พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 646


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๔๖

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๓


    ท่านอาจารย์ คนอื่นช่วยได้ไหม นอกตนเป็นที่พึ่งของตน

    ผู้ฟัง คนอื่นช่วยไม่ได้ ไม่มีทางได้เลย

    ผู้ฟัง ขอเรียนถาม ในพระบาลีบอกว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" ที่นี้บางแห่งสอนว่าไม่เป็นอนัตตา เป็นอัตตา

    ท่านอาจารย์ ใครจะพูดว่าอย่างไรก็คือคิดเอง

    ผู้ฟัง เพราะว่าไตรลักษณ์ไม่มีอัตตา

    ท่านอาจารย์ อัตตาก็ต้องเที่ยง และเป็นสุข อนัตตาคือไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อใคร พิจารณาว่าเป็นความจริง หรือเปล่า อนิจจังหมายความถึงสภาพที่เกิดแล้วดับ มีอะไรบ้างที่ไม่ดับ เมื่อเป็นสภาพที่เกิดแล้วก็ดับไป เป็นสิ่งที่ควรพอใจไหม อนิจจัง ทุกขัง ทุกขังที่นี่หมายถึงไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดี มีใครยินดีในทุกข์บ้าง ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้น ทุกข์ที่นี่หมายถึงสภาพที่เกิดแล้วดับ ใครจะยินดีในสภาพที่เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยงบ้าง แค่ชั่วคราวที่ปรากฏแล้วก็ดับ ยินดีไหม ถ้ายินดีติดข้องจะไปหาที่ไหนมาอีกที่จะยินดีในเมื่อดับแล้ว หมดแล้ว

    ผู้ฟัง แล้วก็เป็นทุกข์ในอริสัจจ์ด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อริยสัจจะหมายความถึงความจริงที่ประเสริฐที่ทำให้ผู้รู้เป็นผู้ประเสริฐคือพ้นจากกิเลส ดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคล

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่าถ้าขณะที่ให้ทานก็ไม่ได้หวังผล ก็ขณะนี้เราได้ฟังพระธรรมก็เพื่อให้รู้สภาพธรรมตามเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็เป็นเหตุปัจจัยว่าขณะที่ให้ทานกุศลจะประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ จะเกิดก็อยู่ที่เหตุปัจจัยที่เราได้ฟังพระธรรมมาใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วหวังว่าต่อไปเวลาให้ทานแล้วจะประกอบด้วยปัญญา หรือเปล่า เห็นไหม เพราะฉะนั้น เรื่องของการฟังธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดเป็นเรื่องละทั้งหมด แม้แต่เรื่องของทาน แล้วโดยเฉพาะที่นี่ก็มีทานมัยมากมายระหว่างมิตรสหาย ระหว่างคนที่เพิ่งมาถึงก็มีการที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้หนังสือ ให้อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อละความเป็นตัวตน ต้องเข้าใจให้ถูกต้องเพื่อเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ว่าในขณะที่กำลังให้ทาน เพราะฉะนั้น ไม่เลือกว่าเมื่อไหร่ เราสามารถจะเข้าใจธรรมได้ เพราะเหตุว่าขณะใดที่เข้าใจธรรม ขณะนั้นก็เป็นปัญญาซึ่งสามารถที่จะเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า แม้ในขณะที่กำลังให้จิตขณะนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีการที่จะไปเดา หรือว่า ไปคิดโดยที่ว่าขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ส่วนใหญ่เวลาที่อ่านหนังสือธรรม หรือฟังธรรมพอได้ยินคำหนึ่งคำใดคิดเองมาก แล้วก็คิดเองแต่ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้แต่ข้อความที่ว่า ที่ว่าการให้ทานจะประกอบด้วยปัญญา เพราะเหตุว่าพระธรรมทั้งหมดทรงแสดงเพื่อละ แต่ส่วนใหญ่เวลาให้บางคนก็ไม่ได้หวังอะไรเลยทั้งสิ้นเพื่อประโยขน์ของผู้รับ แต่พอพูดถึงสวรรค์จะไปถึงสวรรค์ได้อย่างไรถ้าไม่มีกุศลทั้งหลาย บางคนก็เลยไปหวังว่าขณะที่กำลังให้ก็จะเป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้ตายแล้วก็ไปสู่สวรรค์ หรือว่าเกิดที่สวรรค์ ความหวังไม่หมดแต่ว่าจะต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ใช่เดาว่าขณะนั้นจิตมีปัญญา มีความหวัง หรือไม่มีความหวังแต่ฟังธรรมเพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมในขณะนั้นซึ่งเกิดแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น สำหรับเรื่องการให้ก็มีหลายลักษณะ ให้เพราะอย่างนั้น ให้เพราะอย่างนี้ ให้เพราะเป็นญาติได้ไหม ให้เพราะเป็นเพื่อนได้ไหม ให้เพราะชอบพอกันได้ไหม หรือว่าให้เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็มีการให้หลายๆ ลักษณะ ยังไม่ต้องพูดถึงปัญญาได้ไหม เห็นไหมเพราะว่าอยากจะเข้าใจขณะนั้นก็คือว่าเป็นสภาพที่หวังในสิ่งซึ่งไม่มีในขณะนั้น เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจธรรมเพื่อนำไปสู่การรู้แจ้งว่าไม่มีเราที่กำลังฟัง หรือขณะที่กำลังให้ทาน เพราะฉะนั้น จะต้องมาจากพื้นฐานคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่าเป็นธรรม มิฉะนั้นแล้วเวลาที่มีการให้ทานโดยที่ไม่มีความเข้าใจธรรมเลยก็จะให้ด้วยความหวังอย่างหนึ่ง หรือให้เพราะเป็นอัธยาศัยที่ได้สะสมมาเป็นทานนุปปนิสัยก็ทำให้เกิดการให้โดยไม่ได้หวังแต่จะมีการเข้าใจในขณะนั้นว่าเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมได้ไหม ถ้าไม่มีการฟังธรรมมาก่อนเลย ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น การฟังธรรมแล้วเข้าใจธรรมไม่เลือกกรณีว่าจะไปรู้ลักษณะของธรรม หรือจะมีความเห็นถูกในขณะไหน ไม่ว่าในขณะที่เป็นทานเป็นศีล หรือแม้แต่อกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ถ้ามีความเข้าใจในความเป็นอนัตตาก็คือว่าไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าจากขณะนี้เมื่อดับไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น เพราะว่าต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้ามีการฟังเพื่อละความไม่รู้ ละความเป็นเรา มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งสิ้นขณะนั้นก็สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ ไม่ใช่ไปหวังว่าตอนที่ให้ทานประกอบด้วยปัญญาเป็นอย่างไร อยากจะรู้เพื่อที่จะได้รู้ว่าขณะนั้นต่างกับขณะที่ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยอย่างไร แล้วก็ไปเข้าใจเรื่องปัญญาหลายๆ ขั้น ปัญญาขั้นรู้กรรม และผลของกรรมแม้แต่คนรับ แม้แต่คนให้ก็เป็นเรื่องของปัญญาทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นเรื่องความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้แล้วก็จะนำไปสู่การละ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการละ หรือการสละวัตถุแม้วัตถุ จะสละสิ่งอื่นที่ยากกว่านั้นได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น แม้การสละวัตถุก็เป็นไปด้วยความเข้าใจถูกว่าไม่ใช่เราในขณะที่ฟังแต่ยังไม่ใช่ขณะที่ให้ เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังเข้าใจแล้วขณะที่ให้จะมีความเข้าใจอะไร หรือไม่มีขณะนั้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่หวังว่าต่อไปนี้เราคงจะมีทานที่ประกอบด้วยปัญญา แต่มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกในความเป็นธรรมเพิ่มขึ้น เป็นการละความหวังที่เข้าใจว่าสภาพธรรมเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ต่อไป เวลาที่พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงให้เป็นผู้ที่ละแม้การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ก็จะทำให้ขณะที่ให้ทานก็จะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ไม่ใช่ในขณะนี้ที่ฟังเข้าใจแล้วก็ไปหวังว่าเวลาให้ก็จะเกิดปัญญา เป็นเรื่องละโดยตลอดจึงสามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ถ้าไม่มีการละแม้วัตถุจะละขณะเห็นขณะนี้ว่าไม่ใช่เราได้ไหม ยากกว่ากันมากนักเพราะนั่นเป็นแต่เพียงวัตถุภายนอก แต่นี่เป็นการยึดถือสภาพธรรมที่เกิดไม่ว่าจะภพไหนชาติไหนก็ไม่รู้ความจริงทำให้มีความเป็นเราอย่างเหนียวแน่นลึก เพราะฉะนั้น กว่าจะหมดสิ้นไปได้ก็ต้องอาศัยความเข้าใจที่เริ่มเข้าใจแล้วละ แม้แต่การเข้าใจเรื่องทานมีปัญญาเกิดร่วมด้วย หรือไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ละ ไม่ใช่จะไปหวังว่าแล้ววันหนึ่งเวลาที่ให้ทานก็จะมีปัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะว่าพระธรรมคำสอนทั้งหมดเป็นไปเพื่อการละ ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นที่สูงที่สุดคือหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์

    อ.กุลวิไล กราบท่านอาจารย์ ปัญญาอันสัมปยุตด้วยเจตนาในการให้ทาน ท่านกล่าวถึงทานมยปัญญาซึ่งก็เป็นปัญญาอันสัมปยุตด้วยเจตนาในทาน เกิดด้วยอาการ ๓ อย่างคือปุพพเจตนา มุญจนเจตนา อปรเจตนา

    ท่านอาจารย์ ก่อนให้เคยคิดที่จะให้ไหม มีใช่ไหม อย่างเวลาที่เห็นสุนัขผอมอดอาหาร คิดอย่างไรตอนก่อนจะให้ บางคนจะคิดบ่อยๆ ว่านี่ไปทำอะไรมา ชาติก่อนทำอะไรถึงได้เป็นสุนัขผอม และก็อดอาหารแล้วก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ก็ยังมีขณะนั้นก่อนที่จะให้ก็ยังมีการเข้าใจว่าสิ่งนี้ หรือคนนี้เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นคนยากไร้ หรือว่าเป็นอะไรก็ตามแต่ก่อนให้ก็เห็นว่าเขาต้องทำสิ่งที่ทำให้เขาเป็นอย่างนี้ และก็การที่ช่วยเหลือเขา ขณะที่กำลังให้ก็จิตใจก็อ่อนโยนใช่ไหม หวังจะให้เขาพ้นภาวะที่เขาลำบากในขณะนั้นเพราะรู้ว่าขณะนั้นเป็นผลของกรรม แต่กุศลวิบากก็ยังมีใช่ไหม ตอนที่เขาได้รับสิ่งที่เราให้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นถ้าเป็นคนที่เข้าใจในธรรมก็ไม่เพียงแต่จะไม่มีการคิดเรื่องอะไรเลยทั้งสิ้นแล้วก็ให้ไปแต่เพียงเห็นก็คิดแล้ว คนนี้เป็นโรคเรื้อน หรือเด็กที่ถูกตัดแขน ขาแล้วก็กำลังขอทาน ก็ต้องมีกรรมที่ได้ทำแล้วมิฉะนั้น ก็จะไม่อยู่ในสภาพอย่างนี้ เพราะฉะนั้น การให้ก็เป็นการที่จะทำให้เขาได้พ้นภาวะของความทุกข์ร้อน เป็นกุศลวิบากเล็กๆ น้อยๆ แต่ให้ไปแล้วก็ยังแล้วเมื่อไหร่เขาจะเข้าใจธรรมใช่ไหม คือช่วยเขาได้เพียงแค่ให้เขาหายหิว หายโรค ตามโรงพยาบาลต่างๆ ก็มีคนใจดีก็ไปทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนไข้ต่างๆ ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง อาหารบ้างของใช้บ้างอะไรบ้าง แต่คิดไหมแล้วเมื่อไหร่เขาจะมีโอกาสได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ความหวังดี หรือการกระทำที่ได้ผ่านไปแล้วสามารถที่จะประกอบด้วยปัญญา แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราเตรียมตัวแล้วต่อไปนี้เห็นใครเมื่อไหร่เราก็จะคิดอย่างนี้ แต่ความจริงเป็นการสะสม ขณะนี้แม้วันนี้ตั้งแต่ตื่นมาอกุศลทุกประเภท และกุศลทั้งหมดสะสมแล้วในจิต เพราะฉะนั้น มากมายสักแค่ไหน เพียงแค่เห็นวาระหนึ่งกุศล หรืออกุศลก็เกิดแล้ว แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นอกุศลด้วย เพราะฉะนั้น วันนี้เห็นกี่ครั้ง ได้ยินกี่ครั้ง คิดนึกกี่ครั้ง อกุศลกี่ครั้งก็คือประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น คนที่ทำกรรมแล้วก็ไม่เคยได้ฟังธรรม แล้วมีชีวิตที่ยากไร้ มีโอกาสที่จะได้รับความสุขเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ผ่านไปหมดไป แต่ก็ต้องมีอกุศลจิตอีกมาก เพราะฉะนั้น ถ้ามีทาง หรือมีโอกาสที่จะทำให้ใครได้เข้าใจธรรม ขณะนั้นก็เห็นประโยชน์ของธรรม และก็รู้ว่าถึงจะช่วยใครสักเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้ทำให้เขาค่อยๆ ละคลายอกุศล ตราบใดที่เขายังไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ธรรมทานจึงเลิศกว่าทานทั้งปวง เพราะเหตุว่าไม่ใช่เพียงแต่ให้ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวแต่ก็ยังทำให้เขามีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ขณะที่มีความคิดความเข้าใจอย่างนี้เป็นปัญญา หรือเปล่า ต้องไปกะเกณฑ์พยายามให้เป็น หรือเปล่า หรือเพราะสะสมมาไม่ว่าจะเห็นอะไรก็สามารถที่จะระลึกถึงกรรม และผลของกรรม หรือแม้แต่การกระทำที่เป็นประโยชน์กับบุคคลนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรมในขณะนั้นซึ่งไม่ใช่เราแม้ปัญญาความเห็นถูกก็ไม่ใช่เราเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แต่การสืบต่อของธรรมไม่ได้ปรากฏเลยว่าทีละหนึ่งอย่างที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเหมือนต่อกันจนกระทั่งเมื่อเช้านี้เป็นอย่างนี้ ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าสามารถจะเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วดับแยกขาดจากกันจริงๆ อันไหนจะเป็นเราแต่ละอันก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาความเห็นที่ถูกต้องก็สามารถที่จะทำให้ปัญญาไม่เลือกสถานที่ และกาล และไม่ว่าจะเป็นกุศลระดับใดก็สามารถที่จะมีปัญญาเกิดได้ ทั้งปุพพเจตนาในการให้ มุญจนเจตนาในขณะที่กำลังเป็นกุศล แม้หลังจากนั้นอปรเจตนาก็ยังสามารถที่จะเกิดกุศลได้

    อ.กุลวิไล เชิญคุณอรรณพ

    อ.อรรณพ การฟังธรรมทำให้เข้าใจธรรมละเอียดขึ้นแล้วก็ตรงขึ้นโดยเฉพาะปัญญาที่เป็นไปในการเข้าใจสภาพธรรมเป็นไปในการดับกิเลส ขณะนั้นปรุงแต่งให้มีความสงบเพิ่มขึ้น มีเมตตา มีกุศล ความสงบในชีวิตประจำวันแล้วก็ทานนั้นก็เอื้อเฟื้อต่อการอบรมเจริญปัญญาด้วย

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อตอนต้นว่าปัญญาไม่เลือกสถานที่ และก็แล้วแต่ว่ามีธรรมใดที่ให้ปัญญามีความเห็นถูกในขณะนั้น แม้แต่ขณะที่ให้ทาน หรือว่าภายหลังที่ให้ทานแล้ว กราบเรียนท่านอาจารย์เพิ่มเติม

    ท่านอาจารย์ แล้วก็รู้เองใช่ไหม นี่จะรู้ไปก่อน จะเข้าใจก่อนเสร็จแล้วก็ลืม เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมก็คือสามารถที่จะเข้าใจความจริง แล้วก็เวลาที่สภาพธรรมนั้นเกิดก็ต้องตรงกับที่ได้ฟังได้เข้าใจแล้ว แต่การที่เราฟังไปทั้งหมดแล้วไปคิดว่าปัญญาจะเกิดหลังจากที่ให้ทานไปแล้วเจตนาประกอบด้วยปัญญาไหม นี่คิดแล้วพอถึงเวลาจริงๆ เกิด หรือไม่เกิดก็ไม่รู้แล้วก็ลืมด้วย เฉพาะตอนที่กำลังอยากจะรู้ แต่ขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าสามารถที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตา และก็รู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างจริงๆ เพื่อการละความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความหวัง หรือความเป็นตัวตนจะแฝงอยู่ยากแสนยากที่จะรู้ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่สามารถที่จะรู้สมุทยสัจจะ เหตุของธรรมที่ทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปจะละความสงสัย เห็นไหม ตอนนี้กำลังสงสัย กำลังอยากรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เดี๋ยวนี้สภาพธรรมขณะนั้นมีโลภะเกิดร่วมด้วย หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้ววันไหนจะถึงการรู้ซึ่งจะเป็นการรู้สมุทยอริยสัจจะว่าขณะใดตราบใดที่ยังมีความหวัง ความต้องการขณะนั้นไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแน่นอน เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จริงๆ ว่ามรรคคือหนทางไม่ใช่เป็นการที่เราไปคิดเพราะว่าคิดขณะนั้นหวังก็ไม่รู้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยจนกว่าสามารถที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เป็นผู้ที่เข้าใจอริยสัจจะโดยหนทางที่ถูกต้องคือหนทางนี้เมื่อไม่หวังจึงรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ไม่ใช่โทสะด้วย และก็ไม่ใช่กุศลด้วย เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นอะไร หวังทั้งวันก็ไม่รู้ จะหลับตา จะลืมตา จะเอื้อมมือ จะเดิน จะถาม จะคิด จะพูดเรื่องอะไรก็ตามแต่ขณะนั้นก็มีโลภะ เพราะฉะนั้น หนทางที่จะดับโลภะเป็นสมุทเฉทได้ในขั้นแรกคือโลภะที่เกิดร่วมกับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่เรื่องไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องหยาบๆ ง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่ปัญญาจะต้องค่อยๆ เข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่เลือก เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ขณะนั้นไม่ได้หวังอย่างอื่นเลยว่าเราจะหมดกิเลสเมื่อไหร่ หรือเราจะมีเจตนาที่ประกอบด้วยปัญญาในขณะที่ให้ทาน ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกว่าเป็นธรรม และเวลาที่สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่คาดคะเนแต่สามารถที่จะเข้าใจความเป็นจริงในขณะนั้นได้ตามสมควรแก่กำลังของปัญญา เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่ใช่เพื่อว่าจะไปให้มีอปรเจตนา หรือว่าปุพพเจตนา หรือว่ามุญจนเจตนา ในแต่ละครั้งที่กุศลจิตเกิด หรือว่าได้กระทำกุศลกรรมเป็นเรื่องคิดไปหมดเลย และเป็นเรื่องที่ยังไม่ถึงยังไม่เกิด ปิดบังลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้

    อ.กุลวิไล ธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก ท่านอาจารย์เตือนพวกเราอยู่เสมอ เพราะเมื่อนั้นก็เป็นไปกับความหวัง ซึ่งขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตแต่การอบรมปัญญาเป็นไปเพื่อการละการขัดเกลากิเลสความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ จักร ๔ ก็คืออยู่ในประเทศที่เหมาะสมหมายถึงในที่ที่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วคบสัตบุรุษ แล้วประการที่ ๓ คือตั้งตนไว้ชอบ มีศรัทธา และจาคะ จักรที่ ๔ ได้กระทำบุญไว้แต่ปางก่อน ในจักรที่ ๔ เหมือนท่านเน้นระบุเฉพาะเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ การฟังพระธรรมเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อเข้าใจความจริง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเป็นปัญญา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่เป็นคำสอนนำไปสู่การที่จะมีความเห็นที่ถูกต้องเพื่อละความเห็นผิด เพื่อละอกุศลทั้งหมด เดี๋ยวนี้คุณอรวรรณอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ถ้าถามก็มาฟังธรรมที่มูลนิธิ

    ท่านอาจารย์ ปฏิรูปเทศะ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นที่ที่เหมาะเพราะเหตุว่ามีการสนทนาธรรม มีการได้ฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น จะต้องไปนั่งท่อง ต้องไปหาอะไร หรือเปล่าใช่ไหม เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธรรมไม่ใช่ให้เราไปคิดเรื่องอื่นแต่เดี๋ยวนี้เราสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะอะไร เพราะมีธรรม มีการสนทนาธรรม มีโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นก็เป็นประเทศที่สมควร เป็นที่อยู่ที่ขณะนี้กำลังอยู่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ที่อยู่ก็คือตรงนี้กำลังเป็นที่อยู่ที่ควรแก่การที่จะได้ประโยชน์คือความเข้าใจธรรม มิฉะนั้นแล้วถ้าไปซื้อของที่ตลาด ห้างสรรพสินค้า จะเป็นปฏิรูปเทศะไหม ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังแต่บางแห่งตอนนี้เขาก็เปิดรายการธรรมเหมือนกันอันนั้นก็แล้วแต่ แต่ก็ให้เข้าใจความหมายว่าเมื่อได้อยู่ในประเทศที่สมควรคือสามารถที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรมอันนั้นก็จะต้องนำซึ่งประโยชน์ และกุศลยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าทุกคนก็อยู่แต่ว่าไม่ฟังอย่างนั้นจะชื่อว่าได้อยู่ในประเทศที่สมควรไม่ได้ ที่ประเทศนั้นก็มีหลายแห่งอบายมุขก็มีที่ไหนก็มี เพราะฉะนั้น อยู่ที่ว่าขณะนั้นอยู่ที่ไหน ตรงไหน เมื่ออยู่ในประเทศที่สมควร เพราะอะไรถึงได้มาอยู่ที่นี่ ใครพามา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ต้องสะสมบุญไว้แต่ปางก่อน

    ท่านอาจารย์ บุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน ทำไมไม่ไปที่อื่นใช่ไหม ชายทะเล หรือว่าที่ไหนก็ได้ สวนสนุกต่างๆ แต่บุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อนก็ทำให้ได้มาอยู่ที่นี่ได้ฟังพระธรรม แล้วยังสงสัยอะไรอีกไหม

    ผู้ฟัง จักรที่ ๔ เหมือนเน้นเฉพาะว่าจะต้องเป็นบุญที่ประกอบด้วยปัญญาซึ่งเหมือนจะกว้างขวางมาก ขั้นฟังเข้าใจ ขั้นสติปัฏฐาน ขั้นวิปัสสนาซึ่งตรงนี้ไม่ทราบว่าต้องเข้าใจแค่ไหน เข้าใจนิดเดียว

    ท่านอาจารย์ อยู่ในประเทศที่สมควรแล้วต่อไปเป็นอะไร

    ผู้ฟัง คบสัตบุรุษ

    ท่านอาจารย์ คือผู้ที่สามารถที่จะสนทนาธรรมได้ ให้เข้าใจขึ้น และต่อไปอะไร

    ผู้ฟัง ตั้งตนไว้ชอบ

    ท่านอาจารย์ กำลังตั้งตนไว้ชอบ หรือเปล่า หรือจะไปตั้งเมื่อไหร่ หรือที่ไหน อย่างไร

    ผู้ฟัง ขณะฟังเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรมแล้วเห็นโทษของอกุศล แม้ความคิดว่า จะไม่เป็นอกุศลเหมือนเดิม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 175
    13 ม.ค. 2567