พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 616


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๑๖

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่า เหมือนฝัน ขณะนี้สภาพธรรมก็เกิดดับ แล้วเข้าใจผิดว่า เที่ยง เหมือนฝัน คือ ไม่ตรงความจริง

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่เห็นเป็นคุณอรวรรณเป็นฝัน หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็เหมือนฝัน เพราะจริงๆ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีนิมิตที่จำว่าเป็นคุณอรวรรณ ในฝันก็มีคุณอรวรรณอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะฝัน หรือตื่น เมื่อเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือเป็นคุณอรวรรณในฝัน และเวลาตื่นก็ยังเป็นคุณอรวรรณ เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วจำได้ ส่วนที่จำได้ จำได้เหมือนกับฝันเลย แล้วจะไม่เหมือนฝัน หรือ เมื่อไม่รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงสามารถรู้ว่า ขณะไหนเป็นปรมัตถธรรม ขณะไหนเป็นบัญญัติแล้ว เป็นนิมิตแล้ว ไม่ใช่ปรมัตถธรรมแล้ว การรู้ลักษณะชองสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นปรมัตถธรรม คือ ขณะนั้นสามารถรู้ได้ เพราะขณะนั้นกำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ และรู้ว่าสิ่งนี้มีจริงๆ แต่ขณะนั้นปัญญาไม่มากพอที่จะจำได้บ่อยๆ ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเป็นนิมิตต่างๆ เป็นฝัน หรือเปล่า เสียงก็เป็นเรื่องต่างๆ ตัวเสียงก็ดับไปแล้ว แต่มีเรื่องจากเสียงทำให้นึกคิดต่อไปอีกในสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง จากที่ท่านอาจารย์กล่าว ดูเหมือนจะตื่นก็ต่อเมื่อสติระลึกตรงลักษณะชองสภาพธรรม และปัญญารู้ตรงตามลักษณะชองสภาพธรรมที่เป็นจริง จึงจะเป็นผู้ตื่น ในขณะนี้ทุกคนก็ฟังให้เข้าใจเพื่อเป็นเหตุปัจจัยให้ปัญญาเจริญขึ้นตามที่มีปัจจัยนั้นๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ฟังปรมัตถธรรมกับบัญญัติ เดี๋ยวนี้ชัดเจนไหมคะว่า ขณะไหมเป็นบัญญัติ เมื่อรู้จักปรมัตถ์เมื่อไร ก็รู้ว่า สิ่งที่ไม่ใช่ปรมัตถ์เป็นบัญญัติ อย่างขณะนี้มีคุณอรวรรณ แต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นคุณอรวรรณไม่ได้ ใครก็ทำไม่ได้ ไม่ต้องไปตั้งชื่ออะไรเลยทั้งสิ้น กำลังปรากฏ ดับแล้ว แต่ว่าเกิดซ้ำ ทำให้มีนิมิต นิมิตที่จำไม่ได้จำว่า .สิ่งนี้ที่กำลังปรากฏจริงๆ ไม่ใช่นิมิตที่เป็นใครเลย แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้น เวลาที่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้แล้วรู้ แล้วจำว่าเป็นอะไร เป็นบัญญัติใช่ไหม เราไม่ต้องไปนั่งหาว่า บัญญัติคืออะไร แล้วจำว่า สภาพธรรมที่มีจริงเป็นปรมัตถ์ ส่วนที่ไม่จริง แต่จำไว้ว่า รูปร่างสัณฐาน เรื่องราวต่างๆ เป็นบัญญัติ ก็ไปนั่งคิดอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น ชัดเจนไหมถ้ามีปัญญารู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่คุณอรวรรณเป็นบัญญัติ สัณฐานก็เป็นบัญญัติ ชื่อก็เป็นบัญญัติ ขณะที่ฝันถึงคุณอรวรรณคือจำบัญญัติทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ไม่มีปรมัตถ์ ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเลย แต่ยังมีคุณอรวรรณในฝัน เพราะจำบัญญัติ โดยไม่มีปรมัตถ์ที่กำลังปรากฏเหมือนขณะนี้

    ฝัน หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ฝันเต็มๆ เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า ชีวิตเหมือนฝัน เหมือนจริงๆ ถ้ารู้ว่า ไม่ได้ต่างกันเลย เพราะสามารถเกิดจิตเห็น เพราะมีจักขุปสาท แต่เวลาจำแล้วไม่ต้องอาศัยจักขุปสาทเลยก็จำได้ แล้วไม่ลืมด้วย ถ้าศึกษาพระไตรปิฎกต่อไป จะมีข้อความว่า แม้นามรูปก็เท็จ สิ่งเดียวที่ไม่เท็จ คือ นิพพาน

    เพราะฉะนั้น ปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยๆ แต่ละคำประมาทไม่ได้ ต้องเข้าใจจริงๆ ธรรมมีจริงๆ กำลังปรากฏ ปรมัตถธรรมคืออะไร ถ้ารู้จริงๆ ว่า ปรมัตถธรรมเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ส่วนเรื่องราวทั้งหมด คือ บัญญัติทั้งนั้น ก็อยู่ในโลกของบัญญัติมากมาย บัญญัติจริง หรือเปล่า แม้นามรูปที่เกิดจริงในขณะที่เกิดปรากฏแล้วดับไป ก็ยังคิดว่ามีอยู่ แล้วเท็จ หรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมทำให้ค่อยๆ รู้ความจริง แล้วสามารถเข้าใจอรรถ โวหารต่างๆ ที่มีว่า ขณะนั้นที่แสดงอย่างนั้นหมายถึงอะไร และปัญญาระดับไหนด้วย

    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่า แม้นามรูปก็เท็จ เหมือนกับขัดกับที่เรียนว่า ปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน บัญญัติไม่จริง แต่สิ่งที่จริงแน่ๆ คือ ปรมัตถธรรม

    ท่านอาจารย์ โดยปรมัตถธรรมจริงแน่ๆ จิต เจตสิก รูป แล้วนิพพานล่ะ ทำไมต่างจาก ๓ ปรมัตถ์

    ผู้ฟัง เพราะนิพพานไม่เกิด ไม่ดับ และเป็นสุข

    ท่านอาจารย์ แล้วจิต เจตสิก ขณะนี้ยังเที่ยงอยู่ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ความจริงไม่เที่ยง แต่จำว่าเที่ยง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏทางตายังเที่ยงอยู่ หรือเปล่า แม้มีจริง ปรากฏ แล้วก็ดับไปแล้ว เหมือนเท็จไหม หลอกลวงไหมว่า เหมือนมีอยู่ แต่ความจริงไม่ได้มีอยู่ หมดแล้ว

    ผู้ฟัง เท็จเพราะว่าเราเข้าใจว่ามีอยู่ แต่ความจริงเกิดแล้วดับแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงอยู่ในโลกของความมืดสนิท เพราะมโนทวารวิถีมืดจริงๆ คนที่มีจักขุปสาทหลับตายังมีแสง ลืมตาในที่มืดยังเห็นมืดกับสว่าง ต่างกันได้ แต่มโนทวารไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นธาตุรู้ ขณะใดที่ยังไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จะเข้าใจความหมายของ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เพราะไม่รู้จึงมีกุศลกรรม และอกุศลกรรม พิสูจน์ได้เลยในชาตินี้ ชาติก่อนก็อย่างนี้

    เพราะฉะนั้น สังขาร คือ กุศลเจตนา อกุศลเจตนาที่เป็นกุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ทุกคนเกิดมาแล้ว ปฏิสนธิจิตเกิดมืดสนิท แต่มีกรรมเป็นปัจจัยให้ธาตุนี้เกิด แล้วประมวลมาซึ่งกรรม กิเลสที่สะสมมาแล้วแต่ละหนึ่ง ยังไม่มีใครตั้งชื่อว่า เป็นคุณอรวรรณ หรือเป็นใครเลย เป็นธรรมจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดเป็นอย่างนั้น ขณะนั้นมีทุกอย่างที่สะสมมาในแสนโกฏิกัปป์ ที่เป็นกุศล อกุศล ชอบ ไม่ชอบ พอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นอารัมมณูปนิสยปัจจัย สะสมมา ต่อไปเห็นอะไร ได้ยินอะไรก็เป็นไปตามความพอใจที่คล้ายอย่างนั้น หรือสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงถึงความจริงของขณะแรกที่เกิดมืดสนิท แต่มีทุกอย่างที่สะสมมา ประมวลมาซึ่งกรรมที่ทำให้เกิดวิบาก คือเมื่อมีตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะรู้อะไร ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้เลย เป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็เป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่มีสักอย่างที่เป็นอัตตา เพราะเป็นธรรม ใครจะไปทำอะไรธรรมได้

    เพราะฉะนั้น ๑ ขณะเร็วแค่ไหน นับได้ไหม ขณะที่พูดก็มากมายหลายขณะนับไม่ถ้วนแล้ว ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึก ๑ ขณะจิตที่แต่ละคนได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้กรรมหนึ่งเกิด แล้วแต่ว่าเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ขณะปฏิสนธิจิตเกิด ไม่รู้เลยว่าเกิดที่ไหน เป็นมนุษย์ก็ไม่รู้ เป็นเทพก็ไม่รู้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่รู้ เกิดในนรกก็ไม่รู้ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ไม่รู้เลย ๑ ขณะจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เกิดแล้วเพราะกรรมหนึ่ง ดับแล้ว กรรมก็ยังทำให้วิบากซึ่งเป็นผลของกรรมประเภทเดียวกันนั้นเกิดสืบต่อดำรงภพชาติ เห็นกำลังของจิตไหม เป็นนามธาตุ แต่ทันทีที่จิตนั้นดับไป อนันตรปัจจัย ซึ่งจะใช้คำว่า อนันตรูปนิสยปัจจัย เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด มีกำลังให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ เป็นนามธรรม จึงใช้คำว่า อนันตรูปนิสยปัจจัย เพราะนิสย หมายความถึงที่อาศัย จิตก่อนที่ยังไม่ดับเป็นที่อาศัย อุป มีกำลัง ทันทีที่ดับไป ก็เป็นอนันตร กับอุปนิสยปัจจัย จึงเป็นอนันตรูปนิสยปัจจัย มีกำลังที่จะให้จิตขณะต่อไปเกิด ไม่มีใครไปทำเลย นามธรรมทั้งหมดเป็นตามประเภท ตามความเป็นจริงของนามธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่ใช่ขณะปฏิสนธิ แต่ฟังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น เพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้เป็นธรรม แต่กว่าจะเข้าใจถูก เห็นถูก ต้องเป็นอุปนิสยโคจร ต้องได้ยินได้ฟังพระธรรม อย่างคำถามของคุณอรวรรณว่า การอุบัติขึ้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาซึ่งความสุข พระธรรมที่ทรงแสดงนำมาซึ่งความสุข เมื่อเข้าใจถูกจะไม่เดือดร้อนเลย

    กว่าเราจะมาถึงตรงนี้ได้ แล้วใช้คำว่า “ปฏิจจสมุปปาท” ในภาษาบาลี คนไทยเข้าใจธรรมด้วยภาษาไทย ถ้าเข้าใจภาษาไทยได้ ไม่ต้องไปจำคำบาลี แต่พบคำบาลีรู้เลยว่า อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ กุศลอกุศลที่เกิดแล้วที่จะไม่ให้ผล ไม่ให้วิบากเกิด ไม่มี แต่ยังมีความละเอียดอีกมากว่า จะให้ผลชาติไหน ไม่ให้ผลเพราะเหตุใด อย่างไร เป็นพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และอนุเคราะห์ให้สัตว์โลกสามารถเข้าใจสิ่งที่พอจะเข้าใจได้

    นี่คือกำลังฟังอย่างนี้ แล้วพอจะเข้าใจได้ แต่ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะนี่เป็นเพียงปริยัติ การรอบรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังโดยละเอียด โดยถ่องแท้ โดยเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ว่าตามที่ได้ยิน แต่ฟังแล้วต้องพิจารณา แล้วจะรู้ว่า ใครแสดงธรรมอย่างนี้ ถ้าไม่ตรัสรู้จริงๆ จะกล่าวถึงจิตแต่ละขณะได้ไหม แล้วยังละเอียดกว่านี้อีกมากด้วย

    นี่พอจะตอบคร่าวๆ ถ้าตอบต่อไปก็คือ ทั้งหมดของปฏิจจสมุปปาท คือขณะนี้ ซึ่งไม่ต้องใช้ชื่อ แต่เข้าใจความเป็นปฏิจจสมุปปาทได้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ถ้าไม่มีอวิชชา กุศลมีได้ไหม อกุศลมีได้ไหม เพราะถ้าใช้คำว่า กุศล อกุศล หมายความว่าเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก เป็นเหตุจึงต้องมีผล ซึ่งเป็นวิบาก แต่เมื่อหมดเหตุ หมดอวิชชา จึงไม่เป็นกุศล อกุศลอีกต่อไป หลังจากตรัสรู้แล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นกิริยาจิต ไม่เป็นกุศล และอกุศลที่จะให้เกิดวิบากซึ่งเป็นผลอีกได้เลย ตามที่คุณสุกัญญาถามเรื่องสังสารวัฏ ไม่มีทางเกิดไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละภพแต่ละชาติ

    ผู้ฟัง เวลาเสียงเกิดขึ้น ดิฉันจะคิดถึงว่าเสียงอะไร ถ้าเป็นคำก็มีความหมาย แต่ไม่ได้คิดถึงได้ยิน คือไม่ตรงกับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้คุณชมชื่นไปทำอะไรเลย ฟังเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ขณะนี้มีธรรมไหม

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีคุณชมชื่น หรือมีธรรม

    ผู้ฟัง มีธรรมก่อน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรม จะมีคุณชมชื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ แน่ใจนะคะ เห็นขณะนี้เป็นธรรม หรือเป็นคุณชมชื่น

    ผู้ฟัง เป็นตัวดิฉันเห็น

    ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจ ไม่ต้องไปทำอะไร เมื่อกี้นี้เพิ่งบอกไปว่า ไม่มีคุณชมชื่น แต่มีธรรม แล้วตอนเห็นเป็นคุณชมชื่นได้อย่างไรคะ เริ่มต้นต้องตรง ถูก มั่นคงที่จะเข้าใจธรรมต่อไปได้

    สัจจะวาจา คำนี้จริงก็ต้องจริงตลอด

    ผู้ฟัง แม้จะกราบเรียนถามอย่างนี้ก็ต้องตรง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่คุณชมชื่นไปทำอะไร ให้ฟังให้เข้าใจ แค่เข้าใจ ไม่ต้องทำอะไร

    ผู้ฟัง ยังไม่ค่อยเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรม จะมีคุณชมชื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเห็น จะมีคุณชมชื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีได้ยิน จะมีคุณชมชื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้วความจริงได้ยินเป็นอะไร เป็นคุณชมชื่น หรือเป็นธรรม

    ผู้ฟัง จากการฟัง การศึกษา ท่านอาจารย์บอกว่าต้องตรง อาจจะไม่ตรงถ้าตอบว่า เป็นธรรม ทั้งๆ ที่เวลาเห็นเป็นเรา แล้วตอบตอนนั้นก็ไม่ตรง

    ท่านอาจารย์ แต่ตรงกับความเข้าใจตอนแรกที่ว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ใช่ไหม ถ้าไม่มีธรรมก็ไม่มีคุณชมชื่น นี่ตรงตามธรรมที่เข้าใจ ตอบตรงตามความเข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง ตอบตรงตามความเข้าใจธรรม เท่าที่จะจำได้

    ท่านอาจารย์ เท่าที่เข้าใจ เพราะฉะนั้น เห็น มี ได้ยิน มี ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน จะคิดว่า เป็นคุณชมชื่น หรือเปล่า นี่คือแสดงความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ไม่ว่าอะไรก็เป็นเราทั้งหมด ทุกทางมานานแสนนานแค่ไหน กว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วค่อยๆ ชะล้างขัดเกลาความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราออกไปได้หมดจด จนถึงความเป็นพระอริยบุคคล

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ได้ยิน หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ได้ยินค่ะ

    ท่านอาจารย์ ดับไป หรือยัง เสียงดับ หรือยัง

    ผู้ฟัง เสียงที่ถามว่า ได้ยินดับ หรือยัง เสียงดับไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ได้ยนิต่อไปอีกได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้ค่ะ ต้องมีภวังค์คั่นก่อน

    ท่านอาจารย์ เสียงดับแล้ว ได้ยินต่อไปไม่ได้ แต่จิตที่ได้ยินเป็นอนันตรูปนิสยปัจจัยมีกำลังให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที อนันตร ไม่มีระหว่างคั่น สามารถกระทำให้ธรรมที่เป็นนามธรรมเกิดสืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่นเลย โดยไม่รู้ด้วยว่า จิตอะไรเกิดสืบต่อจากโสตวิญญาณที่ได้ยินเสียง ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงพระมหากรุณาแสดงโดยละเอียดให้เห็นความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตนเลย เพราะแม้จิตขณะที่เกิดสืบต่อโสตวิญญาณก็ไม่ได้ปรากฏ แต่มี เพราะโสตวิญญาณเป็นอนันตรูปนิสยปัจจัยแก่จิตขณะต่อไป ซึ่งรู้เสียงต่อจากโสตวิญญาณ โดยเสียงยังไม่ดับ คิดดูถึงความรวดเร็ว เราคิดว่า เสียงเกิดแล้วดับเร็วมาก แต่ความจริงกำลังแสดงถึงเสียงเกิดแล้วยังไม่ดับ ทั้งๆ ที่ปรากฏเหมือนเร็วที่สุด แต่แม้กระนั้นจิตก็เกิดดับสืบต่อเร็วกว่า

    จริง หรือเปล่า ฟังให้เข้าใจ ไม่ใช่ไปทำอะไร แค่เข้าใจเพื่อรู้ความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะฟังธรรมเมื่อไร พระสูตร หรือพระอภิธรรมเพื่อเข้าใจโวหารเทศนา พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้เข้าถึงธรรมที่เป็นอนัตตา จนกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ปัญญา ถึงกาลสมบูรณ์ว่า ไม่มีอะไรนอกจากธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป

    เพราะฉะนั้น ที่หลังจากนั้นแล้วๆ ๆ เข้าใจว่าเป็นเราก็มี การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะอะไรคะ สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือ ปฏิสนธิ ปฏิสนธิแล้วก็ต้องมีนามธรรมรูปธรรม คือเจตสิก และรูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิต โดยกรรมเป็นปัจจัย เลือกรูปได้ไหมว่า ต่อไปรูปเล็กๆ ๓ กลาป โตขึ้นแล้วจะเป็นคิ้ว ตา จมูก ปาก อย่างไร จะมีหาง มีขาอย่างไร ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อกรรมเป็นปัจจัยทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น แล้วประมวลมาซึ่งกรรม แม้แต่รูปซึ่งเกิดเพราะกรรม กรรมก็เป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิดดับสืบต่อ แต่ไม่ใช่โดยเรา แต่เป็นกรรมที่ได้กระทำแล้วทั้งหมด ถึงเป็นคนมีตา ๒ ข้าง มีจมูก มีหู ก็ไม่เหมือนกันเพราะกรรมเป็นปัจจัย

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเข้าใจโดยละเอียด ไม่ต้องใช้คำว่า ปฏิจจสมุปปาท แต่เพราะมีจิตจึงมีเจตสิกเกิดร่วมกัน และมีกัมมชรูปเกิดพร้อมกันด้วย

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กรรมเป็นปัจจัยให้วิบากจิตทำปฏิสนธิกิจ พร้อมกับเจตสิกที่เป็นวิบากเพราะเกิดจากกรรมเดียวกันนั้นเป็นปัจจัย แม้รูปที่เกิดพร้อมกันในขณะนั้นก็เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย ใครทำอะไรได้ พอจากโลกนี้ไปแล้วไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่มีทางเลย แต่ยังไม่รู้ว่า จะเป็นอะไร แต่มีเหตุที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น

    จิตที่เป็นปฏิสนธิจิต คือสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ดำรงภพชาติ ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน เดี๋ยวนี้มีไหมคะ ขณะไหนที่ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะนั้นเป็นภวังคจิต ดำรงภพชาติ ยังไม่จากโลกนี้ไป จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกสักขณะจิตเดียวก็ไม่ได้

    จำได้ไหมว่า ชาติก่อนเป็นใคร จำไม่ได้ เห็นไหมคะ ก็เหมือนปฏิสนธิชาตินี้ แล้วปฏิสนธิชาติหน้าก็เหมือน จุติจิตดับแล้ว จุติจิตเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิด โดยอนันตรปัจจัย แต่กรรมเป็นปัจจัยให้วิบากจิตประเภทไหนเกิด ก็ไม่รู้ แล้วก็ลืมชาติก่อนสนิท

    เพราะฉะนั้น ชาตินี้เหมือนไหม เพียงแต่ปรากฏเหมือนฝัน แล้วก็ลืมๆ ๆ ทุกวัน มีเรื่องใหม่ทุกวัน พอถึงชาติหน้าก็ลืมชาติก่อนอีก เพราะมีชาติใหม่ จำเรื่องใหม่ เป็นเฃใหม่ทุกวันๆ เป็นธรรม หรือเป็นเรา จนกว่าจะเข้าใจแต่ละคำๆ ให้มั่นคงขึ้น แล้วจะค่อยๆ เข้าใจคำอื่นที่ได้ยินสอดคล้องในความเป็นธรรมทั้งหมด

    ลืม หรือยังว่า ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิด มีอะไรเกิดร่วมด้วย วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป ท่องไปๆ ๆ จำไปๆ ๆ แต่ลืมไหมคะ แล้วพอปฏิสนธิจิตดับแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด แต่ก่อนจะดับ เพียงปฏิสนธิจิตขณะแรกเกิดก็มีนามธรรมเกิดพร้อมกัน เกิดร่วมกันพร้อมกับรูปแล้ว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567