พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 627


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๒๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่มีมหาภูตรูปเกิดแล้วจะปราศจากรูปอีก ๔ รูปซึ่งเกิดกับมหาภูตรูปพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีมหาภูตรูป ๔ รูปนี้ก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อมีมหาภูตรูป ๔ นี้แล้ว ก็มีรูปอีก ๔ รูปซึ่งอาศัยมหาภูตรูปเกิด ดับพร้อมกันเลยเป็น ๑ กลาป กลุ่มหนึ่งมีรูปที่แยกไม่ได้เลย ๘ รูป เรียกว่าอวินิพโภครูป ๘ เมื่อมีมหาภูตรูป ๔ แล้ว ต่อจากนั้นมีรูปอะไรอีก ๔ ที่เกิดกับมหาภูตรูปเป็น ๑ กลาป ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง

    ผู้ฟัง สี กลิ่น รส โอชา

    ท่านอาจารย์ ทำไมเรียกว่าสี ไม่เรียกว่าสีก็ได้ แต่หมายความถึงรูปนั้นสามารถกระทบจักขุปสาทรูป ใน ๘ รูปมีรูปเดียว หรือว่านอกจากนี้ไม่ว่ารูปใดๆ หรือนามธรรมใดๆ ทั้งสิ้นก็มีรูปนี้เพียงรูปเดียวที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น เวลานี้มีสิ่งที่ได้กระทบกับจักขุปสาทรูป แล้วมีจิตเห็นเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่เราใช้คำว่าสี แต่ไม่ต้องเรียกเลยเป็นธาตุชนิดหนึ่ง มีจริงสามารถปรากฏเมื่อกระทบจักขุปสาท แล้วจิตเห็นเกิดขึ้นเมื่อไร จึงรู้ว่าธาตุนี้มี สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นนี่มี เพราะฉะนั้น ตอนนี้ตอบได้แล้วใช่ไหม ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นรูป ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบจักขุปสาท ในบรรดารูปทั้งหมด ไม่มีรูปใดที่จะปรากฏเหมือนอย่างนี้ที่กำลังปรากฏให้เห็น และนามธรรมก็ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดจะที่ไหนก็ตาม มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวเป็นรูปรูปเดียวที่สามารถปรากฏให้เห็น ขณะนี้กำลังปรากฏ เป็นธาตุชนิดหนึ่งมีจริงๆ และก็กำลังปรากฏด้วย แต่คำถามที่ว่าแล้วรูปนี้อยู่ที่ไหน ตอบได้แล้วใช่ไหม เมื่อกี้พูดคำว่าสี หรือเปล่า หมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น หรือเปล่า สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นมีจริงๆ ไม่เรียกสีได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เรียกรูปารมณ์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เรียกวัณโณ ไม่เรียกนิภา ไม่เรียกอะไรเลย เพราะมีลักษณะที่กำลังปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ ในกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดจะมีรูปรวมกัน ๘ รูป ที่เป็นใหญ่เป็นประธานกี่รูป

    ผู้ฟัง ๔ รูปคือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

    ท่านอาจารย์ แล้วอีก ๔ รูปที่มีอยู่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน

    ผู้ฟัง สี กลิ่น รส โอชา

    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้พูดว่าสี สีอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีมหาภูตรูป มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชาอย่างหนึ่งอย่างใดปรากฏ จะปรากฏพร้อมกันทั้งหมดไม่ได้ แม้กลิ่นที่รวมอยู่ในรูป ๘ รูป จะปรากฏก็ต่อเมื่อกระทบฆานปสาทรูป เป็นรูปที่มีลักษณะที่สามารถกระทบเฉพาะกลิ่น กระทบอื่นไม่ได้เลย เมื่อไหร่ที่มีกลิ่นปรากฏแล้วก็กระทบฆานปสาท จิตกำลังได้กลิ่น กลิ่นอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง กลิ่นปรากฏแก่จิต

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะว่าจิตเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่ง สิ่งใดขณะที่กลิ่นมีปรากฏต้องมีสภาพที่กำลังรู้กลิ่น แต่กลิ่นไม่ใช่จิตรู้ ไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น สภาพรู้ขณะนั้นกำลังรู้กลิ่น แล้วกลิ่นนั้นอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง อยู่ในมหาภูตรูป

    ท่านอาจารย์ กลิ่นไม่ใช่มหาภูตรูป แต่ที่ใดที่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ต้องมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา จะแยกกลิ่นออกจากมหาภูตรูปได้ไหม อวินิพโภครูป จะแยกสีออกจากมหาภูตรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แยกรสออกจากมหาภูตรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แยกโอชาออกจากมหาภูตรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ โอชาที่นี่ไม่ได้หมายความว่าอร่อย แต่หมายความว่ารูปที่สามารถทำให้รูปอื่นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เป็นเหตุที่เราต้องบริโภคอาหาร แต่เราสามารถที่จะลิ้มรสได้แต่ไม่สามารถที่จะรู้โอชาได้ แต่ในมหาภูตรูปขณะที่มหาภูตรูปเกิดต้องมีทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งโอชา ขณะที่กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ สีอะไร

    ผู้ฟัง หลายสี

    ท่านอาจารย์ หลายสี ทั้งหมดปรากฏให้เห็นได้ ถ้าพูดว่าสีต้องหมายความว่าปรากฏให้เห็นทางตา นึกเองได้ไหมให้เป็นสีเขียว สีฟ้า

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทราบแล้วใช่ไหม ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าใช้คำว่าสีดูเหมือนเข้าใจ แต่ถ้าพูดถึงว่าเป็นธรรม เป็นธาตุที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่คือลึกลงไปถึงความจริงว่า สิ่งที่เราใช้คำต่างๆ เราไม่ได้รู้ เราไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นๆ เลยพูดได้ใช่ไหม ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สีกลิ่น รส โอชาเป็นรูป ๘ รูป ที่แยกกันไม่ได้เลย แต่ว่าเวลาที่พูดถึงคำว่าสี คิดอย่างไร ต้องหมายความถึงสิ่งที่กระทบจักขุปสาท ใช้คำว่าวรรณะ รูปารมณ์ นิภาแสงสว่าง หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องเป็นสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท เพราะฉะนั้น ในขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะสามารถกระทบกับจักขุปสาท แล้วต้องมีจิตเห็นเกิดด้วย และเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ จะเรียกอะไร สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น

    ผู้ฟัง เรียกอะไรก็ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเรียกอะไร

    ผู้ฟัง เรียกว่าสี

    ท่านอาจารย์ เรียกว่าสี เรียกว่านิภาได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ รู้แล้วว่า ตรงนี้สีอยู่ที่ไหน หรือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นจริงๆ อยู่ที่ไหน สภาพธรรมต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ แม้มีจริง ธรรมที่เกิด มี แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ มีอะไรบ้าง ในชีวิตประจำวัน

    ผู้ฟัง เย็น ร้อน อ่อนแข็ง สี เสียง กลิ่น รส

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรเป็นรูปธรรมที่ปรากฏเพราะกระทบกับปสาท

    ผู้ฟัง ธาตุที่สามารถกระทบกับปสาท นั้นๆ ได้

    ท่านอาจารย์ มีอะไรบ้าง

    ผู้ฟัง มีสี กลิ่น รส เสียง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง

    ท่านอาจารย์ พูดถึง ๘ รูปมีรูปอะไรที่สามารถกระทบปสาทได้

    ผู้ฟัง มีธาตุดิน

    ท่านอาจารย์ กระทบปสาทอะไร

    ผู้ฟัง กระทบกายปสาท

    ท่านอาจารย์ กระทบกายปสาท กระทบอะไรอีก ธาตุลม กระทบอะไร

    ผู้ฟัง กายปสาท

    ท่านอาจารย์ แล้วธาตุไฟ กระทบอะไร

    ผู้ฟัง กายปสาท

    ท่านอาจารย์ แล้วมีอะไรอีกที่สามารถจะปรากฏในชีวิตประจำวัน ที่เป็นรูปธรรม

    ผู้ฟัง มีสีกระทบกับตา

    ท่านอาจารย์ แล้วสีเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง เป็นรูป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สีเป็นจิต หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นธาตุรู้ อย่าลืมถ้าใช้คำว่าธาตุรู้ หมายความว่าไม่มีรูปใดๆ เจือเลยทั้งสิ้น จะมีแข็งไปอยู่กับจิตเกิดพร้อมจิตไม่ได้ ถ้าเป็นธาตุรู้หมายความว่าเป็นธรรมซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่รู้ คือกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นรูปร่างอย่างไร กำลังได้ยิน เสียงมีปรากฏให้รู้ว่าเสียงเป็นอย่างไร แต่ธาตุได้ยินมีรูปร่างที่จะปรากฏให้รู้ไหม เพราะฉะนั้น ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น นามธาตุเป็นนามธาตุ มีจริงๆ แล้วก็ไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น ถ้ามีรูปเจือปน หรือเกิดร่วมกัน อาศัยกัน และกันเกิดไม่ใช่นามธรรม อย่างธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็มีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชาอาศัยเกิดร่วมกันดับพร้อมกันทั้งหมดเป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม นามธรรมก็มีธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ คือกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ แล้วก็มีนามธรรมที่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกันคือเจตสิกเป็นธาตุที่ต้องเกิดพร้อมจิต และก็ดับพร้อมจิต และก็รู้อารมณ์เดียวกับจิต เจตสิกจะไปเกิดที่อื่นไม่ได้เลย เจตสิกจะไปเกิดกับรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จิตจะไปเกิดกับรูปได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วจิตเกิดกับเจตสิกได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วเจตสิกเกิดกับจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เจตสิกเกิดกับเสียงได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เจตสิกเกิดกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จิตเกิดกับสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แต่จิตรู้ว่ากำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏขณะอย่างนี้ ให้เห็นได้ว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏ เรียกอะไร ให้เห็นนี่เรียกอะไร

    ผู้ฟัง เรียกว่าสี

    ท่านอาจารย์ เรียกว่าสี สีเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง สีเกิดที่มหาภูตรูป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาอยูที่ไหน

    ผู้ฟัง อยู่ที่มหาภูตรูป

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เหนื่อยไหม แต่ว่าเข้าใจแล้ว ลืมไหม ไม่ใช่ให้จำ

    ผู้ฟัง ถ้านานๆ ก็ลืม

    ท่านอาจารย์ ทำไมลืม มหาภูตรูปเป็นรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกครั้งที่มหาภูตรูป ๔ เกิดต้องมีรูปอีก ๔ รูปเกิดร่วมกัน และก็ดับพร้อมกัน ทั้งหมดก็ไม่รู้อะไรเพราะเป็นธาตุที่เป็นรูปธรรม แล้วจะลืมอะไร ถ้าจะใช้ภาษาบาลีก็ อวินิพโภครูป รูปที่ไม่แยกจากกันเลย ๘ รูป

    ผู้ฟัง ขอถามต่อ เป็นไปได้ หรือไม่ที่ผัสสเจตสิกจะไม่ปรากฏต่อพระอริยสาวกบางรูป

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ปรากฏ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าวันหนึ่งวันใดจะเป็นพระอริยสาวก จะปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้เลยว่าจะปรากฏ หรือไม่ปรากฏ แล้วจะไปคิดทำไม และใครที่รู้ และ ใครไม่รู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง ท่านพระสารีบุตรรู้อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเปล่า ท่านพระสารีบุตรเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา พระอริยสาวกรูปอื่นจะรู้อย่างท่านพระสารีบุตรรู้ไหม นี่ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าใครจะรู้อะไรต้องตามเหตุตามปัจจัย แล้วเราไปคิดอะไรอย่างนั้น ในเมื่อชีวิตของพระโพธิสัตว์ ท่านศึกษาอะไร ก่อนเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นวิศวกรก็มี เป็นสถาปนิกก็มี ต่างคนก็ต่างเรียนสิ่งที่สนใจ แต่พระโพธิสัตว์ยังไม่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมจนถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ศึกษาอะไร สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอยู่ที่ไหน จะกล่าวได้ไหมถึงมหาภูตรูป ๔ เกิดเมื่อไร ต้องมีรูปอีก ๔ รูปซึ่งเกิดกับมหาภูตรูป เป็นกลุ่ม หรือกลาปที่เล็กที่สุดที่แยกอีกไม่ได้เลย ๔ รูป เพราะฉะนั้น จะมีแต่เฉพาะมหาภูตรูป ๔ ไม่ได้ หรือว่าจะมีแต่สิ่งที่กระทบตาโดยไม่มีมหาภูตรูป ก็ไม่ได้ จะมีเสียง จะมีกลิ่น จะมีรส จะมีโอชา โดยไม่มีมหาภูตรูป ๔ ก็ไม่ได้ แล้วนี่ก็คือรูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน แต่ใครจะรู้อย่างพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เพราะว่าถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้วิชาการใดๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ให้คิดถึงว่าขณะนี้เราศึกษาธรรม ก็คือศึกษาสิ่งที่พระโพธิสัตว์ได้ศึกษา ค่อยๆ เข้าใจจนกว่าจะมีบารมีถึงพร้อมในการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสิ่งที่มีจริงให้คนอื่นศึกษา ถ้ายังไม่ได้ฟังพระธรรมเลยจะสนใจ จะรู้ไหมว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตแต่ละขณะไม่มีทางที่จะรู้ว่าอะไรจริง เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นประโยชน์ และคุณค่าถ้าศึกษาธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร ธรรมอยู่ที่ไหน อย่างขณะนี้ ศึกษาธรรม มีธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ฟังจากผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงความจริงทั้งปวงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ นั่นจึงชื่อว่าศึกษาธรรม แต่ถ้าตัวหนังสือทั้งหมด และก็ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจว่าธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมคืออะไร และศึกษาอะไร เพราะว่าเป็นแต่เพียงชื่อ และเป็นแต่เพียงเรื่องราว เพราะฉะนั้น จะเห็นอัธยาศัย ทำไมหลายคนไม่ฟังธรรม ไม่ศึกษาธรรม ไม่สนใจธรรม แต่คนที่เคยสนใจมีศรัทธาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ได้ยินได้ฟังว่ามีการศึกษาธรรม ก็ศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าศึกษาคืออะไร มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น ศึกษาคือ เริ่มที่จะมีความเข้าใจถูกขั้นการฟัง เพราะไม่ได้เป็นผู้ที่ตรัสรู้ด้วยตัวเอง ก็ต้องฟังจากพระธรรมที่ทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ศึกษาธรรมให้รู้ว่ากำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง กำลังค่อยๆ เข้าใจ แต่ความเข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจแล้วก็หมดไป ต้องฟังบ่อยๆ เพราะว่าเรามักจะคิดถึงสิ่งที่เราสนใจ เช่นวันนี้คิดถึงเรื่องอะไรก็ต้องป็นเรื่องที่เราสนใจ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีศรัทธาเพิ่มขึ้น ได้ฟังเพิ่มขึ้น จะไม่รู้เลยถึงสภาพความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมว่า แม้ไม่ได้คาดฝันเลย แต่ว่าความเข้าใจจากการที่ได้ฟังแล้ว สามารถที่จะเกิดเข้าใจบางขณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่า ต่างกับขณะที่ไม่ได้สนใจใส่ใจในสิ่งนั้นเลย เช่นขณะนี้มีแข็ง ใครสนใจ ยัง ตอบตรงกับท่านผู้หนึ่งซึ่งท่านก็ตอบชัดเจนว่ายัง แต่แข็งเป็นธรรม หรือเปล่า มีจริง หรือเปล่า บังคับได้ หรือเปล่า เป็นเรา หรือเปล่า ทั้งหมดนี่คือการศึกษา จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าแต่ละอย่างก็เป็นธรรมที่เกิดซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้ เฉพาะแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง จนกระทั่งไม่มีความเป็นเราเพราะว่าเป็นธรรม แต่ถ้าไม่รู้ว่ากำลังเป็นธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเป็นเราอย่างที่เคยไม่รู้ และเคยยึดถือว่าเป็นเรา ตอนนี้กลิ่นอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง อยู่ในมหาภูตรูป ๔

    ท่านอาจารย์ อยู่ที่มหาภูตรูปเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รสอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เวลาหวานปรากฏ แข็งไหม

    ผู้ฟัง ไม่แข็ง

    ท่านอาจารย์ แข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ขณะที่หวานปรากฏแข็งไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ขณะที่หวานปรากฏ แข็งไม่ได้ แล้วเวลาเผ็ดล่ะ

    ผู้ฟัง ก็รู้สึกร้อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นก็เห็นความรวดเร็วของจิต รสที่เราใช้คำว่าเผ็ด แต่เวลากระทบกายเป็นร้อน ไม่ใช่เป็นรสเผ็ด เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องเข้าใจตรง และรู้ว่าขณะที่สภาพธรรมปรากฏเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ต่อเมื่อสภาพธรรมปรากฏกับสติสัมปชัญญะ

    ผู้ฟัง ขอบคุณครับ

    ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่าถ้าท่านมีปัญหา แล้วท่านถามปัญหา แล้วท่านอาจารย์ซักไซร้ จะทำให้เกิดปัญญาของตัวเอง เชิญคุณบุษกร

    ผู้ฟัง ขอต่อเรื่องรูปด้วย คำว่ารูป รูป ๑ รูปหมายถึงว่า ๑ กลาปใช่ไหม มีความสงสัยว่า รูป ๒๘ ก็จะเป็นมหาภูตรูป ๔ แล้วจะเข้าใจผิด หรือเปล่าว่าขณะที่รูปที่เป็นจักขุปสาทรูป เป็นรูปที่มองเห็นไม่ได้ ก็เข้าใจว่าเป็นเพียง ๑ กลาปที่เป็นจักขุปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ กลาปคืออะไร

    ผู้ฟัง คืออวินิพโภครูป ๘

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ใช่อวินิพโภครูป ๘ มีรูปมากขึ้นเป็นกลาป หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นกลาปเหมือนกันแต่ต้องมากๆ แล้วก็มาประชุมรวมกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ๑ กลาปหมายความถึงรูปที่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกันในขณะนั้น แยกกันไม่ได้

    ผู้ฟัง แล้วคำว่าจักขุปสาทรูป ๑ รูปก็มีเพียงกลาปเดียว คือสิ่งที่สามารถ

    ท่านอาจารย์ อะไร เดียวคืออะไรบ้าง

    ผู้ฟัง คือมหาภูตรูป ๔ แล้วก็มี สี กลิ่น รส โอชา

    ท่านอาจารย์

    ผู้ฟัง หมายถึงว่า ๘ รูปนี้แยกจากกันไม่ได้ แล้วตรงนั้นคำว่าจักขุปสาทรูป ๑ รูปเป็น ๙

    ท่านอาจารย์ เป็น ๑๐ หายไป ๑

    ผู้ฟัง ตรงนั้นไม่ทราบจริงๆ

    ท่านอาจารย์ จักขุปสาทรูปเกิดจากอะไร

    ผู้ฟัง เกิดจากกรรม

    ท่านอาจารย์ ทุกกลุ่มของรูปที่เกิดจากรรม จะมีชีวิตินทริยรูปอีก ๑ รูปในกลาปนั้น แสดงว่ารูปที่เกิดจากกรรมต่างจากรูปอื่นๆ เพราะเป็นรูปที่มีชีวิต ทุกกลุ่ม ทุกกลาปที่เป็นสภาวรูป มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นรูปที่เกิดจากกรรม หรือไม่ได้เกิดจากรรมก็ตาม แต่ รูปที่เกิดแล้วจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แต่ความต่างคือ สำหรับรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน จะมีชีวิตินทริยรูปอยู่ด้วย แสดงความต่างว่ารูปนี้เป็นรูปที่ทรงชีวิต มีชีวิตเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐาน ถ้าเราดูรูปปั้น หุ่นขี้ผึ้ง ผ่านไปเหมือนคนเลย จะมองตาก็รู้สึกเหมือนมีชีวิต แต่ไม่มีชีวิตินทริยรูป นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดจากจิต รูปที่เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากอาหารไม่มีชีวิตินทริยรูป แต่รูปที่เกิดจากกรรมจะมีชีวิตินทริยรูปเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง และทุกกลุ่ม ทุกกลาปของรูป อายุรูปที่เป็นสภาวรูปเท่ากันหมดไม่ว่าที่ไหน บนสวรรค์ไม่ว่ารูปนั้นจะละเอียดปราณีตสักเท่าไร พรหมยิ่งละเอียดปราณีตกว่าสวรรค์ แต่แม้กระนั้นรูปก็มีชีวิตเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้น เวลาที่เราพูดถึงรูปของเทวดา หรือว่ารูปของพรหม และก็กล่าวว่าละเอียดปราณีตมาก ถึงอย่างนั้นก็มีอายุเท่ากัน เพราะเหตุว่ารูปทุกรูปจะเห็นความละเอียดได้ว่า ที่เราคิดว่าเรากำลังกระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใด เรายังไม่ได้รู้เลยว่ามีรูปอื่นรวมอยู่ในที่นั้นที่ละเอียด ทั้งหมดเป็นความละเอียด

    ผู้ฟัง ฟังจาก mp๓ ท่านอาจารย์กล่าวว่ามหาภูตรูป ๔ รูปแล้ว ที่เหลืออีก ๒๔ รูป ตรงนี้คือในเมื่อมหาภูตรูป ๔ แล้ว คำว่าอีก ๒๔ ก็คือหมายถึงมีปสาทรูป ๕

    ท่านอาจารย์ เป็นเท่าไรแล้ว เมื่อกี้นี้มีรูป ๘

    ผู้ฟัง แล้วก็ยังมีชีวิตินทริยรูปอีก ๑ ลำดับไม่ถูกว่าจะครบได้อย่างไร ๒๘ รูป

    ท่านอาจารย์ วันนี้ ๑ รูปเพิ่มขึ้น อีก ๒๘ วันครบ จะได้ไม่ลืม มากๆ ก็ไม่ครบลืมโน่นลืมนี่ ทีละวันคงจะไม่ลืม วันนี้เท่าไรแล้ว

    ผู้ฟัง วันนี้ได้ ๑๐ แล้ว

    ท่านอาจารย์ ได้ ๑๐ แล้ว เหลืออีกเท่าไร

    ผู้ฟัง ๑๐ ก็ต้องเหลืออีก ๑๘

    ท่านอาจารย์ วันนี้จะเอาเท่าไร

    ผู้ฟัง วันนี้ได้แล้ว ๑๐

    ท่านอาจารย์ แล้วรูปทุกรูปมีลักษณะ ๔ อุปจยเกิด สันตติสืบต่อ ชรตาใกล้ที่จะเสื่อม อนิจจตาดับ ๔ รูป รวมเป็นเท่าไร

    ผู้ฟัง รวมเป็น ๑๔

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ จำให้ได้แล้วก็ไม่ลืม จะเอาเท่าไร จะเอา ๒๘ ลืมแน่

    ผู้ฟัง ถ้าจะไล่ทั้งหมดเดี๋ยวก็ลืม แต่ถ้าแน่ๆ ก็คือไม่ลืม ๑๐ รูปนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วอีก ๔ รูป แล้วอีก ๔ รูปก็จะไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ รวมเป็นเท่าไร

    ผู้ฟัง รวมเป็น ๑๔

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อกี้มีจักขุปสาทรูปเท่านั้นใช่ไหม

    ผู้ฟัง มีจักขุปสาทรูปก็ต้องมีโสตปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ ก็ได้อีกแล้วตั้งเท่าไร

    ผู้ฟัง ก็คิดว่าไม่ลืม

    ท่านอาจารย์ และก็มีอิตถีภาวรูป ปุริสภาวรูป อีก ๒

    ผู้ฟัง คือหมายถึงหญิง หรือชาย

    ท่านอาจารย์ เอาแค่นี้ก่อนได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้ ขอถามเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาก็หมายถึงว่ามีสี ที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทรูปได้ ตรงนั้นหมายถึงสิ่งที่ปรากฏได้ทางตาเท่านั้น อันนี้เข้าใจถูกต้องใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อันนี้จำ

    ผู้ฟัง แล้วถ้าเป็นเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567