พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 657


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๕๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ พระอริยบุคคล พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นดับไหม

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วสิ่งที่ปรากฏเกิดดับไหม

    ผู้ฟัง เกิดดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปรากฏเป็นนิมิต หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ และจิตที่เห็นมีสภาพที่จำด้วยไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จำนิมิตด้วย หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็จำด้วย

    ท่านอาจารย์ นี่คือผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ หรือไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก และการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงคิดเฉยๆ

    ผู้ฟัง ตรงความเห็นถูก ตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ต่อไปก็จะค่อยๆ เข้าใจความหมายของวิปลาส คือธรรมทั้งหมดนี่เกี่ยวข้องกันตั้งแต่ต้น ที่จะต้องเข้าใจตามลำดับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็น แน่นอน เหมือนอย่างนี้เลย ในครั้งพุทธกาลสองพันห้าร้อยกว่าปี ณ.พระวิหารเชตวัน มีท่านพระมหากัสสป ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลาน ท่านพระอานนท์ ท่านพระอนุรุทธ หลายท่าน พระผู้มีพระภาคทรงเห็นนิมิตของท่านเหล่านั้น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ต้องเห็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เห็น จะรู้ไหมว่าใครเป็นใคร เพราะฉะนั้น การเห็นของผู้เห็นนิมิตแล้วไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นกับการเห็นของบุคคลที่สามารถจะรู้ความเป็นจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วไม่ปะปนกันเลย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ปัญญาที่รู้อย่างนั้นจะหายไปไหม เพราะฉะนั้น เห็นเหมือนเดิมแต่คนที่ไม่มีปัญญาขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับนับไม่ถ้วนกว่าจะเป็นนิมิตก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่รู้ก็สามารถที่จะรู้ตั้งแต่เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเกิดดับเท่าไหร่ และปรากฏเป็นนิมิต เพราะฉะนั้น เวลาที่ขณะที่นิมิตเกิดขึ้น สัญญาก็จำนิมิตแต่ไม่ใช่ด้วยความวิปลาส ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ แต่ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ตามปกติ ไม่ผิดปกติเลย ถ้าผิดปกติไม่ใช่ปัญญา เพราะปัญญาต้องรู้ความจริง และขณะนี้ความจริงก็คือเป็นปรมัตถธรรมที่เกิดดับจนปรากฏเป็นนิมิต และสัญญาก็จำตลอด จนกระทั่งจำได้หมดว่าอะไรเป็นอะไร แต่ว่าวิปลาส ขณะที่เป็นอกุศลเพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากแม้แต่แต่ละคำที่ใช้ ใช้โดยเข้าใจถูก หรือว่าโดยเข้าใจผิด คิดเอง หรือว่าใช้โดยความเข้าใจเพียงเล็กน้อย หรือว่าใช้โดยความเข้าใจยิ่งขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้

    ผู้ฟัง คือว่าตัวตนที่ไปคิดกับสภาพธรรมที่คิดแต่มีเหตุปัจจัยให้คิดต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตัวตนอยู่ที่ไหน คุณวิชัยอยากจะสนทนาด้วยไหม

    อ.วิชัย ก่อนอื่นต้องเริ่มที่จะเข้าใจ คือถ้าจะเข้าใจธรรมก็ต้องเริ่มที่จะรู้จักธรรม เพราะเหตุว่าธรรมที่กล่าวถึงคือมีลักษณะที่สามารถที่จะรู้ได้ คือขณะแม้ที่เรากำลังกล่าวถึงเรื่องที่ผ่านมาที่กำลังคิดก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นไป แล้วก็ไม่มีความจงใจที่จะนึกถึง หรือว่าจะกล่าวอย่างนั้นอย่างนี้แต่ก็มีเหตุปัจจัยให้จิตคิดถึงสิ่งต่างๆ และก็มีการกล่าวคำออกมา เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกๆ ขณะเป็นธรรม เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่จิตเกิดขึ้นนึก และก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น การที่จะรู้จัก ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริงสามารถที่จะเข้าใจถึงลักษณะของเขาได้ด้วยการที่จะแสดงความละเอียด เช่นจิตมีลักษณะอย่างไรเป็นธาตรู้ เป็นสภาพรู้ และก็กำลังปรากฏอยู่ให้รู้ได้ เพราะเหตุว่าขณะนี้ก็รู้ใช่ไหม มีการได้ยิน การเห็น มีความรู้สึกก็เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น ดังนั้นการที่พยายามที่จะคิดต่างๆ ก็เป็นความคิดของเราทั้งหมดเลยที่จะไปเปรียบเทียบว่ามีเหตุปัจจัย หรือว่าเป็นตัวเราที่คิด ขณะนั้นก็เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกำลังที่จะคิดเรื่องต่างๆ มากมายเลยขณะนั้นก็ไมเป็นการที่จะเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่เราคิดทั้งหมด เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังคิดธาตุที่กำลังรู้นั่นแหละเป็นธรรม ดังนั้นการฟังทั้งหมดคือจุดประสงค์ก็คือเพื่อเข้าใจ เพราะเหตุว่าขณะที่ไม่เข้าใจก็มีความคิดต่างๆ ซึ่งขณะนั้นก็ไม่รู้เลยว่าเป็นธาตุรู้ที่กำลังคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมายเลยโดยที่ไม่เข้าใจเลยว่าขณะนั้นก็กำลังเป็นธาตุรู้ที่กำลังรู้ หรือคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้น ทุกๆ ขณะที่จะเข้าใจจริงๆ ก็คือธรรมขณะนี้ และกำลังมีในขณะนี้

    ผู้ฟัง ได้คำตอบแล้วก็คือ จริงๆ แล้วเราก็ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล

    อ.วิชัย ความจริงก็ต้องเป็นความจริง ขึ้นอยู่กับว่าความรู้คือความเข้าใจถูกมากน้อยแค่ไหน สำหรับผู้ที่ใหม่จะให้กล่าวว่าเป็นธรรมก็ยังไม่เข้าใจเพราะว่ายังไม่มีเหตุปัจจัยของความรู้ที่จะเจริญขึ้น เพราะฉะนั้น ความรู้ต้องมีความเจริญขึ้นคือจากการฟังการพิจารณา การไตร่ตรอง การซักถาม และก็พิจารณาโดยละเอียดถึงสิ่งที่กำลังมี และฟัง และเข้าใจในสิ่งที่กำลังมี เพราะเหตุว่าที่กล่าวทั้งหมดคือกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด และเพื่อเข้าใจความละเอียดว่าจริงๆ ธรรมที่กล่าวทั้งหมดเป็นอนัตตาจริงๆ เพราะมีเหตุปัจจัยทั้งหมด ความละเอียดของปัจจัยต่างๆ ก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียดเพื่อเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ว่าเป็นอนัตตาจริงๆ ไม่มีบุคคลใด หรือว่าเราที่จะบังคับบัญชาได้เลย

    อ.กุลวิไล เชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม เป็นแต่เพียงรูปธรรม เป็นแต่เพียงนามธรรมคือจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นเองไม่มีตัวตนเลยแต่เพราะไม่รู้จึงสำคัญว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล เพราะฉะนั้น แล้วประโยขน์จริงๆ ของการศึกษาก็คือความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ศึกษาธรรมแล้วจะไม่ให้เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ สำคัญคือความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ขอท่านอาจารย์ได้อธิบาย นิมิต อนุพยัญชนะซึ่งหมายถึงส่วนหลายส่วนละเอียดกับนิมิตของสภาพธรรมอย่างเช่นรูปนิมิต เวทนานิมิตมีความแตกต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกัน และไม่ซ้ำกันเลย มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น เวลาที่ใช้คำว่า "นิมิต" ก็หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานให้รู้ให้จำได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร แต่อนุพยัญชนะก็คือส่วนที่ละเอียดกว่านั้น ซึ่งขณะนี้ก็เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าดูเสื้อของผู้ฟังทุกท่านไม่เหมือนกัน ตอบได้แค่นี้ใช่ไหม แต่ถ้าจะดูความละเอียดของแต่ละตัว นั่นก็คืออนุพยัญชนะ เพราะฉะนั้น ก็คือสิ่งที่มีแล้วแต่ว่าขณะนั้นเราจะเป็นเพียงสนใจเฉพาะในนิมิต หรือกำลังสนใจอนุพยัญชนะนั้น เท่านั้นเอง

    อ.กุลวิไล เชิญคุณอรวรรณ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ และท่านวิทยากร ที่จริงมีคำถามอื่น แต่ขอถามต่อเนื่องที่อาจารย์อรรณพถาม กราบท่านอาจารย์ เมื่อกี้ท่านอาจารย์อธิบายนิมิต อนุพยัญชนะว่า นิมิตเป็นส่วนหยาบสัณฐาน และอนุพยัญชนะก็เป็นส่วนละเอียด คำว่า"นิมิต" ตรงนี้อันเดียวกับรูปนิมิต เวทนานิมิต สังขารนิมิต

    ท่านอาจารย์ นิมิตของรูปชื่อว่ารูปนิมิต นิมิตของเวทนาจะไปเรียกรูปนิมิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นิมิตของเวทนาจะไปใช้คำว่า "สัญญานิมิต" ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นนิมิตของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เวลามาศึกษาที่นี่ท่านอาจารย์จะบอกว่าไม่มีคุณอรวรรณ ไม่มีท่านอาจารย์ ไม่มีคุณสุกัญญา คือไม่มีใครๆ เลยในที่นี้ ก็มีแต่จิต เจตสิก รูปที่เกิดดับ แล้วก็ความเร็วของการเกิดดับของเขาทำให้เห็นเป็นนิมิตก็จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กราบท่านอาจารย์ตรงนี้เหมือนเข้าใจยากมากว่าทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ถามว่าเห็นอะไร เพราะว่าทุกคนยังไม่ได้เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่ารู้ว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วรู้แล้วก็จำ..

    ท่านอาจารย์ เห็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ไม่รู้ตามความเป็นจริงก็เห็นเป็นท่านอาจารย์ เจดีย์พระธาตุ เป็นอะไรเยอะแยะเลย ท่านวิทยากร และดอกไม้ ตรงนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่สอนพูด สวนกับที่ปรากฏให้รู้

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วก็เริ่มเข้าใจ แต่ถ้าเราพยายามจะไปค้นหาให้เจอเราสามารถที่จะเข้าใจไหม เช่นเมื่อกี้ได้ยินเสียง ถูกต้องไหม ได้ยินเสียง มีคุณคำปั่น หรือเปล่า เมื่อกี้คุณคำปั่นกำลังพูดใช่ไหม ทุกคนก็ได้ยินเสียงคุณคำปั่น แต่ในขณะที่ได้ยินเสียงมีคุณคำปั่น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขณะได้ยินเสียง ก็ไม่มีคุณคำปั่น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะได้ยินก็มีได้ยินกับเสียง ขณะที่เห็นก็มีเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วมีคุณคำปั่นที่ไหนในขณะที่กำลังเห็น หรือในขณะที่ได้ยิน ได้ยินเกิดขึ้นหนึ่งขณะกำลังมีเสียงเท่านั้น เพราะว่าได้ยินเสียง ได้ยินจะไปเป็นมีคุณคำปั่นปรากฏทางหูไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ได้ยินเมื่อไหร่ขณะนั้นมีได้ยินกับเสียงไม่มีคุณคำปั่น เพราะฉะนั้น ทางตาขณะนี้เวลาเห็นเกิดขึ้นก็จะต้องมีเฉพาะเห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่มีคุณอรวรรณแต่ถ้าคิดนึกเมื่อไหร่ก็มีในความคิดเท่านั้น เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไปแต่สัญญาจำแล้วคิดเหมือนยังมีอยู่ตลอดเวลา เพื่อนวัยเด็กมีกี่คน ตายไปบ้าง หรือยัง คนไหนตายคนไหนอยู่ คิดไปจริง หรือเปล่าตามที่คิด เราอาจคิดว่ายังอยู่แต่ตายแล้วก็ได้ หรืออาจคิดว่าเขาตายแล้วแต่เขาก็ยังอยู่ก็ได้ ทุกอย่างเพราะคิดจะคิดถูกคิดผิดอย่างไร คิดก็เพราะสัญญาความจำ

    ผู้ฟัง ต้องมีเสียงปรากฏกับจิตได้ยิน แล้วก็คิดนึกจนกระทั่งรู้เป็นคำก็เข้าใจได้ว่ากล่าวว่าอย่างไร ชีวิตประจำวันก็เป็นเช่นนี้

    ท่านอาจารย์ แต่สิ่งที่เกิดดับแล้วไม่รู้นั่นเยอะมากเลยจนปรากฏนิมิตของแม้สัญญา แม้วิญญาณ ทุกอย่างเกิดดับเร็ว แต่ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากไม่รู้เป็นค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นอย่างนั้น จึงสามารถที่จะดับความเห็นผิดการยึดถือสภาพธรรม ไม่เกิดอีกเลยแม้ว่าจะเห็นก็รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นธรรม

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ ถ้าปัญญาไม่เกิดรู้ตามความเป็นจริงก็ดูเหมือนว่าจะมีคนในเสียง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นเหมือนเดิมแต่คนที่ไม่มีปัญญาขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับนับไม่ถ้วนจนกว่าจะเป็นนิมิตก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่รู้ก็สามารถที่จะรู้ตั้งแต่เห็น สภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเกิดดับเท่าไหร่ และปรากฏเป็นนิมิต เพราะฉะนั้น เวลาที่ขณะที่นิมิตเกิดขึ้นสัญญาก็จำนิมิตแต่ไม่ใช่ด้วยความวิปลาส ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้แต่ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ตามปกติไม่ผิดปกติเลย ถ้าผิดปกติไม่ใช่ปัญญา เพราะปัญญาต้องรู้ความจริง และขณะนี้ความจริงก็คือเป็นปรมัตถธรรมที่เกิดดับจนปรากฏเป็นนิมิตแล้วสัญญาก็จำตลอด จนกระทั่งจำได้หมดว่าอะไร เป็นอะไรแต่ว่าวิปลาส ขณะที่เป็นอกุศลเพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แม้แต่ละคำที่ใช้ใช้โดยเข้าใจถูก หรือว่าโดยเข้าใจผิด คิดเอง หรือว่าใช้โดยความเข้าใจเพียงเล็กน้อย หรือว่าใช้โดยความเข้าใจยิ่งขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ มีคุณสุกัญญาจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง คุณสุกัญญาไม่มี

    ท่านอาจารย์ นี่คือฟังแล้วก็ตอบ แล้วก็เข้าใจจำได้จากการฟัง สิ่งที่จริงต้องจริงตลอดถ้าตอบว่าไม่มีคุณสุกัญญา จริงๆ ไม่มีคุณสุกัญญา แล้วมีอะไร

    ผู้ฟัง ก็มีเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเจตสิกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็มีจิต มีเจตสิก มีรูปที่เกิดเพราะปัจจัย จะบอกว่าให้มีแต่รูปธรรมรูปธาตุไม่ให้มีนามธาตุได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ให้บอกว่ามีแต่นามธาตุ ให้มีแต่จิตไม่มีเจตสิกได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ให้บอกว่ามีแต่เจตสิกไม่มีจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นธรรม หรือเป็นธาตุทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่มีคุณสุกัญญาแน่นอน ไม่มีใครเลยทั้งสิ้นแต่มีธรรม แน่นอนซึ่งเป็นนามธรรม และรูปธรรมที่ต่างกัน เพราะฉะนั้น เวลาที่รูปปรากฏก็ต้องมีธาตุที่กำลังรู้รูปที่ปรากฏรูปนั้นจึงปรากฏ ซึ่งขณะนี้รูปก็เกิดตามสมุฏฐานแล้วก็เกิดดับไปไม่กระทบกับจักขุปสาทของใคร จิตเห็นไม่เกิดรูปนั้นก็เกิดดับ ใครจะไปเปลี่ยนแปลงการเกิดดับของรูปไม่ได้ แต่ที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพราะว่าจักขุปสาทที่เกิดแล้วยังไม่ดับ กระทบกับสิ่งที่ปรากฏ ฟังอย่างนี้เหมือนกับเข้าใจเลยว่าไม่มีใครเลยทั้งสิ้น แต่ประเดี๋ยวก็จะมีคุณสุกัญญา นี่แสดงให้เห็นว่าเราฟัง แต่เรายังไม่ได้เข้าถึงปัตติ ปฏิ ลักษณะเฉพาะของธรรมแต่ละอย่างซึ่งเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อธรรมเหล่านั้นรวมกัน และไม่เคยรู้เลยก็เข้าใจยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อนิมิตเป็นอย่างนี้ก็จำไว้แล้วยังมีชื่อให้เรียกให้รู้ด้วยแม้ว่าจำนิมิตนั้น ในความจำเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งไม่ต้องเรียกชื่อแต่จะเรียกว่าคุณสุกัญญา และก็เวลาที่นิมิตหนึ่งปรากฏ และก็จำนิมิตอื่นที่ปรากฏแล้วยังมีชื่อซึ่งรู้ความต่างของนิมิตว่าคุณอรวรรณ แต่ว่าความจริงก็คือนิมิตของธรรมซึ่งเกิดดับ และปรากฏให้เห็นได้ นี่คือความจริงที่จะกล่าวได้ว่าไม่มีใคร ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่ธรรมปัญญาต้องเข้าใจธรรมตามลำดับขั้น จนกระทั่งละคลายการที่เคยไม่รู้ความจริงแม้แต่คำว่านิมิต บัญัติ ปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป ก็เป็นแต่เพียงชื่อในความมืดสนิทเพราะไม่ได้ปรากฏลักษณะที่เป็นธรรม แม้เกิดก็ดับไปแล้วอย่างเร็วมาก ถ้าไม่ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น จนสามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏแต่ละลักษณะ จึงจะคลายการที่เคยเป็นคุณอรวรรณ เคยเป็นคุณบุษกร หรือว่าเคยเป็นโต๊ะเคยเป็นเก้าอี้ เคยเป็นไมโครโฟน และถึงความจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แม้แต่เพียงคำเดียวที่จะไถ่ถอนการที่เคยเป็นนิมิตต่างๆ บุคคลต่างๆ อย่างมั่นคง ก็คือต้องมีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ภาษาไทยเราใช้คำว่า "เข้าใจ" พอใช้คำว่า "ปัญญา" เราก็ไปคิดถึงปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของผู้ที่รู้มากมาย มีชื่อของปัญญามากมายตามลักษณะของปัญญามากมาย แต่ก็คือความเห็นถูกต้อง จะมาก จะน้อย จะลึก จะตื้น จะกว้างขวาง จะลึกซึ้ง หรือไม่ลึกซึ้งอย่างไรก็เป็นปัญญาแต่ละนิดแต่ละหน่อยตามความเป็นจริงว่าถึงระดับไหนที่สามารถที่จะเข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ปรมัตธรรมนี่คือสิ่งที่มีจริง และนิมิตนี่คือสิ่งที่มีจริง หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ พูดตาม ทบทวนตาม หรือว่ารู้จริงๆ ว่ามีจริงๆ

    ผู้ฟัง ก็มีจริง

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงไม่เรียกเลยก็มีจริงๆ

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แต่เรียกเพื่อให้เข้าใจความหมายว่าหมายความถึงสภาพที่มีลักษณะนั้นไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง แต่ว่านิมิตไม่ใช่สิ่งที่มีจริงใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ นิมิตเป็นการเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งเกิดดับเร็วมากแล้วหายไปไหนถ้าไม่ปรากฏ ก็ต้องปรากฏการสืบต่อ เพราะฉะนั้น ก็ปรากฏรูปร่างสัณฐานที่เป็นนิมิต ถ. แล้วก็หมดไป

    ท่านอาจารย์ หมดไหม

    ผู้ฟัง หมด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่หมดก็มีอย่างเดียว

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ นิมิตของเวทนามีนิมิต อนุพยัญชนะไหม

    ท่านอาจารย์ โกรธ ริษยา สุขเหมือนกันทุกขณะ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร นิมิตมีแล้ว ความไม่เหมือนนั่นแหละคืออนุพยัญชนะ

    ผู้ฟัง อย่างนั้นสภาพธรรมถึงแม้จะเป็นนิมิตก็ต้องมีอนุพยัญชนะด้วย

    ท่านอาจารย์ โดยมากพอฟังแล้วไม่เข้าใจสิ่งที่ฟัง นึกถึงอย่างอื่นตลอดเลย พูดอย่างนี้ก็นึกถึงอย่างโน้น อย่างโน้นๆ ๆ ไปอีกมากมายเลยแต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจแม้แต่คำว่า "นิมิต อนุพยัญชนะ" แล้วเดี๋ยวนี้เป็นอะไรเราไม่รู้แต่เราไปสนใจเรื่องราวมากมาย และเราจะรู้ได้ไหม แม้แต่คำถามที่ว่าค้นหาตัวตน จะพบตัวตนไหม

    ผู้ฟัง ถ้าศึกษาธรรมยิ่งศึกษาก็ยิ่งรู้ว่ามีความละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้เข้าใจที่ละเอียดจริงๆ ก็ไม่มีปัญญาที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมได้เข้าใจอย่างนั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร เดี๋ยวนี้ถึง หรือยัง

    ผู้ฟัง เข้าไม่ถึงจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ ฟังเข้าใจ ไม่ใช่ตัวเราจะเข้าถึง ไม่ใช่คุณสุกัญญาจะรู้ แต่ฟังแล้วเข้าใจก็ละความไม่รู้ความไม่เข้าใจ และความเป็นเราออก จนกระทั่งเป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ แม้แต่ลักษณะของความจำก็มีความเป็นความจำที่แตกต่างหลากหลาย และก็ละเอียดมาก ไม่ใช่สักแต่ว่าจำอย่างเดียว

    ท่านอาจารย์ และตอนนี้สามารถที่จะบอกความหลากหลาย ความละเอียดของความจำไหม

    ผู้ฟัง ก็บอกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บอกไม่ได้เพราะปัญญายังไม่สามารถจะบอกได้ ไม่ใช่คุณสุกัญญาไม่สามารถ

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ อย่างนั้น จริงๆ ก็ไม่ใช่กบกระโดดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องรู้ตามขั้นตอน

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจเราจะได้รู่ว่าสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมีความลึกซึ้ง และจะเข้าใจจริงๆ ละเอียดขึ้นก็ต่อเมื่อเข้าใจสิ่งนั้นยิ่งขึ้น ไม่ใช่ข้ามไปเข้าใจสิ่งอื่น ทิ้งการที่เข้าใจสิ่งนั้นเพียงเล็กน้อยไว้ ไม่เข้าใจให้ละเอียดขึ้น

    ผู้ฟัง ถ้าเรารู้แต่ชื่อ รู้แต่ชื่อนี่ โลภะมีกี่ดวงมีอะไรเท่าไหร่ เมื่อโลภะความต้องการความติดข้องเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันแต่เราไม่รู้เลย จะมีประโยชน์อะไรกับการที่รู้ชื่อรู้จำได้อะไรต่างๆ เมื่อโลภะความต้องการติดข้องเกิดขึ้นก็ไม่สังเกต ไม่รู้เลย ทีพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงจุดประสงค์พื่อให้รู้ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏที่กำลังเกิดขึ้น หรือจุดประสงค์ให้รู้ชื่อต่างๆ จำได้รู้มากรู้อะไรต่างๆ ที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ขอท่านอาจารย์ช่วยให้ความเข้าใจด้วย

    ท่านอาจารย์ คุณนิรันดร์คงตอบได้ ว่ารู้อะไรดีกว่ากัน

    ผู้ฟัง แต่ในฐานะผู้ฟังก็พอเข้าใจที่ท่านอาจารย์ และท่านวิทยากรได้ให้ความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็มีปัญญาที่จะเข้าใจถูกว่าการรู้อะไรดีกว่ากัน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567