พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 460
ตอนที่ ๔๖๐
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ผู้ฟัง พอฟังแล้วก็เลยเข้าใจว่าการพยายาม การเฝ้า หรือการจ้องดูอะไรต่างๆ ไม่ใช่ทางเลย เพราะว่าส่วนที่ปรากฏก็ปรากฏ ส่วนที่รู้ก็รู้ แต่ถ้าเกิดขึ้น แต่ไม่ปรากฏ โอกาสที่จะรู้ก็ไม่มี ตรงนี้ต้องอาศัยการฟังอย่างเดียวใช่หรือไม่ หรืออย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย
ท่านอาจารย์ กำลังเห็น มีอย่างอื่นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ยังมีคุณวีระทั้งตัวหรือไม่
ผู้ฟัง ก็ยังคิดต่อไปว่า มีแขน มีขา มีมือ มีท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ จำสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วว่ายังมีอยู่ รูปที่ตัวทั้งหมดเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปแล้วด้วย แล้วเกิดอีก แล้วก็ดับ ก็ไม่รู้แล้วไปจำว่ามี อันไหนที่จำว่ามี ในเมื่อมีนิดเดียวแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าไม่มีเรา แล้วก็เป็นธรรม แต่ละลักษณะซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป นี่เป็นสัจจธรรมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ปัญญาของใครสามารถเริ่มเข้าใจถูก ค่อยๆ สะสม เพราะว่าการเกิดขึ้นแต่ละขณะ มาจากการสะสมแต่ละขณะด้วย เวลานี้ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาใช่ไหม แต่มีจริงๆ คือความไม่รู้ ดับไปแล้ว สะสมอยู่ในจิตขณะต่อไปไหม ได้ยินอีกก็ไม่รู้ลักษณะที่ได้ยิน มีความไม่รู้เกิดแล้ว ไม่ไปไหนเลย ดับแล้วสืบต่อในจิตขณะต่อๆ ไป เพิ่มขึ้นไหม จากทางตาที่ไม่รู้ มาถึงทางหูที่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ตลอดชีวิต
เพราะฉะนั้นนี่คือการสะสมอย่างละเอียดมากเหมือนไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นปัญญา ความเห็นถูกความเข้าใจถูกก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครสามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเพียงได้ฟัง ขณะนี้ไม่มีเราแต่มีธาตุเห็นกำลังเห็น ธาตุได้ยินเกิดขึ้นกำลังได้ยิน โดยไม่มีเราเลย มีแต่เฉพาะธาตุนั้นๆ ที่เกิดแล้วก็ดับไป ถ้ายังไม่มีการสะสมมาเพียงพอ สามารถขณะที่ฟังนี้กำลังฟังอย่างนี้ก็เห็นอย่างนี้ตามความเป็นจริงด้วย ก็ต้องเป็นสิ่งที่เห็นได้ว่ากว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ อาศัยการฟังทีละเล็กทีละน้อยแต่ละครั้ง ชาตินี้รู้สึกว่าจะได้ฟังกันมามาก แต่ไม่ทราบว่าชาติก่อนได้ฟังกันแล้วเท่าไร แต่ก็มีศรัทธาที่ฟังในชาตินี้ แต่เมื่อฟังแล้วจะเข้าใจเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน แม้แต่ขณะที่กำลังฟัง ทราบไหมว่าขณะที่กำลังฟัง เริ่มเข้าใจขึ้น แต่ก็ไม่สามารถละความเป็นเรา เพราะรู้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงธาตุเห็นที่เห็นแล้วก็ดับไป ยังไม่ถึงระดับนั้น แต่ปัญญาจริงๆ ต้องรู้ความจริงอย่างนี้ จึงจะหมดความสงสัยในธรรม ไม่เหลือความเป็นเรา
เพราะฉะนั้นการสะสมของปัญญา ก็ต้องเป็นทีละเล็กทีละน้อย จนไม่สามารถรู้ได้ แม้ขณะที่กำลังฟัง ฟังมาแล้วกี่นาที ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น ก็ไม่รู้เลย ว่าแต่ละขณะกำลังเริ่มเข้าใจความต่างของนามธรรมและรูปธรรม และในโลกนี้ก็เป็นธรรมทั้งหมด ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม สิ่งใดไม่ปรากฏไปจำว่ามี ถูกหรือผิด ไปจำอันไหนทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้ว ไม่เหลือสักอันเดียว แต่ก็ยังรู้สึกว่า ยังคงมีอยู่ จนกว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้นมรรคมีองค์ ๘ หรือการอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่หนทางอื่นเลย นอกจากทุกขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อไรก็เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นไม่มีหนทางอื่นเลย จึงกล่าวว่าเป็นหนทางเดียวที่ทำให้สามารถรู้ความจริง เพราะว่ารู้คือปัญญา ปัญญาคือเข้าใจ
เพราะฉะนั้นขณะฟัง มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ กำลังฟังเรื่องสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นหรือยัง ไม่ใช่ฟังแต่เพียงเรื่องราว แต่ขณะที่มีแข็งก็แข็ง แล้วก็มีสภาพรู้แข็งชั่วขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นจะเล็กน้อย จะละเอียด จะบางเบาสักแค่ไหน ก็เหมือนขณะที่เห็น แล้วก็ไม่รู้ ได้ยิน แล้วก็ไม่รู้ คิดนึกแล้วก็ไม่รู้ ก็เหมือนอย่างนี้ แต่เปลี่ยนเป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะมีกำลัง และจะรู้กำลังของปัญญาว่า ปัญญาสามารถรู้ความจริงได้เพราะเป็นปัญญา แต่ต้องเริ่มจากการฟังเข้าใจจริงๆ ก่อน
อ.กุลวิไล จิต เจต สิก และรูป เป็นธรรมที่เกิดขึ้นต้องมีปัจจัย แต่ก็มีบางท่านที่เคยสนทนาด้วย คือ สังขารธรรมคือธรรมที่เกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยอย่างจิต เจตสิก และรูป และธรรมที่เป็นนิพพานก็เป็นวิสังขารธรรม ไม่มีปัจจัยให้เกิดขึ้น ขอเรียนถามว่า ทำไมนิพพานจึงเป็นธรรมที่ไม่เกิดเพราะปัจจัย
ท่านอาจารย์ นี่คือทำไม ทำไม เพราะไม่รู้ ทำไมมีแข็ง ทำไมมีเสียง เสียงมีแล้ว ควรจะรู้ว่า เสียงเกิดเพราะอะไร มากกว่าทำไมมี
อ.กุลวิไล อย่างธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง อย่างจิต เจตสิก รูป แน่นอนว่า เพราะมีปัจจัยจึงเกิดขึ้น แต่ธรรมที่ตรงข้ามกับสังขารธรรม จิต เจตสิก รูป ก็คือนิพพาน เพราะว่าไม่มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ แต่กล่าวคำว่า “นิพพาน” เหมือนรู้ว่า นิพพานคืออะไร กล่าวถึง “จิต” เหมือนกับรู้ว่า ขณะนี้เป็นจิต ไม่ใช่เรา แต่ว่าตามความเป็นจริง สภาพธรรม แม้แต่คำที่ได้ยิน เข้าใจแค่ไหน เช่น คำว่า “ธรรม” ลืมอีกแล้ว ใช่หรือไม่ ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้เป็นเรา หรือเป็นธรรม ก็ลืมอีก เพราะฉะนั้นยังไม่เข้าใจจริงๆ ในแม้แต่คำเดียว คือ “ธรรม” ทุกอย่างในขณะนี้ ยังไม่ใช่ธรรมเลย แล้วจะไปถึงนิพพาน ก็แสดงว่าไม่ได้รู้อะไรเลยในสิ่งที่กำลังมี แต่ไปสนใจในสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏ แต่ควรจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏควรจะรู้ยิ่ง ไม่ใช่ไม่ควรรู้ยิ่ง หรือรู้เพียงผิวเผิน ในพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงถึงสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพียงแค่นี้ คำแค่นี้ แล้วเราลองคิด ควรจะรู้ยิ่ง หรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัส อะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง สิ่งที่มี ปรากฏควรรู้ยิ่ง หรือสิ่งที่ไม่ปรากฏ ไปควรรู้ยิ่งในสิ่งที่ไม่ปรากฏ
อ.กุลวิไล ควรรู้ยิ่งในสิ่งที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร จะทำตาม ฟังด้วยความเคารพ ที่จะเข้าใจสิ่งที่ทรงแสดงตามลำดับหรือไม่ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ถ้าจะกล่าว ถึงชื่อนิพพาน แล้วบอกว่านิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตรงกันข้ามกับจิต เจตสิก รูป เพราะจิต เจตสิก รูป เป็นสภาพธรรมที่เกิด เป็นสังขารธรรม ปรุงแต่งแล้วเกิดขึ้นเป็นสังขตธรรม พูดชื่อมากมายเลย ก็ไม่ทำให้คนนั้นเข้าใจจิตในขณะนี้
เพราะฉะนั้นจะมีประโยชน์ไหม หนึ่งชาติที่ผ่านมา ชาติก่อน ชาตินี้ก็ผ่านไป โดยการได้ยินชื่อต่างๆ แต่ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กล่าวถึงเลย เช่น จิต หรือเจตสิก หรือรูป ที่ใช้คำต่างๆ เหล่านั้น ความจริงเป็นสิ่งที่มี แล้วทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี แต่เราข้ามไปหมดเลย ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ข้ามไปถึงนิพพาน เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่จะรู้จริง ในสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ
อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ควรรู้ในสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏ นั่นก็คือสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ที่เป็นจิต เจตสิก และรูป สำหรับการศึกษาก็ศึกษาในส่วนของพระธรรมที่ทรงแสดงนั่นเอง ถึงแม้ท่านจะทรงแสดง ปรมัตถธรรม มี ๔ มีจิต เจตสิก รูป และนิพพาน แต่การรู้ของเรา ก็ต้องรู้ตามที่กำลังมีจริง และกำลังปรากฏในขณะนี้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ประมาทธรรม ก็คือรู้ตัวเองใช่หรือไม่ รู้จักธรรมที่กำลังปรากฏ หรือยัง กำลังปรากฏด้วย
อ.กุลวิไล มีผู้เรียนถามว่า พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ พระสูตรลึกซึ้งโดยอรรถ และพระอภิธรรมลักษณะโดยสภาวะ วันนี้กำลังสนทนาธรรมในหัวข้อ “พื้นฐานอภิธรรม” ซึ่งลึกซึ้งโดยสภาวนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งต่างกับพระวินัย และพระสูตรอย่างไร
อ.อรรณพ พระอภิธรรม อภิ แปลว่า ยิ่ง ธรรมที่ละเอียดยิ่ง ลึกซึ้ง ถ้าไม่ลึกซึ้ง คงไม่ขยายด้วยคำว่า “อภิ” เป็นอภิธรรม เพราะว่าความไม่รู้ของสัตวโลก มีมากจริงๆ ที่จะไม่เข้าใจสภาพธรรม ก็พิสูจน์ได้ว่ามากมายขนาดไหน ขณะนี้มีจิต ก็ไม่รู้ว่าเป็นจิต นี่คือความหนาของอวิชชา จึงทรงมีพระมหากรุณาคุณที่จะแจกแจงธรรมอย่างละเอียด คือ ทรงแสดงอภิธรรมว่า สภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นจิต เจตสิก รูป ซึ่งเป็นความละเอียดของสภาวธรรม ที่ทรงแสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎกเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจสภาพธรรมที่ละเอียดนั้นแต่ว่ามีในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ธรรมนั้นละเอียดแล้วไม่มีปรากฏ มีปรากฏ แต่จะรู้หรือไม่รู้ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีเหตุปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นรู้ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมได้ไหม
เพราะฉะนั้นอภิธรรมที่ว่าลึกซึ้งโดยสภาวะต่างกับความลึกซึ้งโดยกิจของพระวินัย และต่างจากความลึกซึ้งโดยอรรถของพระสูตรอย่างไร ถ้าไม่มีสภาพธรรมก็ไม่ต้องบัญญัติสิกขาบท แต่เนื่องจากพระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระสัพพัญญู ทรงมีพระปัญญายิ่งที่รู้ว่าผู้ที่บวชเป็นภิกษุจะมีการกระทำทางกาย วาจา ควร และไม่สมควรอย่างไร การกระทำทางกาย ทางวาจาด้วยอกุศลจิตระดับไหน ที่จะถึงขั้นหมดความเป็นภิกษุก็คือปาราชิก ทรงทราบระดับของอกุศลจิต ระดับของการกระทำทางกาย ทางวาจา จึงทรงบัญญัติสิกขาบทแต่ละข้อซึ่งมีความลึกซึ้งโดยกิจ ของแต่ละสิกขาบท ที่จะน้อมปฏิบัติตามของผู้บวชเป็นภิกษุที่จะไม่ล่วงสิกขาบทจึงสมควรเป็นภิกษุ นั่นคือ ความลึกซึ้งของสิกขาบทแต่ละประการๆ ซึ่งไม่มีใครสามารถบัญญัติพระวินัยได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นพระองค์เดียวที่ทรงรู้ว่าควรจะบัญญัติสิกขาบทใดบ้างและอย่างไร เพื่อเป็นข้อปฏิบัติหรือเป็นศีลของภิกษุที่เป็นปาติโมกขสังวรศีลเป็นข้อที่น้อมประพฤติตาม เพื่อไม่ให้ล่วงออกทางกาย วาจา แค่ไหนเป็นเพียงทุกฎ ทุภาษิต พระผู้มีพระภาคทรงรู้ ว่าแค่ไหนถึงขั้นปาราชิก เป็นสังฆาทิเสส เป็นปาจิตตีย์ พระผู้มีพระภาคทรงรู้
ส่วนความลึกซึ้งของพระสูตร ก็คือข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงกับบุคคลต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ ก็เป็นข้อความที่ลึกซึ้งในอรรถ ในเนื้อความอย่างยิ่ง แม้ข้อความในพระสูตร บางอย่างถ้าพิมพ์ออกมา ก็เพียงหน้ากระดาษเดียว เช่นเมื่อวานนี้ โลกสูตร แสดงธรรมใดที่เกิดขึ้นในโลก แล้วไม่เป็นประโยชน์ ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในโลก ฟังดูเหมือนเข้าใจง่ายๆ แต่ความลึกซึ้ง ลึกซึ้งขนาดไหน โลกคืออะไร โลกคือสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าโลภะเกิดขึ้นทางตา ไม่เป็นประโยชน์แล้ว ถ้าโลภะเกิดขึ้นทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่เป็นประโยชน์ ถ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งของพระสูตรตามตัวอย่างได้ ก็เพราะเข้าใจพระอภิธรรมว่าเป็นเพียงเรื่องราวของสภาวธรรมของวิถีจิตต่างๆ และจิตที่เป็นอกุศลที่เป็นชวนจิต จนกว่าจะรู้ลักษณะของจิต ที่เป็นอกุศลจิตจริงๆ ที่ปรากฏ ขณะที่โลภมูลจิตเกิด โทสมูลจิตเกิด หรือโมหมูลจิตเกิด และรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม จึงจะเข้าใจความลึกซึ้งของพระสูตร เพราะเข้าใจความลึกซึ้งโดยสภาวธรรมของพระอภิธรรม และเช่นกันเมื่อเข้าใจความลึกซึ้งโดยสภาวธรรมโดยอภิธรรม ก็จะเข้าใจความลึกซึ้งโดยกิจของพระวินัยในบางข้อ บางประการ
เพราะฉะนั้นการเข้าใจความลึกซึ้งโดยกิจของพระวินัย โดยอรรถของพระสูตร ก็จะต้องเข้าใจความลึกซึ้งโดยสภาวธรรม เพราะทั้งหมดเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรม ไม่มีการบัญญัติว่าเป็นภิกษุ ไม่มีการบัญญัติเป็นสิกขาบท ต้องมีจิต เจตสิก รูป และถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป ก็ไม่มีการแสดงพระสูตรต่างๆ ที่สมมติว่าเป็นบุคคลต่างๆ มาเข้าเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาค ก็เป็นจิต เจตสิก รูป และทรงแสดงธรรม ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป ก็ไม่มีการบัญญัติว่า เป็นสัตว์ บุคคล เรื่องราวต่างๆ ใครทำดี ทำชั่ว บุญ บาป โลกทั้งหลายก็ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งโดยสภาวธรรม หรือโดยอภิธรรม เป็นความลึกซึ้งของสภาพธรรม หรือตัวธรรมที่มีจริงๆ จึงจะมีการบัญญัติ เป็นสิกขาบทของทั้งพระภิกษุ และของคฤหัสถ์ และความลึกซึ้งโดยโวหารเทศนาต่างๆ ในพระสูตร เพราะมีความลึกซึ้งโดยสภาวธรรมของอภิธรรมซึ่งมีอยู่จริงในขณะนี้
ผู้ฟัง เมื่อมีผู้ถามว่า ทำไมแข็งมี ทำไมนิพพาน คำว่า “ทำไม” ซึ่งการศึกษาว่าทำไม มาจากไหน แต่จริงๆ เราเข้าใจว่า เมื่อมีเหตุปัจจัย แข็งก็เกิด แล้วมีจิตที่รู้แข็ง ถ้าแข็งเกิดแล้ว ไม่มีสภาพรู้ที่ไปรู้ ก็ไม่ปรากฏ ก็เหมือนกับดับไป ตรงนี้ในการศึกษา ดูเหมือนท่านอาจารย์ให้เราศึกษา โดยเข้าใจความจริงที่มีปรากฏ แล้วก็หมดไป และถ้าศึกษาละเอียดก็จะทราบว่า เขาก็เป็นอย่างนั้นตามเหตุปัจจัย แต่ถ้าเมื่อไรไปศึกษาว่า ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนี้ ก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องอะไร ถ้าไม่บอกว่า คืออะไรก่อน จะรู้หรือไม่ อย่างแข็ง ก็ยังไม่ทันรู้เลยว่าคืออะไร แต่ทำไมเสียแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่า แข็งคืออะไร
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นธรรมแล้วสามารถเข้าใจตั้งแต่แรก ว่าคืออะไรก่อน แล้วค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า สิ่งที่เป็นอย่างนั้นเกิดขึ้น ปรากฏแล้ว มีปัจจัยอะไร ถึงจะเข้าใจ และไม่มีคำว่าทำไม โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
เหมือนอย่างเมื่อครู่นี้ที่กล่าวถึงพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมคืออะไร หรือว่ารู้แล้ว แต่ตามความเป็นจริงต้องเป็นพระธรรมทั้งหมด เป็นเรื่องชีวิตประจำวันจริงๆ แต่พระวินัยคืออะไรและสำหรับใคร วินัย คือการกำจัดอกุศล ซึ่งอกุศลมีตั้งแต่ในจิต ยังไม่ได้ล่วงออกไป ทางกาย ทางวาจา ก็อย่างหนึ่ง และที่มีกำลังจนกระทั่งล่วงเป็นทุจริตทางกาย ทางวาจา จนกระทั่งถึงประทุษร้าย หรือเบียดเบียนบุคคลอื่น
เพราะฉะนั้นก็มีอกุศลหลายระดับ ด้วยเหตุนี้ถ้ารู้ว่า พระวินัยคืออะไร สำหรับใคร พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เมื่อได้ทรงแสดงแล้วก็มีผู้ที่รู้จักตัวเอง ต้องการขัดเกลากิเลส ในขณะที่ฟังธรรม เพื่อจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็มีผู้ฟังที่ต่างอัธยาศัยกันมากมาย บางคนก็มีอัธยาศัยที่เป็นคฤหัสถ์ บางคนก็รู้จักตัวเองว่ามีอัธยาศัยจะขัดเกลายิ่งขึ้นทางกาย ทางวาจา ในเพศที่ไม่ใช่คฤหัสถ์
เพราะฉะนั้นจึงได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบท เพื่อจะประพฤติธรรม อบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต ซึ่งในยุคแรกๆ ก็ยังไม่มีการบัญญัติพระวินัย เพราะว่าผู้ที่บวชเป็นผู้จริงใจ เพื่อต้องการขัดเกลากิเลส แต่ไม่มีใครสามารถบังคับไม่ให้กิเลสเกิด ขณะนี้ใครรู้บ้างว่า มีกิเลสสะสมมาแค่ไหน ยังไม่เกิดไม่รู้ ไม่ปรากฏเลย ต่อเมื่อไรเกิด เมื่อนั้นเห็นเลยว่า ถ้าไม่มีการสะสมมาที่จะเป็นอกุศลระดับนี้ อกุศลระดับนี้ก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นบางวันกายก็ดี บางวันก็ไม่ดี บางวันวาจาก็ดี บางวันวาจาก็ไม่ดี มาจากไหน ต้องมีเหตุ คือการสะสมมา ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และต้องการขัดเกลาจึงได้มีชีวิตอย่างบรรพชิต คือ ผู้ที่ไม่ครองเรือน เพราะการเป็นผู้ไม่ครองเรือนแต่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ทำให้ปฏิบัติล่วงทุจริต ซึ่งไม่สมควรแก่เพศบรรพชิต ซึ่งเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ได้ โดยอาศัยอาหารจากชาวบ้าน ท่านใช้คำว่า “ข้าว” ก็หมายความว่า อาหารจากชาวบ้าน เพราะฉะนั้นก็ต้องให้สมควรแก่ศรัทธาของผู้ที่ทะนุบำรุง เพื่อให้ผู้นั้นได้ขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ให้เห็นว่าสิ่งนั้นไม่ควรแก่เพศบรรพชิต โดยการประชุมสงฆ์ สอบถามเรื่องราว เป็นที่รับรองว่าไม่เหมาะไม่ควร เมื่อสงฆ์รับรองว่าไม่เหมาะไม่ควร ก็บัญญัติเป็นสิกขาบท คือ บทที่จะต้องศึกษา คือ ปฏิบัติตามในเพศของบรรพชิตมากมายตามลำดับเพิ่มขึ้น ซึ่งคฤหัสถ์ทำได้หรือไม่ ถ้าศึกษาพระวินัย คฤหัสถ์จะทำก็ได้ ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้ทำ แต่เห็นคุณประโยชน์ของการมีกาย วาจาที่งาม แม้เป็นอกุศลที่เล็กน้อยนิดหน่อยก็ไม่สมควรให้เกิดขึ้นก็จะละอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยนั้นได้
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นว่า พระวินัยละเอียดมากในเรื่องของกาย วาจา ซึ่งต้องมาจากใจด้วย และทุกข้อจะกันอาสวะ คือ กิเลสอย่างละเอียดไม่ให้เกิด เพราะเหตุว่าถ้าเกิดแล้วก็จะเจริญขึ้นจนกระทั่งมีชีวิตเหมือนอย่างเพศคฤหัสถ์ได้ ด้วยเหตุนี้การศึกษา เห็นความลึกซึ้งของพระวินัย จึงเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกับ ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้ลุกลามหรือเกิดมากขึ้น
นี่ก็คือความลึกซึ้ง ซึ่งผู้ที่ศึกษาพระวินัยไม่ใช่เพียงศึกษาว่า บรรพชิตไม่ควรทำอย่างนี้อย่างนั้น แต่ควรรู้ถึงเหตุผลด้วยว่าเพราะอะไรจึงไม่สมควร ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติวินัยต่างๆ ลึกซึ้งมาก ถ้าไม่ได้ศึกษาพระวินัยแล้วคิดเอง ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า จริงๆ แล้วเมื่อได้ทรงบัญญัติพระวินัยแล้ว ก็ยังมีข้อปลีกย่อยติดตามมาอีกด้วย ซึ่งผู้ศึกษาจริงๆ สามารถรู้ถึงเหตุผลได้ว่าเพราะอะไร
สำหรับพระสูตร บางคนก็บอกว่าพระสูตรง่าย ฟังแล้วก็เข้าใจได้ แต่เข้าใจเรื่องราว
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 421
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 422
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 423
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 424
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 425
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 426
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 427
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 428
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 429
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 430
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 431
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 432
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 433
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 434
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 435
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 436
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 437
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 438
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 439
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 440
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 441
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 442
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 443
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 444
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 445
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 446
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 447
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 448
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 449
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 450
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 451
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 452
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 453
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 454
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 455
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 456
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 457
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 458
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 459
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 460
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 461
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 462
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 463
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 464
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 465
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 466
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 467
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 468
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 469
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 470
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 471
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 472
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 473
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 474
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 475
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 476
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 477
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 478
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 479
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 480
