พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 472


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๗๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ หลายคนก็บอกว่า ไม่เห็นจำเป็นจะต้องเข้าใจสิ่งที่มีจริงเลย เขาก็มีชีวิตโดยที่ไม่เดือดร้อนเลย มีความสุขสบายดี เป็นของธรรมดาที่เกิดแล้วก็ตายแน่ๆ เขาก็เข้าใจได้ แต่ขณะที่กล่าวอย่างนั้นเป็นธาตุอะไร เป็นคน หรือเปล่า หรือว่าเป็นธาตุคิด ซึ่งธาตุนี้มีจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงความจริงที่มีอยู่ที่เกิดขึ้นปรากฏเป็นไปในโลกนี้ ไม่พ้นจากธาตุหลากหลายมากมาย แล้วก็ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลง ไปจัดสรรให้ธาตุนี้เกิดก่อนธาตุนั้น หรือว่าให้ธาตุนั้นเป็นอย่างนี้ ให้ธาตุนี้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าตามความเป็นจริงอวิชชาไม่สามารถรู้ได้ ก็คือว่า แม้สิ่งนั้นมีจริง อวิชชาเป็นธาตุ หรือเปล่า อวิชชาเป็นธาตุ เปลี่ยนอวิชชาซึ่งเป็นธาตุไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริง สัจจะของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ให้เป็นสภาพรู้ เข้าใจถูก เห็นถูก ได้ไหมคะ ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าคิดถึงความเป็นธาตุ แล้วที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็คือความเป็นมาของธาตุนั่นเอง นานแสนนานซึ่งนามธาตุเกิดขึ้นเป็นไป แล้วไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้เลย

    เพราะฉะนั้นที่เคยเป็นเรา นิสัยใจคอต่างๆ กัน ความคิดต่างๆ กัน แท้ที่จริงก็คือเป็นธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งเมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นไป เพียงแค่ปรากฏแล้วก็หมดไป

    นี่คือการรู้จักสัจจะ ความจริงของธรรมซึ่งเป็นธาตุ และขณะที่มีความเห็นถูก เข้าใจถูก เป็นธาตุ หรือเปล่าคะ ก็เป็นธาตุ ถ้าเข้าใจมั่นคงอย่างนี้ ขณะนี้ทั้งหมดเป็นธาตุ ไม่ว่าขณะนี้เป็นเห็น ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง คิด จะคิดอะไรก็ตามแต่ ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ถ้าสะสมความติดข้อง ก็จะเห็นลักษณะที่ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

    ได้ยินคำว่า “เพชร” เป็นอย่างไรคะ แค่ได้ยิน คำเดียวค่ะ ติดข้องไหมคะ เพราะทุกคนก็จะต้องรู้ว่า ไม่ใช่ก้อนหิน มีธาตุสารพัด แม้แต่เพชรนิลจินดาก็ยังมีมากมาย ได้ยินคำว่า “เพชร” ต้องรู้แล้วว่าเป็นเพชรนิลจินดาที่มีค่ามาก แค่ได้ยิน ติดไหมคะ ทุกขณะในชีวิต ถ้าศึกษาโดยละเอียดก็จะรู้ได้ว่า ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นใหญ่ของธาตุแต่ละธาตุนั้นได้เลย

    เพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง “เพชรสีชมพู” คิดอย่างไรคะ มากกว่าเพชรธรรมดา หรือเปล่าคะ ก็ยังมีอีกตั้งหลายสี เพียงแค่นี้เห็นไหมถึงความไม่รู้ความจริงของธรรม มีปัจจัยก็เกิดขึ้นเป็นลักษณะต่างๆ ที่เพียงแต่นึก แค่นั้นก็ไม่รู้แล้วว่า เพราะการสะสม และขณะนั้นเป็นจิตประเภทไหน เพราะเหตุว่าธาตุหลากหลายมาก เมื่อแยกโดยประเภทของความเป็นปรมัตถธรรม คือ สัจจะความจริงของธาตุนั้นๆ แล้ว ก็จำแนกธาตุออกได้เป็นปรมัตถธรรม ๔ คือ สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ใช้คำว่า “รู้” เพราะขณะนี้เห็น ถ้าไม่มีเห็น จะรู้ไหมว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏได้ทางตา กำลังปรากฏด้วย ปรากฏได้ทางตาต้องอาศัยตา สิ่งนี้จึงสามารถปรากฏ แต่ต้องมีธาตุซึ่งรู้ คือกำลังเห็น จึงสามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธาตุ หรือเปล่า เห็นก็เป็นธาตุ ทุกอย่างหมดเป็นธาตุ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เป็นธาตุ หรือเปล่า ก็เป็น เพราะฉะนั้นมีเราไหมคะ หรือว่ามีแต่ธาตุทั้งนั้น ถ้าสามารถเข้าใจได้อย่างนี้จริงๆ ก็คือเข้าใจธรรม เพราะว่าเราได้ยินภาษาไทย หรือภาษาบาลี หรือภาษาไหนก็ตาม ที่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะใช้คำเดียวกัน คือคำว่า “ธรรม” แต่สัจจะ ความจริงของธรรมก็คือเป็นเพียงธาตุ สิ่งที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง แล้วไม่มีใครสามารถเปลี่ยนธาตุที่เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยให้เป็นอย่างอื่นได้ แม้ในขณะนี้ หรือขณะไหนๆ ก็ตาม

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมก็คือศึกษาให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีว่า แท้ที่จริงสิ่งที่มีจริงๆ นั้น ความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร ว่างเปล่าไหมคะ จากความเป็นอะไรๆ ทั้งนั้น เพราะว่าเป็นแต่เพียงธาตุที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป จะเป็นอะไรได้ นอกจากเป็นธาตุแต่ละธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจธาตุที่มีจริงๆ มั่นคงขึ้น และสามารถสละความที่เคยเข้าใจผิด และยึดถือธาตุนั้นๆ ว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง และรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ความจริงเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นการฟังก็คือเพื่อให้เข้าใจถูกเพิ่มขึ้น

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่า ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แน่นอนย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชา เพราะความไม่รู้มีมาก แต่บางคนก็เห็นว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะรู้เรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่รู้ก็คืออวิชชา

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่ตรงกันข้าม อวิชชาไม่รู้ แต่ขณะนี้ฟังเรื่องธาตุ แล้วก็มีธาตุกำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจว่า สิ่งนี้มีจริงๆ และสัจจะความจริงของธาตุก็คือสิ่งนั้นใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ความจริงเป็นอย่างนี้ ขณะที่เริ่มเข้าใจถูก ไม่เหมือนขณะที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีธาตุที่ไม่รู้อะไร กับธาตุที่สามารถรู้ความจริงของธาตุที่มีในขณะนั้นได้ ผู้นั้นก็จะรู้ได้ถึงความต่างกัน เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ธาตุที่ไม่รู้เป็นอย่างหนึ่ง และธาตุที่สามารถเห็นถูก เข้าใจถูก เป็นอีกอย่างหนึ่ง และธาตุเหล่านั้นเวลานี้อยู่ที่ไหน กำลังมี ซึ่งทุกคนคิดว่าเป็นเรา กำลังมีที่ทุกคนคิดว่าเป็นเรา คือไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งความจริงเข้าใจว่า เป็นเราไม่รู้ แต่ความจริงเป็นธาตุที่ไม่สามารถรู้ หรือเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ ส่วนความรู้ที่กำลังเริ่มเข้าใจอยู่ที่ไหน ก็ไม่ใช่อยู่ที่อื่น ก็ที่ทุกคนยึดถือว่าเป็นเราที่กำลังเริ่มเข้าใจ แต่แม้อย่างนั้นก็จะเห็นความต่างของ ๒ ธาตุ ระหว่างธาตุไม่รู้กับธาตุรู้ ถ้าธาตุไม่รู้ เกิดมาก็ไม่รู้ แล้วนอกจากไม่รู้ก็ยังมีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏด้วย เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง

    ธาตุไม่รู้ก็ไม่รู้ อย่างไรๆ ก็ไม่สามารถรู้ความจริงได้ แต่ก็ยังมีธาตุที่เมื่อไม่รู้แล้วก็ติดข้อง เพราะความไม่รู้นั้นด้วย ซึ่งเป็นชีวิตประจำวัน ธาตุชนิดนี้โดยการจำแนก เป็นธาตุเลว อกุศลทั้งหมดเป็นธาตุเลว อยู่ที่ไหน ก็เป็นธาตุ แต่รู้ไหมว่า เลวทั้งวัน หรือเปล่า เพราะว่าเป็นไปด้วยความติดข้องในรูปที่ปรากฏทางตา แล้วไม่รู้ แล้วติดข้อง ในเสียงที่ปรากฏ ไม่รู้ แล้วติดข้อง ในกลิ่นปรากฏ ไม่รู้แล้วติดข้อง รสปรากฏหลายครั้งในวันหนึ่งๆ ไม่รู้แล้วติดข้อง การกระทบสัมผัสก็มีอยู่ตลอด ไม่รู้แล้วติดข้อง

    เพราะฉะนั้นธาตุหนึ่ง ไม่ใช่ใคร ธาตุเลวเพราะเป็นอกุศล เกิดขึ้นมากมาย วนเวียนอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เท่านี้เองซึ่งปรากฏเกิดขึ้นแล้วหมดไป สั้นมากค่ะ เพียงปรากฏแล้วหมดไป แต่อวิชชาก็ไม่เห็น และโลภะก็ต้องติดข้อง แล้วก็เป็นอย่างนี้ทั้งวัน เวลาคิดก็ไม่พ้นจากเรื่องที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็คิดนึกปรุงแต่งมากมาย ชาติก่อนเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะหมด อาจเป็นเรื่องพระเจ้าแผ่นดิน เรื่องแม่น้ำ เรื่องโจรผู้ร้าย เรื่องถนนหนทาง สารพัดเรื่องของชาติก่อน หมด ไม่มีเหลือเลย

    เพราะฉะนั้นชาตินี้ก็กำลังจะเป็นอย่างนี้ ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่มีสาระ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของ หรือเปลี่ยนแปลงความเป็นธาตุของสิ่งที่ความจริงเป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่นเลย แต่เพราะความไม่รู้ ก็ทำให้ชีวิตวนเวียนอยู่ในเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โดยเป็นธาตุเลว ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่ใครค่ะ แต่ธาตุที่เป็นอกุศลจะดีได้อย่างไร ก็ต้องเป็นธาตุเลว มีธาตุเลว แล้วก็มีธาตุปานกลาง และมีธาตุประณีต หรือประเสริฐ ซึ่งหมายความถึงโลกุตตระ

    เพราะฉะนั้นต้องรู้ตามความเป็นจริง เมื่อเป็นธาตุเลว แล้วก็หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับธาตุเลวๆ ทั้งนั้นเลย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ โลภะ โทสะ เรื่องราวต่างๆ ไม่พ้นไปจากธาตุเลว เมื่อเป็นอกุศล แต่วันหนึ่งๆ ก็มีอย่างอื่นด้วย ไม่ใช่มีแต่อกุศลเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นนอกจากอกุศล และนอกจากโลกุตตรธรรม ทั้งหมดเป็นธาตุปานกลาง

    แค่นั้นเอง ไม่สามารถเทียบได้กับปัญญาที่สามารถเห็นถูก เข้าใจถูก จนสามารถละความไม่รู้ และทั้งหมดเป็นธาตุ จึงสามารถดับการยึดถือ และการติดข้อง จนกระทั่งดับกิเลสได้ทั้งหมด

    นี่คือประโยชน์ของการฟัง และเข้าใจในภาษาไทย ซึ่งถ้าไม่พิจารณา แม้เป็นคำที่เราได้ยินในภาษาไทย ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าไม่ใช่เป็นเรื่องเพียงภาษา แต่เป็นการไตร่ตรอง และเข้าถึงความจริงของสิ่งที่เป็นธาตุที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    ผู้ฟัง คำว่า “ให้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ระลึก” จะไม่ใช่วิธีที่เรียกว่า ความนึกคิด หรือไม่ใช่ความนึกคิด หรือครับ จะต่างกับการตรึก หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ขณะนี้ เพราะเหตุว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ก็หมายความว่า เพราะมีธาตุกำลังรู้สิ่งนั้นในขณะนี้ สิ่งนั้นจึงปรากฏได้ นอนหลับสนิทมีอะไรปรากฏทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ทางใจ บ้างไหมคะ ไม่มี แต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ปรากฏ แสดงว่าสิ่งนี้มี เมื่อเห็น ไม่ใช่เมื่อหลับ

    เพราะฉะนั้นความหลากหลายของธาตุในวันหนึ่งๆ ก็ย่อลงไปอีก จะขยายอย่างไร จะย่ออย่างไร สั้นอย่างไร มากน้อยอย่างไร ก็เพื่อให้เข้าใจลักษณะของธรรมซึ่งเป็นใหญ่ ไม่มีใครเป็นใหญ่แน่นอนในโลก ในจักรวาล เทพเป็นใหญ่ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มีใครเป็นใหญ่ นอกจากจิต ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นใหญ่ เพราะเป็นธรรม เป็นธาตุ เพราะเป็นธาตุจึงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลง จะเป็นใหญ่เพราะเปลี่ยนได้ไม่มี เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นธาตุทั้งหมด แต่ละธาตุๆ เพราะฉะนั้นขณะนี้ยังไม่เข้าถึงความเป็นธาตุ แต่มีสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏมีแน่นอน กำลังปรากฏให้เห็น มีจริงๆ

    ผู้ฟัง แต่นั่นก็เป็นธาตุอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเป็นธาตุหมด แต่ไม่รู้ว่าเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปอ่านออก ทอ ธง สระอา ตอเต่า สระอุ อ่านว่า ธาตุ แต่ต้องรู้ถึงความเป็นธาตุ คือสิ่งที่มีจริงๆ และความจริงก็คือว่า เกิดจึงปรากฏ ถ้าไม่เกิด ปรากฏไม่ได้เลย

    ความจริงยิ่งกว่านั้นคือ เกิดปรากฏ แล้วหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือสัจจะ ความจริงของทุกธาตุที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นอวิชชา ธาตุไม่รู้ ก็ไม่สามารถจะรู้ หรือเข้าใจได้ ทั้งๆ ที่ธาตุนี้ก็มีปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน เป็นธาตุก็ไม่รู้ในความเป็นธาตุ และทั้งหมดในชีวิตก็เป็นธาตุแต่ละธาตุทั้งหมด ทั้งหมดก็มีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่โลกจะปรากฏ หรือธาตุทั้งหลายก็สามารถปรากฏได้ แม้เป็นธาตุแต่ถ้าเป็นธาตุที่ไม่อาศัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่คิดนึก สภาพธรรมใดๆ ก็ไม่ปรากฏให้รู้เลยว่า มี เช่น ขณะที่นอนหลับสนิท มีอะไรปรากฏให้รู้ว่ามีบ้าง ไม่มีเลย แต่ความจริงธาตุนั้นมี เกิดแล้วทำกิจของตน ดำรงความเป็นธาตุนั้นสืบต่อกัน จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีปัจจัยจะเกิดเห็น อีกธาตุหนึ่งซึ่งไม่ใช่ธาตุที่ดำรงภพชาติก็เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นแต่ละขณะก็เป็นแต่ละธาตุนั่นเอง

    ผู้ฟัง ที่ผมกราบเรียนเมื่อกี้นี้ ก็อยากจะเข้าใจที่ท่านอาจารย์บอกว่า ค่อยๆ พิจารณาไปตามนั้น อย่างเห็นให้รู้ว่าเป็นธาตุ เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ขอโทษค่ะ กำลังเห็น เข้าใจสภาพที่เห็นให้ถูกต้อง ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรเลย ไม่ใช่ให้ไปทำไม่เห็น ไม่ใช่ไปทำให้ไม่รู้ว่าเห็นอะไร ไม่ใช่ให้ไปทำไม่ใส่ใจในสิ่งที่กำลังเห็น ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรทั้งสิ้น แต่ให้รู้สัจจะ คือความจริงของเห็น

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ให้ทำอะไรทั้งสิ้น ก็ไม่มีอะไร ไม่เกิดอะไรขึ้น

    ท่านอาจารย์ นี่ไงคะ กำลังมีอะไรที่ไม่รู้ พูดอย่างนี้ก็คือกำลังมีอะไรที่เป็นความไม่รู้ว่า จะทำอะไร คิดเป็นธาตุ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นครับ

    ท่านอาจารย์ คิดอย่างนี้ เพราะเข้าใจ หรือเพราะไม่เข้าใจ เพราะรู้ หรือไม่รู้ คิด กำลังคิดเป็นธาตุ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธาตุครับ

    ท่านอาจารย์ บังคับให้คิดอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า แม้คิดก็ไม่พ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่องราวของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกามธาตุ วนเวียนอยู่ด้วยความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่า ไม่ทำอะไรถูกไหม เพราะว่าไม่มีเราทำ แต่มีธาตุที่เกิดขึ้นฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ที่กำลังกล่าวถึงว่าเป็นธาตุ

    ผู้ฟัง เป็นธาตุครับ

    ท่านอาจารย์ ธาตุอะไรเดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ ธาตุได้ยิน แล้วต่อไปธาตุอะไร

    ผู้ฟัง ธาตุคิด

    ท่านอาจารย์ บังคับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คิดดับไหมคะ เป็นธาตุ จะต้องไปทำอะไรไหม หรือรู้ว่าเป็นธาตุ

    ผู้ฟัง บางทีเราเรียนทางโลก พอครูสอนอะไรเราต้องคิดว่าหมายความว่าอย่างไร เข้าใจอย่างไร ผมก็พยายามคิด

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าฟังครูที่สอนไม่รู้เรื่อง แล้วคิดอย่างไร คิดเอง

    ผู้ฟัง คิดเองด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ ก็กำลังฟังครูสอน และครูสอนว่าอะไรไม่รู้ แต่ไปคิดเอง หรือคะ

    ผู้ฟัง คิดต่อว่า ได้ยิน เห็น หมายความว่าอย่างไรในทางธรรม

    ท่านอาจารย์ ได้ยินมีจริง เป็นธาตุได้ยิน แค่นี้ค่ะ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไปทำอะไร

    ผู้ฟัง ไม่ต้องไปทำอะไร ผมก็อดทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

    ท่านอาจารย์ เพราะจะทำ แล้วเข้าใจว่าทำได้ แต่อยากถามว่า ทำอะไรได้

    ผู้ฟัง ไม่ได้คิดว่าจะทำ แต่มันเป็นธรรมชาติ ผมว่าต้องคิด

    ท่านอาจารย์ ต้องคิด เพราะอะไรคะ

    ผู้ฟัง ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์

    ท่านอาจารย์ เพราะคิดเป็นธาตุ ไปห้ามธาตุนี้ไม่ให้เกิดได้ไหม แต่เมื่อธาตุคิดเกิดก็รู้สัจจะความจริงว่า ที่คิดนั่นแหละเป็นธาตุ ไม่ใช่เรา หรือใครเลย

    ผู้ฟัง สรุปก็คือ เมื่อได้ยิน ได้เห็น หรือได้กลิ่นอะไรก็แล้วแต่ ก็ปล่อยไปอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ปล่อยอีกแล้ว ไม่ได้ให้ทำอะไร แม้แต่ปล่อยก็ไม่ได้บอกให้ปล่อย

    ผู้ฟัง มันอย่างไรก็ไม่รู้ มันได้ยินจริงๆ มันเห็นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังจนรู้ว่าเป็นธาตุ

    ผู้ฟัง รู้ว่าเป็นธาตุครับ

    ท่านอาจารย์ รู้ว่าเป็นธาตุแล้วจะปล่อย หรือคะ ใครที่ปล่อย เพราะไม่รู้ว่าเป็นธาตุ จึงจะปล่อย แต่ถ้ารู้ว่าเป็นธาตุจริงๆ อะไรเป็นใหญ่

    ผู้ฟัง ธรรมเป็นใหญ่

    ท่านอาจารย์ เพราะธรรมเป็นธาตุ

    ผู้ฟัง ธรรมก็เป็นธาตุอีก

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ

    ผู้ฟัง ต้องกราบท่านอาจารย์ คือ ไม่ใช่ผมดื้อ แต่ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่า จะทำอย่างไรถึงจะดี

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าคุ้นเคยกับการทำ การคิด คุ้นเคยกับความเข้าใจว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นความจริงแค่เป็นธาตุ ไม่ใช่เรา กว่าจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ก็ต้องอาศัยกาลเวลา เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้ และการยึดถือธาตุนั้นๆ ว่าเป็นเรา นานแสนนาน ประมาณไม่ได้เลย แล้วจะให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ความเข้าใจต้องมี เพราะปัญญาธาตุมี

    ผู้ฟัง มีธาตุที่ไม่รู้ คืออวิชชา กับธาตุที่รู้ คือรู้ธาตุ ก็สามารถอบรมเหตุปัจจัยให้เปลี่ยนจากไม่รู้เป็นรู้ได้ ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะเหตุว่าธาตุที่จะเกิดต้องมีปัจจัยจึงเกิดได้ ถ้ายังคงมีอวิชชา ความไม่รู้อยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ไตร่ตรอง ก็ไม่เป็นปัจจัยให้ธาตุที่เป็นปัญญา เห็นถูก เข้าใจถูกเกิดได้ แต่ละธาตุก็ต้องมีปัจจัยของธาตุนั้นๆ ที่จะเกิด

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อทราบว่า ทุกอย่างเป็นธาตุ บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดดับตามเหตุปัจจัย อย่างที่ทราบว่า ที่เกิดมาเพราะไม่รู้ เพราะอวิชชา แล้วอวิชชาก็มีเหตุปัจจัยให้เกิดแล้วดับไป แต่ก็สามารถมีเหตุปัจจัยให้ปัญญารู้ความจริง เพื่อไม่เกิดได้ อันนี้เป็นปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ แล้วทรงสั่งสอนสาวก ผู้ฟัง ให้รู้ตาม ซึ่งผู้ได้สะสมบุญ ก็โชคดีว่า มีโอกาสได้ฟัง ก็สามารถมีเหตุปัจจัยเปลี่ยนจากธาตุไม่รู้ให้เป็นธาตุรู้ได้ ตรงนี้ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เปลี่ยนนะคะ มีปัจจัยธาตุที่เข้าใจถูก เห็นถูก จะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย มีการฟัง เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง พิจารณาไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ได้ห่างไกลจากขณะนี้เลย ก่อนได้ฟังวันนี้ ตอนที่เข้ามานั่งในห้องนี้ แต่ยังไม่ได้ยินได้ฟัง กับพอฟังแล้ว มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น หรือเปล่า เป็นธาตุเหมือนกัน แต่ต่างกับธาตุตอนที่ไม่ได้ยินได้ฟังแล้วไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นทั้งหมด ตัวจริง สัจจะ ความจริงก็คือเป็นธาตุ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อสามารถอบรมเหตุปัจจัยให้เข้าใจความจริง ก็สามารถละธาตุที่ยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ได้

    ท่านอาจารย์ จากธาตุเลว วันหนึ่งๆ ก็ยังมีธาตุปานกลาง เพื่อจะถึงธาตุที่ประณีตสูงสุด คือ โลกุตตระ มิฉะนั้นก็จะวนเวียนอยู่ในธาตุเลวนั้น อกุศลทั้งวัน นานาประการด้วย จะว่าเป็นคนฉลาด รู้จักคิด รู้จักประดิษฐ์ รู้จักทำอะไรๆ ขณะนั้นก็ไม่ได้รู้จักธาตุ ไม่สามารถละการยึดถือธาตุ เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าเป็นธาตุ

    เพราะฉะนั้นไม่ชื่อว่า รู้สัจจะ คือ ความจริงของธรรม ลองคิดดู เพียงแค่เห็น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของธาตุนี้ หลากหลายโดยประการทั้งปวง ที่จะให้รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งธรรมดาก็เห็น ธรรมดาๆ แต่ไม่รู้ เมื่อไม่รู้จะมีอะไร ก็ไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วมากมาย โดยประการต่างๆ ที่แสดงให้เห็นความไม่ใช่ของใครเลย แต่เป็นธาตุที่มีจริงๆ หลากหลายซึ่งธาตุเห็น ไม่ใช่อกุศล เห็นไหมคะ ก็แสดงให้เห็นว่า แสดงความละเอียดของแต่ละธาตุ จนสามารถค่อยๆ เข้าใจ เพื่ออะไรคะ ไม่ใช่เพื่อเราจะละคลายการติดข้อง ซึ่งเคยติดข้องธาตุทั้งหมดว่าเป็นเราได้ทันทีที่ฟังแล้วเข้าใจ แต่จะเห็นความละเอียดของการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็สะสมฝ่ายกุศล และอกุศลไป ถึงกาลที่ธาตุไหนจะเกิดก็เกิดขึ้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    12 ม.ค. 2567