พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 649


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๔๙

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงขณะนี้มีใครหลอกว่ามีจริง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี ถ้าคนอื่นบอกว่าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เลย จริง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริงๆ คือสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีคนบอกว่าสิ่งที่ปรากกฏทางตาไม่มี เป็นความจริง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่จริง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ต้องเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ เพราะฉะนั้น ค่อยๆ เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา แค่นี้ไม่ลืมด้วย เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ทางตา เพราะว่าเดี๋ยวก็ลืมๆ ไปคิดถึงคน ไปคิดถึงเรื่องนั้น หน้านี้ในหนังสือ แต่ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้แน่นอน มีจริงๆ และกำลังปรากฏด้วย ที่ไม่รู้ก็คือไม่รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏได้นี้แหละต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีจริงๆ ปรากฏเป็นรูปร่าง หรือสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท และกำลังปรากฏให้เห็นได้ ได้ไหม ถ้าไม่เกิดขึ้นเลย ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้การเกิดขึ้นของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่มีความเข้าใจที่มั่นคงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏต้องเกิดขึ้นในขณะนี้ จึงมีลักษณะที่ปรากฏไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น ในขณะนี้แม้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วปรากฏเมื่อมีจิตเห็นเกิดขึ้น นี่คือการที่จะเข้าใจธรรมจนกระทั่งไม่เป็นเรา ไม่ใช่เรา และก็มีการที่จะไม่เปลี่ยนแปลงความมั่นคงของความเข้าใจด้วยว่า การศึกษาธรรมไม่ใช่ไปเอาตำรามาอ่านแล้วก็คิดเรื่องคำที่มีในตำรา แต่ว่าขณะนี้เองมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้วก็เริ่มจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอนโดยการที่ต้องเกิดขึ้น แล้วสิ่งนี้ต้องกระทบจักขุปสาทด้วย เห็นความเป็นธรรมของสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าใครก็ตาม หรือว่าจักขุปสาทไม่เกิดสิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เลย ถึงจะมีหูสิ่งนี้ก็ไม่ได้ปรากฏเพราะว่ากระทบหูไม่ได้ แต่สิ่งนี้เป็นธาตุ หรือธรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถกระทบกับรูปที่ตัวซึ่งกรรมเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น และยังไม่ดับไป สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ รูปนั้นจะเรียกชื่อ หรือไม่เรียกชื่อรูปนั้นก็มีใช่ไหม คือรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏซึ่งถ้าไม่ใช้คำอะไรเลยเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่ากำลังพูดถึงอะไร และพูดถึงธรรมอะไร เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็มีธรรมอีกอย่างหนึ่งแน่นอนคือจักขุปสาทรูป ใช้คำว่าจักขุซึ่งเป็นภาษาบาลี ภาษาไทยก็คือตา แต่ไม่ใช่สสัมภาระ สสัมภาระคือรวม กล่าวรวมตาทั้งหมด ตาดำ ตาขาว นั่นไม่ใช่ แต่ว่าจักขุปสาทคือรูปที่ผ่องใส หรือใส ที่สามารถที่จะกระทบเฉพาะกับรูปที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ แต่ละรูปก็เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ฟังพระธรรมจะไม่รู้ได้เลยว่าอะไรเป็นสมุฏฐานทำให้รูปต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น และก็ปรากฏ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่นเลย ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีจริงเพื่อที่จะรู้ความจริงโดยไม่ใช่เราอยากจะรู้อยากจะประจักษ์ หรืออยากจะทำ แต่เริ่มมีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกซึ่งมั่นคงขึ้น ซึ่งจะเป็นสัจจญาณไม่เปลี่ยน เพราะว่าได้เข้าใจอย่างมั่นคง เพราะฉะนั้นในขณะนี้ก็มีรูปอีกรูปหนึ่ง หรือมีธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ใชัคำว่า "รูป หรือรูปะ" รูปหมายความว่าเป็นธาตุ หรือธรรมซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่ใช่สภาพรู้แต่มีแล้วก็เป็นรูปที่กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา สองอย่างแล้วใช่ไหมที่ต่างกัน แต่ก็เป็นธรรมเพราะเหตุว่ามีจริง หรือไม่มี

    ผู้ฟัง ต้องมีจิตเห็น

    ท่านอาจารย์ ต้องมีจริง จริงแน่ๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ ใครบอกว่าไม่มีได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงสองอย่างคือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างหนึ่ง แล้วมีรูปที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏได้ แต่เพียงเท่านี้รูปนี้ก็ยังไม่ปรากฏแม้ว่ามี เพราะเหตุว่ารูปนี้จะมีอยู่ทั่วไปในรูปทั้งหลาย แต่เราจะไม่กล่าวถึงเลย จะกล่าวถึงเฉพาะสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม และรู้ว่าเป็นธรรมซึ่งไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของ หรือว่าบันดาลให้เกิดขึ้นได้เลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพียงแต่ให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเพราะเกิดแล้ว เพราะฉะนั้น สองรูปนี้กระทบกัน เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น เห็นไหมนี่คือเดี๋ยวนี้เอง เมื่อไหร่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว หรือว่าต่อไปข้างหน้า จิตเห็นจะเกิดที่ไหนในน้ำ บนบก บนฟ้า หรือที่ไหนก็ตาม ไม่ต้องเอารูปอื่นมาปะปน ทั้งตัว หรืออะไรอย่างนั้น เพียงแต่ธาตุนั้นเกิดเมื่อไหร่ก็หมายความว่าต้องมีจักขุปสาทรูปกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้กระทบกันแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ใช้คำว่า "จิต" ซึ่งทุกคนก็ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ต้องมีจิตแน่ๆ สำหรับสัตว์ หรือสิ่งที่มีชีวิต แต่ยังไม่ได้เข้าใจว่าจิตเป็นอย่างไร เป็นเรา หรือเปล่า หรือว่าเป็นธาตุ หรือธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ต้องเป็นจิตที่เกิดขึ้นเห็น จิตเป็นธาตุรู้แม้แต่คำว่า "เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้" คำนี้ก็ยังไม่แจ่มแจ้งเพราะเหตุว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะของธาตุรู้ซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่ง เกิดเมื่อไหร่ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น วันนี้ทั้งวันอะไรปรากฏบ้างตั้งแต่เช้า มีใครนับบ้างไหม มากมาย จิตทั้งนั้นที่เกิดขึ้นสิ่งนั้นๆ จึงปรากฏได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจิตไม่เกิดอะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมก็ต้องค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ว่าในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเพราะเป็นรูปที่สามารถกระทบกับรูปที่กระทบกับสิ่งนั้นได้ ทั้งสองอย่างยังไม่ดับ เพราะว่ารูปๆ หนึ่งแม้ว่าจะเกิด และดับไปอย่างเร็วมาก แต่พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงว่าสภาวรูปที่มีจริงๆ แต่ละรูปเกิดแล้วดับเร็วแต่ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่ามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ได้ยินอย่างนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าจิตต้องเกิดดับเร็วกว่ารูปแน่เพราะว่ารูปๆ หนึ่งที่เป็นสภาวรูปแม้ว่าจะเกิดดับเร็วสักเท่าไหร่ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะรูปๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นจึงดับไป เพราะฉะนั้น รูปเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับแต่เร็วเท่ากับการเกิดดับของจิต ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น จิตจะดับเร็วสักแค่ไหน เพราะว่าขณะนี้ไม่ปรากฏว่ารูปดับ อะไรก็ตามที่เกิดดับเร็วมากการเกิดดับของสิ่งนั้นไม่ปรากฏ พัดลมที่หมุนรู้ไหมว่ามีกี่ใบพัด ไม่รู้เลยแต่ก็หมุน ดับ หรือยัง มีพัดลมที่หมุนอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา หรือเปล่า นี่คือเพียงเท่านี้เราก็ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง และธรรมแต่ละรูป แต่ละนาม แต่ละสภาพธรรมยิ่งละเอียดกว่านั้นมาก เพราะฉะนั้น อาศัยการฟังแล้วเข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ความเข้าใจเพิ่มขึ้น จะมีประโยชน์อะไรกับการไปเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่ไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งนั้นเลยว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้น แม้แต่จิตซึ่งว่ามีก็จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ตัวจิตเองไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีรูปใดๆ เจือปน เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่เกิดเป็นธาตุรู้เป็นธาตุรู้โดยที่ว่าไม่มีรูปเจือปนทั้งสิ้น แม้แต่รูปหยาบ หรือรูปละเอียด หรือรูปอะไรก็ไม่สามารถที่จะไปรวม หรือไปปะปนกับธาตุรู้ได้เลย ด้วยเหตุนี้จิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่ละคำจะเป็นจริง เมื่อปัญญาสามารถประจักษ์ลักษณะแท้ๆ ของสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ในขณะนี้ก็มีสภาพธรรมมากมายหลายอย่างไม่ได้ปรากฏเลยสักอย่างเพราะว่าเกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก แต่ว่าการฟัง และเข้าใจก็เริ่มจะเป็นหนทางที่จะทำให้ความเข้าใจนั้นเพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่เป็นจริงขณะนี้ เพราะฉะนั้น ทุกคำเป็นจริงแต่ต้องเริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ขณะนี้ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และก็มีรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา และต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น มิฉะนั้นแล้วสิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เลย โต๊ะ เก้าอี้ อ่อนแข็ง เย็นร้อนไม่เห็นเลย ไม่มีธาตุรู้ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดที่ปรากฏให้รู้ เพราะเหตุว่าธาตุรู้ไม่ได้เกิดขึ้นรู้ ด้วยเหตุนี้รู้แค่นี้ก็ไม่พอใช่ไหม แม้จิตเห็นก็ต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นทุกอย่างที่เกิด เกิดไม่ได้เลยถ้าไม่มีธรรมซึ่งอาศัยเกิดขึ้นเป็นไป เพราะฉะนั้น แต่ละอย่างๆ ที่มีในขณะนี้ถ้าสามารถที่จะรู้ความจริงจนกระทั่งถึงปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นไป ก็จะเห็นจริงๆ ว่าจะเป็นเราได้อย่างไร จะอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาได้อย่างไร เพราะว่ามีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือการที่จะฟังให้เข้าใจแต่ละชาติจนกระทั่งมีความมั่นคงที่สามารถที่จะเริ่มรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตรงที่กำลังเป็นอย่างนี้คือธาตุรู้กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งขณะนี้ธาตุรู้กำลังเห็นคือรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น สามารถที่จะบอกได้ไหมว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย ปัญญาก็เพียงแต่เริ่มที่จะฟัง และถ้าฟังต่อไปก็จะรู้ได้ว่าปัญญาที่สะสมมาของแต่ละบุคคลนั้นสามารถที่จะรู้ได้มากน้อยอย่างไร ละเอียดลึกซึ้งแค่ไหน เพราะฉะนั้น แม้แต่จิตเห็นขณะนี้เกิดเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เมื่อสิ่งที่น่าพอใจเกิดแล้วแต่ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นได้ต้องเป็นกุศลกรรมที่เป็นเหตุ สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ถูกต้องไหม มีสองอย่าง เพราะฉะนั้น จิตที่จะสามารถเกิดแล้วก็เห็นสิ่งนั้นได้ก็ต้องมีปัจจัยว่าเมื่อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วดับไปแล้วจะนานสักเท่าไหร่ก็ตามเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นเมื่อไหร่ จึงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้นได้ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร แล้วจะอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้อย่างไร นี่ก็คือแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเพื่อที่จะให้คลายความไม่รู้ และคลายการยึดถือว่าเป็นเรา หรือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งต่างๆ คนนั้นคนนี้ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็สามารถที่จะละคลายได้โดยรู้ว่าความไม่รู้มากมายสักแค่ไหนประมาณไม่ได้เลยเพราะว่าไม่ว่าจะกล่าวถึงสภาพธรรมใดก็ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นเลย ไม่ว่าจะพูดเรื่องจิตทั้งๆ ที่จิตก็เกิดดับทำกิจรู้สิ่งต่างๆ จึงปรากฏได้ในวันหนึ่งๆ ก็ไม่รู้ลักษณะของจิตแต่ละชนิดซึ่งต่างกัน จะกล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดดับอย่างเร็วมากไม่มีใครยับยั้งได้เลย เพราะฉะนั้น ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างใช่ไหม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และก็เริ่มเข้าใจความจริง ยิ่งขึ้น

    ผู้ฟัง ที่กราบเรียนถามท่านอาจารย์วันนี้เพราะว่า สิ่งที่ปรากฏมีจริงแต่ว่ายากนักที่จะรู้ หรือว่าเข้าใจในจิต

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาเคยได้ยินคำว่า "โพธิสัตว์" ไหม พระโพธิสัตว์

    ผู้ฟัง เคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ทราบไหมว่าคือใคร

    ผู้ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง เมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ในครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์มีเห็นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ไหม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรได้เฝ้า หรือได้ผ่านพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ แต่ละพระองค์นานเท่าไหร่กว่าจะมีการบำเพ็ญพระบารมีแล้วได้ตรัสรู้ แต่ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเริ่มเข้าใจแล้วเริ่มอบรมความเห็นถูกจนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วเราเป็นใคร

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ คือจริงๆ ไม่ได้หวัง หรือไม่ได้ต้องการที่จะรู้เร็วๆ คือมีความสงสัยก็เลยกราบเรียนถามท่านอาจารย์ถึงสิ่งที่ปรากฏว่าจริงๆ แล้วทุกสิ่งที่ปรากฏก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ทีนี้ธาตุรู้ หรือจิตก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะต้องปรากฏเพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ เพราะฟังแคนี้จะรู้ได้ไหม

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็รู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพียงสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกเพื่อละความหวัง ละความต้องการ ละความติดข้อง ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ใน ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรม ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของธรรมที่กำลังมีในขณะนี้

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ความคิดเป็นความคิดนึกซึ่งจริงๆ แล้วถ้าจะถามทุกคนในห้องนี้ทุกคนก็อาจตอบได้ว่าเป็นจิตที่คิด

    ท่านอาจารย์ จำได้ใช่ไหม จำคำว่า "จิต" ได้แล้วก็คิดก็มี เพราะฉะนั้น คิดเป็นจิตจำได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เคยได้ยินคำว่า "จำ" ไหม เป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ภาษาไทยว่าจำ ภาษาบาลีว่าอะไร

    ผู้ฟัง ก็สัญญาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ ตอบได้เลยเพราะจำ แต่ไม่รู้จักสัญญาเจตสิกแน่ๆ ใช่ไหม เพราะว่าสัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกขณะ แม้จิตขณะนี้ก็ยังไม่รู้แล้วก็จะไปรู้สัญญาเจตสิกโดยภาวะที่เป็นธาตุที่จำไม่ได้เลย เพียงแต่ว่ารู้ว่าชีวิตประจำวันก็เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น จำก็เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่จิตไม่ใช่รูปแต่เป็นเจตสิก เข้าใจอย่างนี้ก็จะทำให้เริ่มค่อยๆ รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อรู้ยิ่งขึ้นมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรมเพราะไม่ใช่เรา จะทำให้คลายการยึดถือสภาพธรรมด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องจากการฟัง

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ เมื่อก่อนคิดก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคิด

    ท่านอาจารย์ เคยได้ยินไหมว่า ธาตุรู้ รู้ด้วยสัญญา จำ หรือรู้ด้วยวิญญาณคือธาตุที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ หรือว่ารู้ด้วยความเห็นถูกคือเข้าใจ ปัญญา เพราะฉะนั้น รู้ด้วยจิตคือวิญญาณที่เกิดมาแล้วต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ จิตเกิดเมื่อไหร่ ที่ไหนต้องรู้ เพราะธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ก็คือเราใช้คำว่า "จิต" จะใช้คำว่า "วิญญาณ" จะใช้คำว่า "มโน มนัส หทย หรือมนินทรีย์ " ก็ได้โดยความเป็นใหญ่ขณะที่จิตเกิดปรากฏธาตุที่เป็นใหญ่ในการรู้ขณะนั้นจะไม่มีสิ่งอื่นเจือปนเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เห็นความใหญ่ ความเป็นอินทรีย์ของธรรมแต่ละอย่างด้วยปัญญาจากการฟัง และก็อบรมความเห็นถูกความเข้าใจถูกแล้วก็ไม่ลืมแล้วมีความเข้าใจขึ้นเพื่อละความสงสัย เพื่อละความไม่รู้ เพราะเวลานี้ทุกคนก็บอกว่ามีจิต ตอบได้แต่ว่าไม่รู้ลักษณะของจิตเลย นั่นคือด้วยสัญญาความจำ จำชื่อ จำเรื่องราว เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตมีใครบางที่ไม่จำแต่ไม่รู้ว่าจำเป็นธรรมซึ่งเกิดเมื่อไหร่ก็มีกิจคือจำทำอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น คิด ถ้าไม่มีสัญญาคือสภาพที่จำจะคิดได้ไหม ก็ไม่ได้ คิดเรื่องอะไรก็คือจำแล้วเรื่องนั้นจึงคิดถึงเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นสัญญาสภาพจำไม่ใช่จิต ซึ่งเป็นการรู้ด้วยจิต หรือว่ารู้ด้วยสัญญา และขณะนี้อีกนานไหมกว่าจะรู้ด้วยปัญญา

    ผู้ฟัง นานมาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น นี่คือความต่างกันรู้ด้วยสัญญา รู้ด้วยวิญญาณ รู้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการฟังเลยเราจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏไหม แม้เป็นนามธรรมก็ต่างกัน ในขณะนี้มีธาตุรู้เกิดรู้สิ่งที่ปรากฏไม่ว่าจะมองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ตาม อย่างเสียงปรากฏจริงๆ เพราะจิตเกิดขึ้นได้ยินรู้เสียงนั้นแล้วสัญญาก็จำเสียงนั้นด้วย แต่ปัญญาเข้าใจความจริงของเสียง หรือเปล่า เห็นไหม เพราะฉะนั้น ปัญญาเป็นสิ่งที่ยากที่จะเกิด ต้องอบรมจากการฟังแล้วเข้าใจ เพราะว่าการฟังโดยที่ไม่ตั้งตนไว้ชอบด้วยกุศลก็คือว่าฟังแล้วเป็นเราเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วก็เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีลาภสักการะ เกียรติยศชื่อเสียงสักเท่าไหร่ ผู้ที่เข้าใจธรรมก็รู้ว่าไม่มีอะไรเลย เป็นแต่เพียงธรรมมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง รูปร่างที่คิดว่าสวยงามน่าดู ก็เพียงแค่ปรากฏทางตาแล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่กลับไปอีกเลย เพราะฉะนั้น มีอะไร ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นธาตุที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความไม่รู้มานานเท่าไหร่ รู้ได้เลยว่าขณะนี้แม้สภาพธรรมที่ปรากฏก็ยังไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น จะนานสักเท่าไหร่ก็ด้วยความไม่รู้ อยู่ในโลกของความไม่รู้นั่นแหละมานาน แล้วก็กำลังจะอยู่ในโลกของความรู้เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้ความต่างของโลกที่ไม่รู้อะไรกับโลกที่รู้ความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏจนกระทั่งรู้ว่าเป็นธรรมตรงกับคำแรกที่ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ แล้วเมื่อรู้ เมื่อปัญญาเกิดรู้อยากทราบว่ารู้เพียงรูปารมณ์ หรือว่ารู้นิมิตของรูปารมณ์

    ท่านอาจารย์ ก็ขอทราบว่านิมิตคืออะไร

    ผู้ฟัง นิมิตตามความเข้าใจก็คือสิ่งที่ปรากฏความเกิดดับเร็วของธรรมจะปรากฏให้เห็นเป็นนิมิตของสิ่งนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีนิมิตของอะไร

    ผู้ฟัง มีทั้งนิมิตของสิ่งที่ปรากฏทางตา แข็ง เสียง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567