พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 475


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๗๕

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ ธรรมที่เกิดแล้วขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่ไปทำให้ธรรมอะไรเกิดขึ้นมาเลย

    เพราะฉะนั้นคนที่อยากจะทำให้ประจักษ์การเกิดดับ แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และขณะนั้นก็ไม่ใช่ธรรมที่เกิดดับด้วย เพราะเหตุว่าการประจักษ์ลักษณะที่ไม่เที่ยงของสภาพธรรมซึ่งกำลังเป็นอย่างนี้ในขณะนี้ ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจริงๆ ในลักษณะที่เป็นธรรม ที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อย

    อ.กุลวิไล ก็ได้สนทนากับสหายธรรม ท่านก็เข้าใจว่าเป็นการยากที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ท่านอาจารย์ก็ให้ความเข้าใจว่า การฟังธรรมต้องเข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วจะอยู่กับเรื่อง กับชื่อของตัวธรรม แต่ลักษณะของธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ รู้ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจขึ้นค่ะ อย่าไปคิดว่าจะรู้ได้อย่างนั้น รู้ได้อย่างนี้ แต่เริ่มเข้าใจสภาพที่มีความเห็นถูก ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่า ความเห็นถูก เป็นปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมี หนทางนี้เป็นหนทางละ เป็นวิริยารัมภกถา รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้ง่าย หรือด้วยความเป็นตัวตน แต่ต้องเป็นปัญญาที่อบรม และเป็นความเห็นถูก เป็นความเข้าใจถูก แม้เพียงเล็กน้อยจากการฟัง ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเป็นความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะเป็นขันธ์ที่เกิดแล้ว

    ต่อไปนี้คงไม่ลืมคำว่า “ขันธ์ที่เกิดแล้ว” ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้ธรรมแล้ว หรือกำลังอบรมปัญญาที่จะรู้ธรรม หรือกำลังฟังธรรม ทุกชีวิต ไม่ว่าจะในโลกไหน คือ ขันธ์ที่เกิดแล้ว เกิดแล้วเพราะปัจจัยที่ได้สะสมมา เป็นแต่ละการเกิดแล้ว เกิดแล้ว ดับแล้ว เกิดแล้ว ดับแล้วในสังสารวัฏ จนกระทั่งถึง ณ บัดนี้

    อ.กุลวิไล คำว่า “เกิดแล้ว” คือ กำลังปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิด จะปรากฏได้ไหมคะ ไม่ได้ แต่ไม่รู้ความจริงว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดแล้ว ไม่เห็นตอนเกิดเลย แล้วเกิดแล้วก็ดับแล้วด้วย แล้วก็ไม่เห็นอีก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า ขันธ์ที่เกิดแล้วในขณะนี้มาจากไหน

    ผู้ฟัง นั่นหมายถึงว่า ในการฟังเข้าใจถูกตรงตามลักษณะของสภาพธรรมแม้เป็นขั้นเรื่องราว ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้เข้าใจถูก และสังขารขันธ์ก็จะปรุงแต่งให้สติรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังเรื่องราวนั้นนั่นแหละ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ คนที่อยู่ในความมืดก็ไม่เห็นอะไร โลภ โกรธ หลงก็เกิดขึ้นเป็นไปในความมืด แต่เมื่อไรมีความเห็นถูก เข้าใจถูกก็จะรู้ว่า ไม่ต้องไปทำอะไรขึ้นเลยทั้งสิ้น เพราะว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเพราะเกิดแล้ว เข้าใจ หรือไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จะต้องไปหาอย่างอื่นมาเข้าใจ หรือทั้งๆ ที่สิ่งนี้กำลังปรากฏก็ยังไม่เข้าใจ แล้วจะไปหาอย่างอื่นมาเข้าใจ นี่ก็แปลก ทำไมต้องไปหาอย่างอื่น ในเมื่อไม่มี ยังไม่ได้ปรากฏ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ถ้าเข้าใจ ก็คือสามารถเข้าใจแม้สิ่งที่จะเกิดตามเหตุตามปัจจัยต่อไปด้วย เพราะว่าสิ่งที่กำลังปรากฏตามความจริงนี้คือ ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง มีความรู้สึกว่า ศึกษาธรรมแล้วต้องเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ เมื่อไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องมีปัญญา

    ท่านอาจารย์ เมื่อกำลังฟังเข้าใจค่ะ

    ผู้ฟัง แล้วก็หมด

    ท่านอาจารย์ แล้วก็คิดไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจขึ้นอีกตามที่ได้เข้าใจแล้ว ตรงกัน ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง ถ้าเกิดเข้าใจผิด หรือสงสัย

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจผิดเกิดแล้ว ใช่ไหมคะ เป็นอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วต้องเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วใช่ไหมคะ มาจากไหน เป็นขันธ์ที่เกิดแล้ว มาจากขันธ์ก่อนๆ ๆ ๆ ๆ ซึ่งเกิดแล้วสืบต่อมา

    ผู้ฟัง จากคำถามของคุณสุกัญญาว่า สภาพธรรมไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด กับผู้ไม่ฟัง ท่านอาจารย์พูดก็เหมือนไม่ต่าง ถึงแม้ฟังแล้วก็เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ ถึงได้ถามว่า เข้าใจขณะไหน คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย เข้าใจขณะไหน หรือไม่เข้าใจเลย

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนที่ฟังธรรม เข้าใจขณะไหน

    ผู้ฟัง เข้าใจขั้นการฟังว่า ธรรมเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วเหมือนกันไหมกับคนที่ไม่เคยฟัง

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    อ.กุลวิไล สืบเนื่องมาจากท่านอาจารย์กล่าวถึงปัญญา ก็เป็นไปตามลำดับขั้น สิ่งแรกที่เราจะรู้ได้คือ รู้สภาพที่เป็นเพียงรูป แต่ก็ไม่ใช่รู้การเกิดของรูป เพราะหลายท่านศึกษาแล้วก็คิดตาม อาจจะไปคิดถึงสมุฏฐานของรูป แต่ลืมรู้ลักษณะของรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า เป็นธรรมอย่างใดค่ะ

    ท่านอาจารย์ สงสัยอย่างที่คุณกุลวิไลกล่าว หรือเปล่า กำลังเห็น ต้องรู้ไหมว่า เป็นวิบากจิต มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท

    ผู้ฟัง รู้ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่มานั่งคิด เพราะว่ายังไม่ได้รู้จักเห็น เพียงแต่ได้ยินเรื่องราวของเห็นมาก แม้แต่ขณะที่กำลังเห็น ก็ใช่ว่าจะรู้ลักษณะที่เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นเห็น เพียงแค่เห็น แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นั้นเองจริงๆ แต่เวลาศึกษา ศึกษาว่า ขณะใดก็ตามที่เห็นเกิดขึ้นมีธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เช่น ขณะนี้ ไม่ต้องกล่าวเป็นคำเหมือนอย่างที่พูดเลย แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม คือ ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏจะเป็นอื่นได้ไหม จะไปทำให้คลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ให้เป็นอื่นได้ไหม หรือว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏมีธาตุที่สามารถเห็นแจ้งตามความเป็นจริงของลักษณะที่ปรากฏ โดยความเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ไม่ใช่ปัญญาที่เห็นถูก เข้าใจถูกว่า สิ่งนี้เกิดปรากฏแล้วหมดไป

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ปัญญาจริงๆ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมต้องตามลำดับ ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินได้ฟังแล้วจะไปรู้ว่า รูปนี้เกิดจากจิต หรือรูปนี้เกิดจากกรรม รูปนี้เกิดจากอุตุ หรือรูปนี้เกิดจากอาหาร เพียงแค่กระทบสัมผัส มีสิ่งที่อ่อน หรือแข็งปรากฏ มีทั้งรูปที่เกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากจิต รูปที่เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากอาหาร เพราะอะไรคะ เพราะแต่ละกลาปเล็กมาก ประกอบด้วยรูป ๘ รูปอย่างน้อยก็จริง แต่ว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ เพราะฉะนั้นรูปแต่ละกลาปจะเล็กสักแค่ไหน เพราะอากาศธาตุที่แทรกจะแตกทำลายหมดเมื่อไรก็ได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงถึงความเล็กน้อยของแต่ละกลาป แต่เวลาที่ปรากฏ ไม่ใช่เพียงกลาปเดียว ใช่ไหม มีใครไปแยกให้ปรากฏกลาปเดียวได้บ้าง แต่ขณะนั้นไม่ใช่ว่าต้องไปรู้ว่า อ่อนนี้เกิดจากจิต หรือเกิดจากกรรม หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร เพียงแต่อ่อน ทุกๆ วันที่กระทบอ่อน หรือแข็งทางกาย ก็ข้ามไปหมดแล้ว อยู่เรื่อยๆ

    พอเห็นซึ่งเป็นธาตุปานกลางเกิดแล้ว ธาตุเลวก็เกิดต่อ เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะติดข้องบ้าง หรือเพราะไม่พอใจบ้าง อกุศลธรรมทั้งหมดเป็นธาตุเลว

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า การเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ต้องรู้ว่า การฟังทั้งหมดเพื่อเข้าใจถูกว่า เป็นอนัตตา เป็นธรรมจริงๆ จะฟัง จะไตร่ตรองมากน้อยเท่าไร เมื่อสภาพธรรมนั้นปรากฏกับสติที่กำลังรู้ลักษณะนั้น ปัญญาสามารถละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่า เป็นตัวตน เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏพอที่จะเข้าใจขึ้นๆ จนสภาพธรรมนั้นปรากฏตามความเป็นจริงได้ ตรงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญาก็ต้องเป็นไปตามลำดับจริงๆ ตั้งแต่ขั้นแรก จรณเตชะ จรณเดช แค่นี้ยังไม่ต้องไปถึงปุญญเดช คือ อริยมรรค จากชีวิตประจำวันแล้วจะไปถึงการดับกิเลสหมด ขัดเกลา ดับไม่เกิดอีกเลย ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปได้โดยง่าย โดยไม่มีปัญญา แต่ปัญญาที่เกิดจากการฟังแล้วเข้าใจ เป็นสังขารขันธ์ วันหนึ่งเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด จะรู้ไหมว่า มาจากไหน ถ้าไม่มีการฟังมาก่อน ไม่เข้าใจมาก่อน ไม่มีทางที่จะเกิดสติกำลังรู้ลักษณะ ลักษณะหนึ่งลักษณะใด ทางหนึ่งทางใด ที่ปรากฏในขณะนี้ตามปกติ แต่สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ตามปกติ เกิดแล้วดับแล้ว โดยสติสัมปชัญญะไม่ได้รู้ตรงลักษณะนั้น เพราะเหตุว่าความเข้าใจไม่พอ ที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดระลึก คือ รู้ตรงลักษณะนั้นด้วยความเข้าใจในความเป็นธรรม เพราะถ้าไม่ฟังธรรมเลย แข็งก็แข็ง ทุกคนรู้ อ่อนก็อ่อน ทุกคนก็รู้ในลักษณะนั้น แต่ปัญญารู้ไหมว่า นั่นเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เพียงปรากฏ ซึ่งขณะนั้นที่กำลังปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นเลย เราไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี

    นี่คือการเริ่มเห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่มีนั้นคือไม่มีจริงๆ ไม่ใช่ไปจำเอาไว้ว่ามี เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังจำว่ามี ก็คือปัญญาไม่พอ ยังไม่พอที่จะละสัญญาที่ไปจำในสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏว่ายังมีอยู่

    ถ้าขณะนี้ยังมีทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ สัญญาจำว่ายังมี แต่ถ้าถามว่า ขณะนี้มีอะไรเพียงอย่างเดียว ก็หมายความอย่างอื่นไม่มี ถ้ายังจำว่ามี ก็คืออัตสัญญา ยังไม่ได้หมดไป แล้วเมื่อไรจะหมดใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง อย่างสภาพแข็งปรากฏ ก็ต้องมีนามธรรมที่รู้แข็งด้วย มิฉะนั้นแข็งก็ปรากฏไม่ได้ แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่า สภาพธรรมที่ปรากฏต้องเป็นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ แล้วขณะนั้นอะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง แข็งปรากฏ

    ท่านอาจารย์ อย่างอื่นปรากฏ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าแข็งปรากฏ ก็ต้องมีสภาพรู้แข็งปรากฏด้วย

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ แต่สภาพรู้แข็งปรากฏ หรือเปล่า หรืออะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง ที่กราบเรียนถามท่านอาจารย์เพื่อไม่ให้เพี้ยนผิดไป

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็มีธาตุเลวกับธาตุปานกลาง รู้ไหมคะ อะไรเป็นธาตุเลว อะไรเป็นธาตุปานกลาง

    ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นธาตุเลว เพราะเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรเป็นธาตุปานกลาง

    ผู้ฟัง จิตที่รู้แข็ง เพราะเป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ แล้วแข็งเป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เป็นรูป ก็ต้องปานกลาง

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุปานกลาง มีเรา หรือเปล่า สงสัยเมื่อไร เป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เป็นธาตุเลว

    ท่านอาจารย์ เป็นธาตุเลว แล้วจะรู้อะไรได้ อยู่ในความมืด มีแต่ความสงสัย โลภ โกรธ หลง ทั้งวันทั้งคืน เกิดมากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็อยู่ในความมืด รบราฆ่าฟัน แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในความมืด ธาตุเลว หรือก็ธาตุปานกลาง

    อ.นิภัทร พวกเราถึงต้องมาศึกษาสติปัฏฐาน เพราะสติปัฏฐานมีคุณวิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือ กำจัดความอยากได้ และกำจัดความทุกข์ได้ ความโทมนัส ความเสียใจได้ กำจัดได้จริงๆ ถ้าเราเข้าใจสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง เมื่อเกิดความเลวขึ้น เราก็รู้ว่า ธรรมเลวก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่ที่เราเดือดร้อน เพราะเอาใจที่เป็นอกุศล ใจที่เดือดร้อนว่าเป็นเรา ท่านบอกว่า ขันธ์ ๕ หนัก ปัญจขันธ์นี้หนักแล หนักแปล้เลย ไม่ใช่หนักธรรมดา หนักจนหลังแอ่น คนที่แบกภาระ ไม่เข้าใจก็แบกไปตลอด ทั้งๆ ที่หนักก็แบก แล้วก็ไม่รู้ว่าหนัก แล้วทำอย่างไรถึงจะไม่หนัก การแบกภาระไปท่านบอกว่า เป็นทุกข์ในโลก ภาราทานัง ทุกขัง โลเก แบกภาระหนักไป เป็นทุกข์ในโลก ภาระนิกเขปนัง สุขัง ทิ้งภาระเสียได้เป็นสุข แล้วทิ้งไม่ใช่ไปจับทิ้ง โยนทิ้ง เพราะไม่ใช่ของที่จะจับทิ้ง โยนทิ้งได้ เป็นของที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจว่า ถึงจะหนักอย่างไร ก็คือธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันนั่นเอง ทิ้งก็คือเราเข้าใจ เรารู้จักว่าเป็นธรรม ก็เบาใจได้ พระธรรมช่วยให้เบาใจ ความเข้าใจถูกต้องช่วยให้เบาใจ คลายความทุกข์ ความกังวลได้ในระดับความเข้าใจ

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ พี่สุกัญญาได้ถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องของการปรากฎ สภาพของนามธรรมรู้อารมณ์ได้ทีละอย่าง จะรู้สองอย่างได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ต้องรู้หนึ่งอย่างที่เป็นอารมณ์

    อ.วิชัย สภาพธรรม ก็มีหลายอย่าง แต่สภาพรู้เมื่อเกิดขึ้น ก็รู้เพียงอย่างเดียว ดังนั้น แม้สิ่งที่ปรากฎ คือสิ่งที่จิตรู้ เช่น จิตเห็นเกิด สิ่งที่ปรากฎคืออะไรครับ

    ผู้ฟัง คือสิ่งที่ปรากฎทางตา รูปารมณ์

    อ.วิชัย แม้ขณะที่จิตเห็นกำลังเกิดขึ้น มีสิ่งที่ปรากฏคือรูปารมณ์ ไม่ใช่จิตเห็น

    ผู้ฟัง แต่รูปารมณ์ไม่ดับใช่ไหมค่ะ

    อ.วิชัย ขณะนั้น จิตที่เกิดสืบต่อจากจิตเห็น ก็รู้รูปารมณ์ เพราะรูปารมณ์ขณะนั้นก็ยังไม่ดับ คือแม้มีสภาพธรรมประชุมกันในขณะนั้น แต่ที่ปรากฏก็ต้องทีละอย่าง เพราะเหตุว่า รูปไม่สามารถรู้อะไรได้เลย สิ่งที่ปรากฎได้ต้องปรากฎแก่นามธรรม คือสภาพรู้ ธาตุรู้ ขณะที่หลับสนิท มีอะไรปรากฎ หรือไม่ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ผู้ฟัง ไม่มี

    อ.วิชัย ไม่มีเลย เพราะขณะนั้นเป็นภวังคจิต ขณะที่หลับสนิท มีอารมณ์เดียวกับจุติของชาติที่แล้ว อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่ปรากฏเลย แต่เมื่อมีวิถีจิตเกิดขึ้น จะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตก็รู้อารมณ์นั้น

    ผู้ฟัง อาจารย์วิชัยกำลังกล่าวว่า ลักษณะของธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีลักษณะเฉพาะของแต่ละอย่าง ซึ่งจากการศึกษา ก็ทำให้เราเข้าใจลักษณะนั้นๆ เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ใช่สภาพจริงๆ ของสภาพธรรมนั้นๆ หรือคะ

    อ.วิชัย ดังนั้นปรากฏก็ต่อเมื่อ สติปัฎฐานเกิด มีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้สติระลึกได้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น

    ผู้ฟัง ถ้าเกิดได้คิด หรือพิจารณาในสิ่งที่ปรากฏ ก็จะรู้ว่า อันนั้นเป็นความติดข้อง หรืออกุศลจิตที่เกิด อันนี้เป็นขั้นคิด แล้วก็เป็นเราคิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนั้น ไม่ได้เข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ ก็เลยมีแต่ความติดข้องในชีวิตประจำวันทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ โดยคิด

    ผู้ฟัง ค่ะ แล้วพอมาฟังทางอาจารย์ถึงธรรมเลวกับธรรมดี อาทิตย์ต่อไปก็คง อะไรเกิดก็เป็นธรรมเลว อันนี้ธรรมปานกลาง อันนี้คือลักษณะธรรมจริงๆ ที่มันเกิดขึ้น แล้วบังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ใครห้ามคิดได้

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น คิดเกิดแล้ว เป็นขันธ์ที่เกิดแล้ว เพราะอะไรค่ะ สืบต่อมาจากที่เคยได้ยินได้ฟัง ก็ทำให้เข้าใจเพียงขั้นคิด แต่ก็ต้องรู้เป็นเพียงคิด ก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี อย่างพูดเรื่องเห็น เห็นมี ก็แค่มี แล้วรู้จักลักษณะเห็น

    ผู้ฟัง ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังจนกว่าจะรู้ว่า ขณะที่กำลังมีเห็น ฟังเรื่องเห็น ค่อยๆ เข้าใจว่า ลักษณะนี้แหละ เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ยากไหมค่ะ

    ผู้ฟัง ยากมากค่ะ พอฟังครั้งนึง ก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่มีบางขณะที่ฟังซ้ำๆ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ ก็มีความรู้สึกว่า พอจะรู้ว่าประโยคต่อไปจะเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ เวลาเห็น ที่บอกว่ายังไม่รู้จักเห็น เพราะเหตุว่า อาจคิดว่า เห็นเป็นวิบากจิต นี่คือคิด แต่ว่าขณะนั้นเห็นแล้ว และมีอย่างอื่นด้วย ถูกต้องไหมคะ เห็นดับ โดยที่ขณะนี้เป็นอย่างนี้เลยค่ะ ไม่ได้มีแต่เฉพาะเห็นอย่างเดียว มีเห็นแล้วมีคิด แล้วมีได้ยิน แล้วมีคิด แต่จะเข้าใจไหมถึงขณะที่ได้ยิน ได้ฟังว่า เห็นมีจริง และขณะนี้กำลังเห็นตรงนี้ ยังไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีแข็งจริง กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง ไม่ต้องไปรู้ลักษณะอื่นเลย นี่คือลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เป็นจริงอย่างนั้น แต่ไม่คุ้นเคยต่อการเข้าใจลักษณะแต่ละลักษณะ เพราะเหตุว่าแม้ขณะนี้ มีเห็น และมีแข็ง และมีคิด ฟังก็เข้าใจว่ามีทั้งหมดเลย และก็เข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ว่าลักษณะแท้ๆ ยังไม่รู้ความจริงนั้น เช่น แข็งปรากฏ รู้ไหมแข็ง หรือคิดเรื่องอื่น เห็นไหมคะ มีแข็ง แข็งปรากฎ รู้ที่แข็ง หรือคิดเรื่องอื่น หรือเริ่มรู้ว่ามีลักษณะที่แข็ง ฟังอีกทีนะคะ มีแข็ง แข็งปรากฎ ปกติธรรมดา ไม่ได้มีแต่เฉพาะแข็งเลย เพราะพอแข็งแล้วมีคิดนึก เรื่องอื่นไปหมดเลย เหมือนกำลังเห็น ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แข็งก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง คิดเรื่องโน้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อรู้ว่าแข็งปรากฏ ยังไม่รู้ลักษณะที่แข็ง ทั้งๆ ที่ขณะนั้น แข็งปรากฏจริง แต่คิดเรื่องอื่น ไปเรื่องอื่นในทันที แต่ขณะที่ฟัง และแข็งมี และรู้แข็ง ต่างกันไหมค่ะ แค่นี้แหละ ในการที่จะเริ่มคุ้นเคย เริ่มรู้ในลักษณะ ไม่ใช่เพียงเข้าใจว่ามีแข็ง ทั้งๆ ที่แข็งปรากฏ ก็ไม่ได้สนใจที่จะรู้แข็ง ลักษณะแข็ง รึว่าเสียงขณะนี้ เสียงก็มี เพราะได้ยินเสียง ก็เป็นเรื่องอื่นไปหมดเลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรม เกิดดับเร็วมาก แล้วเป็นอื่น คือไม่รู้ลักษณะที่ปรากฏจริงๆ แม้เพียงเล็กน้อย เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่แข็งมี แม้เพียงเล็กน้อยที่รู้ตรงแข็ง เริ่มรู้ว่า ธรรมที่ได้ฟัง มีจริงๆ แล้วเกิดด้วย แล้วดับด้วย แต่ว่ายังไม่ได้รู้จักลักษณะเพียงพอ เพราะว่ามักจะข้ามไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างเห็นในขณะนี้ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วมีเห็น กำลังเห็นด้วย แต่ก็ไม่เคยรู้เฉพาะตรงเห็น เพราะเป็นเรื่องอื่นทันที ด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่าสติสัมปชัญญะที่จะเกิดได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ว่าสติสัมปชัญญะเป็นการรู้ลักษณะ ซึ่งขณะนี้ก็ปรากฏ แต่ไม่ได้รู้ลักษณะ ปรากฏก็ปรากฏไป เป็นคนนู้นไป เป็นเรื่องนั้น เรื่องนี้ไป ขณะใดที่ปรากฏ และรู้ลักษณะที่ปรากฎ ขณะนั้นก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจ ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เป็นเพียง ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่ปรากฏอย่างเร็ว และน้อยมาก ถ้าไม่กำลังรู้ในลักษณะนั้น ก็เป็นอื่นไปโดยตลอดเวลา เหมือนขณะนี้กำลังเห็น ก็เป็นเรื่องเป็นราว เป็นอย่างอื่นไปตลอดเวลา แข็งปรากฏก็เป็นอย่างอื่น คิดนึกเรื่องราวอื่นตลอดเวลา ต่อเมื่อใดเกิดรู้ลักษณะแข็ง เมื่อนั้น ก็แสดงให้เห็นว่ามีลักษณะของธรรม ที่ค่อยๆ เข้าใจ จนกว่าทั้งหมดเป็นลักษณะแต่ละลักษณะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    12 ม.ค. 2567