหลายแก้ไม่ได้เมื่อไม่รู้จักปัญหา และไม่รู้ว่าปัญหาจริงๆ นี้อยู่ที่ไหน ยังมีใครที่อยากจะแก้ปัญหาไหม นักแก้ปัญหาทั้งหลาย แก้ได้ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ที่บอกว่าจิตที่ได้เห็น จิตที่ได้ยิน จิตที่คิดนึกไปกระทั่งวิถีจิตยันชวนจิตที่เป็นกุศล อกุศลนี่ ถ้าเข้าใจในสภาพธรรมที่ปรากฏขึ้นแล้ว ทำไมไม่คิดว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจทุกอย่างจะเป็นอัตตาได้ไหม

    ผู้ฟัง คิดว่าเมื่อนั้นยังมีสัตว์มีบุคคล มีตัวตนอยู่ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ธรรมกว้างขวางละเอียด ลึกซึ้ง ความเป็นเราด้วยโลภะใช้คำว่าตัณหาก็ได้ ความเป็นเราด้วยมานะความสำคัญตนก็ได้ ความเป็นเราด้วยความเห็นผิดก็ได้ กิเลสมากมายดับทีเดียวหมดพร้อมกันไม่ได้เลย เพราะความละเอียด และความลึกซึ้ง และความมากมาย เพราะฉะนั้น ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ตามความเป็นจริงว่าอนัตตาไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทั้งหมดที่ปรากฏ ต้องเกิดโดยที่ไม่มีใครสามารถไปบังคับให้เกิดได้เลย เกิดแล้วจะไม่ให้ดับหมดสิ้นไปก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ นี่คือลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่เป็นโลกะ หรือโลก คือเกิดดับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567