พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 422


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๒๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    ผู้ฟังมื่อก่อนนี้ไม่เข้าใจอย่างนี้ แต่พอตอบอาจารย์ได้ว่า เมื่อเห็น ก็ต้องพิจารณาดูว่า คำถามที่อาจารย์ถามเป็นอย่างไร และต้องคิดต้องนึกก่อนถึงจะตอบอาจารย์ได้ว่าเมื่อเห็น เพราะฉะนั้นการคิดนึกตอนนั้นก็เป็นขบวนการฟังธรรมให้เข้าใจ คือ ปัญหามันอยู่ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่ตัวคุณชุณห์ยาวอย่างนั้น เพียงถามว่า ขณะนี้อะไรปรากฏ ตอบว่า

    ผู้ฟัง สีปรากฏ

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ปรากฏเมื่อไร

    ผู้ฟัง เมื่อเห็น

    ท่านอาจารย์ เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น จิตเห็นเป็นคุณชุณห์ หรือเป็นธรรม หรือธาตุที่เกิดขึ้นเห็น

    ผู้ฟัง เป็นธรรม เป็นธาตุ

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นความเข้าใจ หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะต้องไปหาความเข้าใจที่ไหนอีกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่เข้าใจขึ้นๆ เป็นไปได้ไหม ขณะที่เข้าใจเป็นปัญญา หรือไม่ใช่ปัญญา

    ผู้ฟัง เป็นปัญญา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะไปทำวิธีไหนที่ถามว่า จะฟังอย่างไร ทำอะไร พิจารณาอย่างไร ไม่ต้องไปคิดยาวอย่างนั้นเลย เพราะขณะนั้นก็ไม่ใช่คุณชุณห์เลย เจตสิกเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต ทำหน้าที่ของเจตสิกแต่ละประเภท แม้ขณะที่กำลังเข้าใจ ก็เป็นเจตสิกหนึ่งซึ่งเกิดพร้อมเจตสิกอื่น

    ผู้ฟัง ขอถามเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาตอนหลับ คือ เวลาเราหลับตา เราจะรู้สึกของเราเองว่า เรายังเห็นอยู่ และเหมือนกับมีสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คือมืด หรือสีแดง สีอะไรก็แล้วแต่ เป็นแสงจากโทรทัศน์ ทีนี้ฟังเทปท่านอาจารย์บอกว่า นั่นแหละคือสัญญาที่ยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นอย่างนั้น คุณแก้วตาเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม ขณะนั้นจักขุปสาทรูป หรือไม่

    ผู้ฟัง มี เกิดดับตลอด

    ท่านอาจารย์ คนตาบอดจะเห็นอย่างนั้นไหม

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะใช้คำว่า ทางตา หรือไม่ใช่คำนี้ แต่มีสัณฐานที่ปรากฏเพราะมีตา เพราะฉะนั้นในขณะนั้นถ้าไม่เห็นเลย จะนึกถึงจอสี่เหลี่ยมได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้ไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลยทั้งสิ้น ฟังธรรมให้เข้าใจสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะมีจักขุปสาท จะหลับตา ลืมตา จะสว่าง มืดแค่ไหน สีสันอะไรมากน้อยอย่างไร ก็แล้วแต่ มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาท และสิ่งนั้นปรากฏเพราะจิตเห็นเกิดขึ้นจึงปรากฏได้

    ผู้ฟัง เมื่อเสียงปรากฏเมื่อไร ก็คือเมื่อจิตได้ยินเกิดขึ้นรู้เสียงนั้น ซึ่งก่อนฟัง ปัญญาขั้นฟังก็ไม่เคยรู้มาเลย ไม่เคยได้ยิน และก็ไม่เคยใส่ใจ และไม่รู้เลยว่า ได้ยิน และเห็นเป็นธรรมอย่างไร นี่คือการศึกษาที่เป็นการเข้าใจขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ ในครั้งนี้ก็จะพูดถึงโสตวิญญาณ ก่อนมี ก็ปัญจทวาราวัชชนะ โสตวิญญาณดับไปแล้ว ก็สัมปฏิจฉันนะ นี่คือยุคนี้ แต่ได้ยิน มีจริงๆ กำลังได้ยินด้วย จะเข้าใจธรรม จะรู้ธรรมก็เมื่อรู้ลักษณะที่มีจริงในขณะนั้น ปรากฏแล้วหมดแล้วจริงๆ ฟังบ่อยๆ เพื่อจะเห็นถูกตามความเป็นจริง มีอะไรเหลือบ้าง หมดแล้ว ทุกขณะไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง ถ้ารู้อย่างนั้นคงจะดีมากเลย แต่ว่าอีกนานกว่าจะรู้อย่างนั้น

    ผู้ฟัง ทำอย่างไรเราถึงจะแยกไม่เป็นเราได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ทำอย่างไร ฟังธรรมให้เข้าใจถูกต้อง ดูเหมือนว่า ทุกคนไม่สนใจเรื่องเข้าใจ สนใจแต่เรื่องจะทำ

    ผู้ฟัง เพราะว่ามันเร็วเหลือเกิน มันก็หมดไปแล้ว โลภชอบใจไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปคำนึงถึง สิ่งที่มีกำลังปรากฏ สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งนั้นได้ ตราบใดที่มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย ไม่ว่างเว้นที่จะคิดนึกด้วย

    ผู้ฟัง ถ้าเราพยายามบังคับใจตัวเองได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่เข้าใจธรรม เราพยายาม ก็คือไม่เข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง ทีนี้เรายังปัญญาน้อยอยู่ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรที่ปัญญาจะเจริญขึ้น เป็นตัวตนที่ทำ หรือว่าก่อนฟังไม่ได้เข้าใจ แล้วทำไมถึงเข้าใจขึ้นได้

    ผู้ฟัง เวลาฟังก็เข้าใจ แต่เวลาหลงลืมสติแล้วไม่ยอมเข้าใจอะไรเลย

    ท่านอาจารย์ แล้วฟังอีก หรือไม่ หรือฟังหนเดียว

    ผู้ฟัง ก็ต้องฟังอีก

    ท่านอาจารย์ แม้ในครั้งพุทธกาล ณ พระวิหารเชตวัน พระภิกษุทั้งหลายก็ยังฟังพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านเหล่านั้นเป็นใคร

    ผู้ฟัง ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ยังฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะท่านไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ท่านผู้ฟังถามมาว่า ข้อบกพร่องของกระผมก็คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ และไม่เข้าใจ ไม่ใส่ใจเลย กลับไปนึกคิดถึงธรรมที่ไม่ปรากฏ คือ คิดนึกถึงขันธ์ ธาตุ อายตนะ กุศล หรืออกุศล จึงไม่รู้ และเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วย

    ท่านอาจารย์ คุ้นเคยกับการคิดเรื่องชื่อ เรื่องราว มานานมาก ไม่ใช่ให้ไปยับยั้ง แต่ความจริงเป็นอย่างไร ก็คือต้องเข้าใจถูกต้อง ขออ่านคำถามตอนท้ายอีกครั้ง

    ผู้ฟัง คำถามตอนท้ายมีว่า ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วย

    ท่านอาจารย์ แนะนำให้ทำ หรือพูดเรื่องธรรมให้เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง แนะนำให้เข้าใจก็แล้วกัน

    ท่านอาจารย์ วิธีไหนที่จะทำให้เข้าใจ

    ผู้ฟัง ก็ต้องฟังธรรมต่อไปอีก

    ท่านอาจารย์ คำแนะนำอื่นไม่มี จะเป็นการแนะนำแบบชาวโลกส่วนตัวให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ แต่ผู้นั้นรู้ตามความเป็นจริง เพราะรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง แต่คิดว่าเป็นตัวตนที่บกพร่อง เห็นไหม ไม่ได้เข้าใจเลยว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ สะสมมาอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ทราบไหมว่า พรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ปฏิสนธิจิตประมวลมาซึ่งกรรม กิเลส วิบากที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นไปในชาตินี้ เมื่อถึงกาละที่สภาพธรรมนั้นๆ จะเกิดขึ้น ถ้าเกิดเป็นนก จะให้เกิดได้ยินเสียงธรรม พิจารณาธรรม เข้าใจธรรมได้ไหม ก็ไม่ได้ ปฏิสนธิจิตประมวลมาที่จะให้เพียงสิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นไปในแต่ละขณะจิตที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อจะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้

    อ.วิชัย ก็ขอร่วมสนทนากับท่านเจ้าของปัญหา จริงๆ ถ้าเราเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แม้ความคิด ขณะที่คิดเรื่องราวต่างๆ ก็เป็นธรรมทั้งหมดเลย ไม่ใช่มีความเป็นเราที่จะให้ไปรู้สิ่งที่ปรากฏ นั่นก็ไม่ถูกต้อง แต่หมายความว่า ขณะนั้นความเข้าใจยังไม่เพียงพอ เพราะบังคับจะให้สติเกิดระลึกในลักษณะสิ่งที่ปรากฏ เป็นไปไม่ได้เลย เมื่อบุคคลมีความเข้าใจถูกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เป็นอนัตตา จะบังคับฝืนให้รู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เจาะจงรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่แม้สภาพธรรมที่มีในขณะนั้น สติสามารถเกิดระลึกได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้สตินั้นเกิดขึ้น ดังนั้นความเข้าใจตั้งแต่ต้นก็ต้องอบรมเจริญให้มั่นคงขึ้นในเรื่องว่า ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง จริงๆ ถ้าฟังเข้าใจก็คือว่า การคิดก็เป็นธรรม ก็รู้ว่า เมื่อมีเหตุปัจจัยให้คิดอย่างนั้น ก็คิดอย่างนั้น ไม่มีวิธีการที่จะไม่ให้คิดอย่างนั้น แล้วให้คิดอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะมีความมั่นคง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกในธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ถ้ามั่นคงตรงนี้แล้ว คำถามก็เป็นว่า เข้าใจในสิ่งที่ท่านอาจารย์บอกว่า ให้ฟังให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ และค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อยด้วย วันนี้ที่ฟังเข้าใจว่า คุณอรวรรณก็คงเข้าใจมากกว่า ๑๐ ครั้งก่อน

    ผู้ฟัง ปัญญายังน้อย อวิชชายังเยอะเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะยังไม่เห็นโลภะตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง การฟัง ฟังเพื่ออะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏ สภาพธรรมกำลังปรากฏ รู้แล้ว รู้ไปเพื่ออะไร อกุศลจิต หรือกุศลจิตเกิด หรือเป็นอัพยากต ผมว่านักศึกษาที่นี่ ชั่วโมงครึ่งแล้ว ไม่เป็นไปเพื่อทาน ศีล ภาวนา

    ท่านอาจารย์ จะออกไปทำทานกันดีไหม หรืออย่างไร หรือว่าฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า แม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ทานมีโอกาสจะทำได้ แต่ที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรม ถ้าไม่ฟังบ่อยๆ จะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นคำถามของคุณสุรพงศ์ หรือความคิดของคุณสุรพงศ์ก็คือไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องกล่าวซ้ำๆ เรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เพื่อคุณสุรพงศ์จะได้ไม่ไปทำอย่างอื่น

    ผู้ฟัง ใช่ ถูกต้องแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่ต้องห่วง ประเดี๋ยวออกไปก็มีทานเยอะแยะ คนนั้นให้อะไรคนนี้ คนนี้ให้อะไรคนนั้น ก็ทานแล้ว แล้วศีลก็มี ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็มี

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามเรื่องอารมณ์ของจิต อย่างจิตเห็น มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ หมายถึงว่าพอเห็นก็คือมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็คือรูปารมณ์ แต่ที่สงสัยคือ ลักษณะของอกุศลจิต เช่น โลภะ มีอะไรเป็นอารมณ์

    ท่านอาจารย์ จิตเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เวลาจิตเกิดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด อันนี้เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะว่าเมื่อมีสภาพรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งใช้คำว่า “อารัมมณะ” หรือ “อารมณ์” ขณะนอนหลับสนิทมีอารมณ์ไหมคะ

    ผู้ฟัง ขณะนอนหลับสนิท ถ้ากล่าวว่าจิตจะต้องมีอารมณ์ ก็คือต้องมี

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แล้วทำไมไม่รู้อารมณ์ใดเลย อารมณ์ใดๆ ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ต้องเข้าใจอย่างมั่นคง เพราะฉะนั้นเวลาที่โลภะเกิดขึ้น อยู่ดีๆ เกิดอย่างไรขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏให้โลภะติดข้อง เพราะว่าตอนนอนหลับสนิทไม่มีโลภะ เพราะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกใดๆ เลยทั้งสิ้น เรื่องราวใดๆ ก็ไม่ปรากฏขณะที่หลับสนิท ไม่ใช่ฝัน เพราะว่าจิตจะต้องเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ขณะที่อารมณ์ไม่ปรากฏ เพราะไม่ใช่อารมณ์ที่รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เพราะฉะนั้นจึงเป็นจิตที่รู้อารมณ์โดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย กำลังนอนหลับสนิท คุณสุกัญญามีโลภะไหม มีความติดข้องอะไรบ้าง หรือไม่ขณะที่หลับสนิท

    ผู้ฟัง หลับสนิทนี่ ต้องไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี แล้วเกิดมีโลภะ ความติดข้องเมื่อไร

    ผู้ฟัง เมื่อตื่น

    ท่านอาจารย์ ทำไมว่าตื่น

    ผู้ฟัง ก็ต้องรู้อารมณ์ขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ อารมณ์อะไร พอตื่นแล้วพอใจในสิ่งที่กำลังรู้ เพราะฉะนั้นไม่น่าสงสัยเลยว่า โลภะมีอารมณ์อะไร มีอารมณ์ที่ปรากฏทางตาก็ได้ ขณะนี้กำลังเห็น ชอบในสิ่งที่ปรากฏ เสียงปรากฏทางหู ก็ชอบเสียงนั้นก็ได้ หรือไม่ชอบในเสียงนั้นก็ได้

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีการรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดก็จะมีกุศล หรืออกุศลในอารมณ์ที่ปรากฏ กำลังคิด คิดถึงเรื่องสนุกๆ เคยไหม ขณะนั้นโลภะมีอารมณ์อะไร ถ้าไม่นึกถึงอารมณ์นั้นจะสนุกไหม เพราะฉะนั้นโลภะก็มีอารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ผู้ฟัง แต่ว่าขณะที่ชอบ หรือพอใจมากๆ ลักษณะที่ปรากฏก็คือความพอใจ หรือความชอบ แล้วความพอใจ หรือความชอบเป็นอารมณ์ของจิตขณะนั้นได้ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปหา แล้วจะงง หาไปหามาก็วนเวียน นี่เป็นอารมณ์ของอันนั้น อันนั้นเป็นอารมณ์ของอันนี้ แต่ขณะใดก็ตามที่กำลังมีสิ่งใดปรากฏ ขณะนั้นสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิตที่กำลังรู้สิ่งนั้น ขณะนี้อะไรกำลังปรากฏ จิตก็กำลังรู้สิ่งนั้น

    ผู้ฟัง อย่างความรู้สึกปรากฏก็คือจิตรู้สิ่งนั้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    ผู้ฟัง ถ้าคิดนึกถึงเรื่องราว ก็คือเรื่องราวนั้นเป็นอารมณ์ของจิตที่คิดนึก

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่ปรากฏเพราะจิตกำลังรู้สิ่งนั้น ไม่มีคุณสุกัญญา ไม่มีใคร แต่สิ่งนั้นปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้สิ่งนั้น

    ผู้ฟัง อย่างคนที่ไปถวายอาหารบิณฑบาตพระอรหันต์ที่ออกจากสมาบัติใหม่ๆ แล้วไปไถนา แล้วเกิดทองคำทั้งทุ่งนา ก็เป็นผลของการทำทาน ซึ่งในพระสูตรก็บอกอย่างนั้น หรือพระโมคคัลลานะที่ถูกทุบตี ก็เป็นเพราะกรรมเก่า อธิบายไม่ถูกว่า ตรงนั้นเป็นกรรมเก่า ตรงไหนเรียกว่า วิบาก ตรงไหนเรียกว่า อกุศลวิบาก

    ท่านอาจารย์ คุณเด่นพงศ์ศึกษาธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แน่ใจ

    ผู้ฟัง ผมก็ว่าผมแน่ใจ

    ท่านอาจารย์ ต้องตั้งต้นให้ถูกต้อง มิฉะนั้นดูเสมือนคุณเด่นพงศ์สนใจที่จะรู้เรื่องของวิบาก แต่จริงๆ แล้วเพื่อจะรู้จักวิบากจริงๆ ที่กำลังมีในขณะนี้ หรือไม่ หรือว่าเพียงแต่ต้องการฟังเรื่องราว อย่างนั้นเป็นวิบากมาจากกรรมชาติไหน ใครเป็นคนกระทำ โดยที่ไม่รู้ลักษณะของธรรม

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ที่จะเข้าใจธรรม จะขาดไม่ได้เลยเมื่อรู้ว่า ธรรมคืออะไร ธรรมไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่เป็นสภาพที่มีจริงๆ ต้องค่อยๆ เข้าใจไปตามลำดับขั้น มิฉะนั้นตลอดวันนี้ เราจะไม่รู้จักธรรม ก็มีธรรมปรากฏตลอดเวลา แล้วโอกาสที่จะเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ต่อเมื่อฟังเรื่องของธรรม มิฉะนั้นแล้วก็เป็นเรื่องราวอื่นๆ ไปทั้งหมด แล้วโอกาสฟังเรื่องของธรรม อาทิตย์หนึ่งก็ ๒ วัน แล้วต่อไปก็เป็นเรื่องอื่น แล้ว ๒ วันนี้กี่ชั่วโมง และในระหว่างชั่วโมงจะได้เข้าใจธรรมที่มีจริงๆ สักแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นก็ไม่อยากให้พลาดโอกาสของชีวิตซึ่งมีธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ชื่อดูช่างน่าสนใจ กรรมกับผลของกรรม ในภาษาไทย เราก็ใช้คำตามภาษาบาลี อย่างคำว่า “กรรม” หรือ “กัมมะ” ก็หมายถึงการกระทำ รับมาเพียงเท่านี้ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงละเอียดถึงสภาพตัวจริงของธรรม ซึ่งไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง คือ เจตนา ความจงใจ ความตั้งใจ มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อดีตนานมาแล้ว พระสาวกทั้งหลาย หรือผู้ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายมีความจงใจ มีความตั้งใจอะไร หรือไม่ มี ถ้าไม่มีสภาพธรรมก็จะไม่มีสิ่งที่เราว่าเป็นคน เป็นสัตว์ หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือว่า แม้เป็นธรรม ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม และธรรมนี่ก็หลากหลายมาก

    เพราะฉะนั้นการที่เกิดมามีโอกาสที่จะรู้จักธรรม เข้าใจตัวธรรม เพราะว่าไม่ขาดธรรมเลย ขณะนี้ก็เป็นธรรมนั่นแหละ ก็คือจะต้องฟัง เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง คือ ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม เพราะถ้าไม่ศึกษาแล้วรู้จักทุกคนในห้องนี้ได้ รู้จักเรื่องราวต่างๆ ได้ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามวงศาคณาญาติ แต่จะไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นขณะนี้มีคำว่า “กรรม” เป็นเหตุ วิบากเป็นผล คุณเด่นพงศ์ยังไม่รู้ว่า กรรมที่ได้กระทำแล้วจะให้ผลเป็นอะไรบ้าง แต่ว่ากรรมนี้มีแน่ คือ วันนี้ก็มีความจงใจ มีความตั้งใจจะฟังธรรม ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศลกรรม จะให้ผล หรือไม่ให้ผล ในเมื่อมีเหตุ

    ผู้ฟัง ก็คงสะสมไป มีผลแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เมื่อเหตุมี ผลต้องมี แต่ผลคืออะไร เมื่อไร

    ผู้ฟัง เราไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าขณะนี้มีผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว หรือไม่ เห็นไหม กรรมขณะนี้เราไม่สามารถรู้ได้ว่า จะให้ผลเมื่อไร ชาติไหน ในลักษณะใด

    ผู้ฟัง อย่างน้อยก็เป็นกุศลกรรม ฟังธรรมท่านอาจารย์อยู่

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะนี้เดี๋ยวนี้มีผลของกรรม หรือไม่ เห็นไหม เราไม่สามารถจะรู้กรรมที่ทำวันนี้ว่า จะให้ผลเมื่อไร วันไหน ในลักษณะใด แต่ขณะนี้เดี๋ยวนี้มีผลของกรรม หรือไม่ "มี" เพราะได้เคยกระทำไว้ ไม่มีใครสามารถไปทำให้คนอื่นได้เลย ไปขอยืมกันมาได้ไหม ขอยืมกรรมของคนอื่นที่ได้ทำแล้วให้มาให้ผล จะไปอ้อนวอนขอร้องว่า อย่าให้ผลนะ ชาตินี้ รอก่อน ไว้ชาตินั้นชาตินี้ก็ค่อยให้ผล ได้ไหม ไม่ได้

    นี่คือความเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม เพราะว่าธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และไม่ใช่ของใครด้วย เพราะฉะนั้นที่เคยเข้าใจว่า เป็นเรา เป็นเขาในอดีต อนาคต หรือแม้ในขณะนี้ก็คือว่า ความจริงเป็นธรรม ที่มีโอกาสจะได้เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้นเวลาที่จะพูดถึงเรื่อง “วิบาก” คือผลของกรรม ไม่ใช่เพียงชื่อ ไม่ใช่ลอยๆ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ไม่สอนอะไรลอยๆ หรือสอนครึ่งๆ กลางๆ พูดแต่ว่าเมื่อมีกรรมซึ่งเป็นเหตุ ก็ทำให้เกิดผลซึ่งเป็นวิบาก เท่านั้นไม่พอ ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่กำลังมีในขณะนี้ ถ้าไม่มีการเกิดในโลกนี้จะมีเห็นในขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จะมีได้ยินได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งเห็น ทั้งได้ยินเหตุการณ์ในชีวิตมาจากไหน

    ผู้ฟัง เป็นผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ มาจากขณะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็จะสืบต่อมาจากขณะที่เกิดไม่ได้เลย เลือกเกิดได้ไหม ไปเกิดที่โน่นที่นี่ ที่นั่น พ่อแม่อย่างนั้น วงศาคณาญาติอย่างนี้ ฐานะอย่างโน้น ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะกำหนดโดยกรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ชาตินี้ทุกคนก็หวังจะได้ทุกอย่างที่ดีมากๆ จะได้แค่ไหน เป็นไปตามความต้องการ หรือเพราะอะไร

    ผู้ฟัง ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการ

    ท่านอาจารย์ แล้วมาจากไหน ใครจะได้มากได้น้อยอย่างไร ได้สุข ได้ทุกข์มาจากไหน

    ผู้ฟัง เป็นผลของกรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นผลของกรรม

    ผู้ฟัง ใช่ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

    ท่านอาจารย์ อันนี้เริ่มเข้าใจ แต่ยังไม่เข้าใจถึงแต่ละขณะซึ่งเป็นกรรม และผลของกรรม เพียงได้ยินชื่อเรื่องเหตุ และผล เพราะฉะนั้นตั้งแต่ขณะแรก ขณะที่เกิดเป็นกรรมที่จะให้ผลข้างหน้า หรือว่าเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ขณะแรกที่เกิดในชาตินี้ เป็นกรรมที่จะให้ผลข้างหน้า หรือว่าเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    ผู้ฟัง เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    ท่านอาจารย์ กรรมไหน

    ผู้ฟัง ชาติก่อน

    ท่านอาจารย์ ชาติไหน

    ผู้ฟัง อาจารย์ถามว่าที่เราเกิดเป็นผลของกรรมก่อนใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถามว่า ขณะที่เกิดเป็นกรรมที่จะให้ผลในชาติต่อๆ ไป หรือเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว

    ผู้ฟัง เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว คือ วิบาก

    ท่านอาจารย์ คือคำตอบทุกคำต้องมั่นใจ เข้าใจแล้วมั่นคง แล้วไม่เปลี่ยน เพราะว่าเป็นความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแต่จำ แต่เป็นการพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเองในเรื่องของกรรม และผลของกรรม แค่ ๒ คำนี้ก่อน เพราะฉะนั้นเกิดมานี่เป็นผลของกรรม ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ขณะแรกต้องมีจิต เจตสิก สภาพธรรมที่เป็นนามธาตุเกิด ถ้ามีแต่รูปธาตุก็จะไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เพราะฉะนั้นขณะจิตแรกเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วแน่นอน ชาติไหน

    ผู้ฟัง ไม่ทราบว่าชาติไหน

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย เพราะว่ากรรมนานแสนนานมาแล้วก็สะสมแต่ละชาติๆ แต่ขณะที่ปฏิสนธิจิตของชาตินี้เกิดขึ้น ประมวลมาซึ่งกรรมที่จะให้ผลในชาตินี้ เราจะฝืนได้ไหมว่า ให้กรรมโน้นๆ มาให้ผลในชาตินี้ เลือกเองตามใจชอบไม่ได้เลย เกิดมามีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนว่า เป็นจิต เจตสิกซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วชาติไหนไม่รู้ เกิดแล้วดับไหม

    ผู้ฟัง เกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ยังจะให้ผลต่อไปไหม หรือเพียงแค่ขณะเดียว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    5 ม.ค. 2567