พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 456
ตอนที่ ๔๕๖
ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑
ผู้ฟัง ในการศึกษาแต่ละคำที่พระพุทธองค์ทรงส่องถึงพยัญชนะเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็จะเป็นปัญญาที่ปรุงแต่งให้เข้าใจด้วย แต่เมื่อยังไม่ลึกซึ้งหรือยังไม่มั่นคงพอ เมื่อฟังแล้วเหมือนยังแยกพยัญชนะกับสิ่งที่มีจริงอยู่ แต่ตราบที่ความมั่นคงและลึกซึ้งพอปัญญาตรงนั้นก็จะปรุงแต่งให้สามารถเห็นถูก เข้าใจถูกว่า คือขณะนี้นั่นเอง ไม่ใช่ขณะอื่น
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปแยกเลย ฟังเข้าใจ ได้ยินคำว่า “ธรรม” ตอนนี้เข้าใจใช่ไหม ไปหาที่ไหน
ผู้ฟัง ไม่ต้อง
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง มีปรากฏอยู่ตลอด
ท่านอาจารย์ มี แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม นี่คือการฟังเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่า สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเราเข้าใจความหมายของ “ธรรม” แล้ว ก็จะมีการฟังธรรมต่อๆ ไป เพื่อเข้าใจยิ่งขึ้นให้ถึงความเป็นธรรม เช่นมีคำว่า “ปรมัตถธรรม” ก็คือธรรม จะไม่ใช่ธรรมได้ไหม เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม เป็นธรรมแต่แสดงว่าธรรม ปรม คือ ยิ่ง อรรถที่อาจารย์นิภัทรบอกว่า เป็นความหมาย ถ้าสิ่งนั้นไม่มีลักษณะที่จะกล่าวถึงความหมายของสิ่งนั้น กล่าวความหมายลอยๆ ก็เหมือนกล่าวเรื่องลอยๆ เรื่องอื่นๆ ใช่ไหม แต่ที่ใช้คำว่า “อรรถ” หรือความหมาย หมายความว่า สิ่งนั้นต้องมีลักษณะที่ส่องถึงความหมายของสิ่งนั้นที่จะกล่าวว่าต่างกันลักษณะของธรรม
เพราะฉะนั้นอีกนัยหนึ่ง ถ้าจะเข้าใจโดยความ ก็คือว่า อรรถหมายความถึงลักษณะ ปรมัตถ์ก็คือจริงๆ ของสิ่งนั้น ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งนั้น ซึ่งจะไม่เป็นอย่างอื่นเลย เพราะฉะนั้นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะว่าไม่รู้ว่าธรรมที่กำลังปรากฏมีลักษณะเฉพาะจริงๆ แต่ละลักษณะ ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย
นี่คือการเริ่มฟังแล้วไม่ประมาทที่จะรู้ว่าขณะนี้มีธรรม แล้วธรรมซึ่งเป็นธรรมก็มีลักษณะจริงๆ ของธรรมแต่ละอย่างจึงเป็นปรมัตถธรรมเพราะเหตุว่าใครไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้เลย เมื่อกล่าวถึงปรมัตถธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีลักษณะจริงๆ แล้วใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้
ด้วยเหตุนี้ก็เริ่มเข้าใจว่าที่เราเริ่มเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นโลก เป็นทุกอย่าง ลักษณะจริงๆ ก็คือเป็นธรรมที่มีลักษณะที่แท้จริงของตนๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แค่นี้พอที่จะรู้ไหมว่าปรมัตถธรรมขณะนี้ที่กล่าวว่ากำลังปรากฏก็มีลักษณะที่แท้จริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้เลย จึงเป็นปรมัตถธรรม เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ มีใครเปลี่ยนแปลงให้ไม่ปรากฏได้ไหมในเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ลักษณะที่แท้จริงก็คือเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เมื่อไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็เป็นธาตุอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะของสภาพธรรมนั้นเองที่เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ คือ เห็น เกิดขึ้นเห็น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้
ด้วยเหตุนั้น ปรมัตถธรรมก็คือ ชีวิตทุกขณะตามความเป็นจริง สิ่งที่ปรากฏทางตา โดยลักษณะที่แท้จริงก็เป็นเพียงธาตุหรือสิ่งที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ และจิตที่กำลังเห็นก็เป็นธาตุที่สามารถจะเกิดขึ้นรู้ คือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา
ถ้าใช้คำว่า “รู้” ที่นี่ ก็เริ่มที่จะเข้าใจความหมายของธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างกับธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย อย่างเช่นแข็ง ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่มีจริงๆ เป็นธรรมแล้วเป็นธาตุด้วย ใครก็เปลี่ยนลักษณะของแข็งนั้นไม่ได้ แต่แข็งไม่เห็น แข็งไม่เจ็บ แข็งไม่คิด เพราะฉะนั้นต้องมีธาตุจริงๆ ซึ่งต่างจากธาตุที่ไม่รู้อะไร ซึ่งธาตุนั้นเราใช้คำว่า “ธาตุรู้” หรือ “นามธาตุ” ในภาษาบาลี หมายความถึง รู้ว่ามีสิ่งใดปรากฏให้รู้ อย่างเห็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปรู้ว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ไม่ใช่รู้อย่างนั้น แต่เห็นคือ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้เห็นที่กำลังปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นรู้คือ เห็น กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จึงรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นปรมัตถธรรมในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ก็คือสิ่งที่ปรากฏเป็นปรมัตถธรรม และธาตุรู้หรือจิตที่กำลังเห็นก็เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่เรา
การฟังธรรมก็คือให้รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ บางคนก็บอกว่าฟังนานมากแล้ว ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏอย่างที่ได้ฟัง พอหรือยัง ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ มีจริงๆ เพราะฉะนั้นพอเอ่ยคำว่า “อวิชชา” หรือ “โมหะ” ก็เข้าใจได้เลย ขณะใดที่ไม่รู้ความจริง และไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ มีธาตุที่ไม่รู้ มีสภาพไม่รู้ ก็ใช้คำเรียกธาตุนั้นว่า “อวิชชา” หมายความว่า ไม่รู้ตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมละเอียดก็จะทำให้สามารถเข้าใจคำที่เราได้ยินได้ฟังแล้วก็ไม่ลืมด้วย ขณะนี้มีอวิชชาไหมขณะใดที่ไม่รู้ แสดงว่ากำลังฟังนี่เข้าใจต้องต่างขณะกับที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นแสดงถึงการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วมากของนามธาตุและรูปธาตุ สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว ไม่รู้เลย มากมาย ใช่ไหม แต่กำลังกล่าวถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เริ่มจะรู้ว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ อย่างขณะที่กำลังไม่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เมื่อครู่นี้ก็ไม่รู้ ตั้งกี่วาระที่เห็นแล้วก็ไม่รู้ ก็ไม่ได้กล่าวถึง เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ว่า อวิชชาความไม่รู้มากแค่ไหน แต่พอกล่าวถึงขณะนี้กำลังเห็น รู้ไหมว่าเห็นขณะนี้เป็นธาตุที่กำลังเห็น เกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่กล่าวอย่างนี้ก็ไม่รู้ ใช่ไหม ขณะนั้นก็คือตัวไม่รู้นั่นเอง ซึ่งมากแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมที่ละเอียด จึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรม แล้วก็รู้ว่าความรวดเร็วของธรรม ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ เราก็คิดเอาเองหมดเลย หรือแม้แต่การอ่านพระไตรปิฎก ซึ่งบางคนอาจจะชอบอ่าน แต่ไม่มีการศึกษาตามลำดับ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่า เข้าใจข้อความที่อ่าน แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจธรรม เข้าใจเพียงคำ อย่างโลภะเป็นสภาพที่ติดข้องต้องการ ยึดในสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ได้เพียงคำแปล แต่เดี๋ยวนี้มีหรือไม่ ลักษณะของโลภะเป็นอย่างไร เป็นธรรมหรือเป็นเรา ก็ไม่สามารถจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียด จึงจะได้สาระจากการฟัง เพราะเหตุว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้น เมื่อฟังเข้าใจ ขณะนั้นค่อยๆ ละความไม่รู้ความไม่เข้าใจจนกว่าจะหมด ไม่ใช่ว่าเมื่อไร แต่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง และเป็นผู้ตรงที่ไม่ต้องถามใครเลย ตอนนี้รู้หรือยังว่าเมื่อไร
ผู้ฟัง การที่ว่าผู้ฟังต้องฟังธรรมอย่างละเอียดจึงจะได้สาระจากพระธรรม ตรงนี้การฟังอย่างละเอียด ถ้าสังเกตจากท่านอาจารย์กล่าวว่าธรรมก็ลึกซึ้งและละเอียด ถ้าพิจารณาจริงๆ ก็จะเห็นว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้ง และเข้าใจยากจริงๆ รู้ตามได้ยากจริงๆ ได้สนทนากับสหายธรรม ก็เห็นว่าแม้ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนให้พวกเราฟังมาหลายสิบปีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ฟังให้เข้าใจก็เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นการเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมตามที่ฟังเข้าใจก็ยิ่งยากไปอีก ในการศึกษาละเอียดแล้วก็เห็นว่าพระธรรมลึกซึ้ง เหมือนกับยังห่างไกลผู้ฟังที่ฟังท่านอาจารย์อยู่มากทีเดียว
ท่านอาจารย์ อีกสักแสนกัปคอยไหวไหม เร็วกว่านั้นก็ได้ใครจะรู้ ใช่ไหม อย่างท่านพระสารีบุตร ๑ อสงไขยแสนกัป แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอย่างท่านพระสารีบุตรใช่ไหม ขอเพียงได้เข้าใจทีละเล็ก ทีละน้อยในสิ่งที่มีจริงๆ แล้วมีใครจะเป็นอย่างท่านพระสารีบุตร หรือมีใครจะเป็นท่านพระอานนท์ แต่ละ ๑ ไม่เหมือนกัน อย่าได้ไปคิดว่าจะเหมือนใครได้เลยแต่ละขณะจิต มิฉะนั้นจะไม่มีความหลากหลายที่กล่าวถึงบุคคลต่างๆ ในพระไตรปิฎก หรือแม้สมัยนี้ก็เหมือนกัน ถ้าจะกล่าวถึงแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ไม่ได้ซ้ำกัน ไม่ได้เป็นอย่างเดียวกันเลย แต่เข้าใจธรรมถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ได้ยินคำว่า “ธรรม” ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เพียงแต่ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม และถ้าได้ยินคำว่า “ปรมัตถธรรม” ก็รู้เลยว่า เป็นธรรมที่มีลักษณะที่เป็นจริง ที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เรายังไม่ได้ศึกษาถึงสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม เพราะว่าเราคุ้นเคยกับเรื่องราว สัตว์ บุคคลต่างๆ อย่างได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นึกถึงบุรุษบุคคลผู้เลิศไม่มีผู้ใดเปรียบปานไม่ว่าจะในจักรวาลไหนทั้งสิ้น แต่ว่าอะไรเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธรรมหรือไม่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมหรือไม่ เป็นปรมัตถธรรมหรือไม่ เป็นปรมัตถธรรมอะไร เห็นไหม ต้องมีการที่จะค่อยๆ พิจารณาว่า ถ้ากล่าวถึงปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งสิ่งที่มีจริงๆ ปรมัตถธรรมไม่เกิน ๔ ประเภท ลองคิดดู เราคิดถึงเรื่องราวมากมาย ต้นไม้ ใบหญ้า ภูเขา น้ำ มากมาย แต่ว่าลักษณะของธรรมจริงๆ ที่เป็นธรรม ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นได้เลยมีต่างกันเป็น ๔ ประเภท คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ยากใช่ไหม เพราะทุกคนมีจิตแน่ๆ สัตว์บุคคลทั้งหลายที่จะเป็นสัตว์บุคคลทั้งหลายได้ไม่ใช่มีแต่รูป เพราะว่ารูปไม่สามารถรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่ถ้ามีแต่รูปก็ไม่เดือดร้อนอะไรเลย แต่เพราะมีธาตุซึ่งเป็นธาตุซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ให้ธาตุนี้เกิดไม่ได้ เพราะความเป็นธาตุ คือสิ่งที่มี พิสูจน์ได้ว่าขณะนี้กำลังมี เมื่อสิ่งนี้กำลังมีก็หมายความว่า ต้องมีธาตุซึ่งเป็นจิต ซึ่งต่างจากรูปธาตุ เพราะเหตุว่าเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วจิตกำลังรู้ลักษณะของสิ่งนั้น รู้สภาพของสิ่งนั้นว่าเป็นอย่างนั้น หรือรู้ความเป็นสิ่งนั้น เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา เราจะไปบอกคนตาบอดสักเท่าไร เขาสามารถนึกฝันได้ไหม สีเขียว สีแดง รูปร่างกลมๆ และอะไรๆ อีกสารพัดอย่าง เขาก็ไม่สามารถนึกถึงได้เลย แต่ขณะนี้เพราะจิตเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้จึงปรากฏได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นปรมัตถธรรม ก็คือสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น มีจริงๆ เป็นธรรม ซึ่งใครก็สร้างขึ้นมาไม่ได้ บันดาลไม่ให้เกิดไม่ได้ ไม่ให้ดับก็ไม่ได้ นี่คือธรรม ปรากฏเมื่อมีจิตประเภทหนึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัยจักขุปสาท กล่าวซ้ำบ่อยๆ ก็เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาว่าขณะนี้กว่าเราจะไม่ยึดถือในเห็น เพราะว่าเป็นเราเห็นมาตลอด แล้วก็ไม่รู้ด้วย พอเห็นก็ไม่รู้เลย ไปสนใจในสิ่งที่เห็น ว่าเห็นอะไร ต้องการอะไร และทั้งวันที่เห็นก็ไม่ได้สนใจเห็นที่จะเข้าใจว่าเพราะเห็นเกิดขึ้น จึงมีสิ่งที่ปรากฏได้ทั้งวัน เหมือนทั้งวัน แต่ความจริงก็มีสิ่งอื่นที่ปรากฏแทรกคั่นด้วย
นี่เป็นการเห็นธรรมตามความเป็นจริงว่า ถ้าเรามีความเข้าใจโดยที่ไม่ข้ามไปว่าแม้ขณะนี้ก็มีธาตุรู้ เป็นธรรมไม่ใช่เรา ฟังเพื่อเข้าใจความเป็นจริงของนามธาตุและรูปธาตุเพื่อให้รู้ว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสามารถบันดาลให้เกิดได้ แล้วเมื่อไรจะรู้จริงๆ อย่างนี้ เดี๋ยวก็ลืมอีกแล้ว นี่เป็นสิ่งซึ่งควรฟังบ่อยๆ เพราะว่าฟังแล้วเข้าใจขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นการบังคับ ไม่ใช่เป็นการบอก ไม่ใช่เป็นการสั่ง แต่ให้เห็นประโยชน์ เมื่อเห็นประโยชน์แล้วก็จะมีศรัทธาฟังให้เข้าใจยิ่งขึ้นตลอดชีวิตจนกว่าจะรู้ความจริง เพียงแค่ปรมัตถธรรมซึ่งมีชื่อให้รู้ว่าต่างกันเป็น ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน กล่าวแล้วจริงๆ ตั้งแต่ปีไหนแล้วก็ไม่ทราบ แต่ก็ลืม ก็กล่าวอีก ย้ำอีก เท่านั้นเอง
ผู้ฟัง นั่นหมายถึงว่าผู้ใดก็ตาม ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมก็ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่จริงอย่างยิ่ง ที่ว่ามีลักษณะเฉพาะแต่ละลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงละเอียดที่จะตรัสรู้ว่าสภาพธรรมแต่ละอย่างมีลักษณะอย่างไรปรากฏให้รู้ได้ ซึ่งในชีวิตประจำวันถ้าไม่ฟังเลย ก็เห็น ก็ได้ยิน ซึ่งบางคนอาจจะงงด้วยซ้ำไปว่ามาเรียนอะไรกัน เรียนเรื่องเห็น ได้ยิน แล้วก็เรื่องคิดนึก ทุกคนก็เห็น ได้ยิน แล้วก็คิดนึก มาเรียนอะไรกันที่เป็นของธรรมดามากเลย แต่เมื่อฟังเข้าใจก็จะทราบว่า ความจริงของเห็น ความจริงของได้ยิน ถ้าไม่มีการฟัง จะไม่วันรู้ความจริงของสิ่งที่รู้ได้ ๖ ทางนี้เลย ว่าเป็นรูปเป็นนามที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป ตรงนี้ก็เป็นความซาบซึ้ง ในพระคุณของทั้งพระพุทธเจ้าและของท่านอาจารย์ที่นำสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และนำมาพร่ำสอนให้พวกเราพอจะรู้ตามได้ตามกำลังปัญญาอันน้อยนิด แต่คิดว่ามีประโยชน์มากที่ได้มีโอกาสได้ฟังและสั่งสมความเข้าใจแม้ทีละเล็กทีละน้อย ตามอวิชชาที่มากและปัญญาที่น้อย กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเห็นความต่างของผู้ฟังกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ สุดที่จะเปรียบประมาณได้ เพราะฉะนั้นเมื่อได้เห็นพระมหากรุณาคุณ ก็เห็นประโยชน์ของการที่จะไม่เพียงแต่กราบไหว้เคารพบูชาโดยไม่เข้าใจธรรม เพราะว่าถ้าเป็นโดยลักษณะนั้น ก็จะไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพียงแต่ได้ยินชื่อเท่านั้นเอง
อ.อรรณพ ตั้งแต่ช่วงเช้า ท่านอาจารย์ก็ได้แสดงคุณค่าของการฟังธรรม ก็เป็นช่วงเช้าที่มีความสุขสำหรับผู้มีศรัทธาใคร่ที่จะฟังธรรม เพราะอะไรทำไมต้องฟังธรรม แล้วทำไมต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย ก็ไม่มีวันที่จะรู้ว่าเป็นธรรมเลย หรือเพียงแต่จะคิดนึกโดยเข้าใจขั้นคิดนึกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราก็ไม่มีทางเลยถ้าไม่ได้ฟังธรรม แต่เมื่อฟังธรรมแล้ว ฟังพอหรือยัง ถ้ายังฟังไม่พอ ก็ลืมว่าเป็นธรรมอยู่เสมอ ไม่ต้องออกไปจากห้องนี้ แม้ผู้ที่ฟังธรรมแล้ว หันไปเห็นคนโน้นคนนี้ ลืมแล้วว่า เป็นธรรม ก็เป็นคนโน้นคนนี้มาถาม หรือคนนั้นคนนี้กำลังนั่งอยู่ตรงโน้นตรงนี้ เพราะฉะนั้นนั่นคือการฟังที่ยังไม่พอ ก็จะลืมว่าเป็นธรรมอยู่ตลอด เพราะว่าไม่ค่อยได้สะสมการจำว่าเป็นธรรม แต่สะสมความจำว่า เป็นคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ มามากกว่า ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมาว่าเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ก็มีความจำที่เป็นตัวตน เป็นอัตตสัญญามากกว่า
เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อจะสะสมความเข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วก็ลืมว่าเป็นธรรมน้อยลง นั่นคือประโยชน์ของการได้ฟัง ซึ่งความเข้าใจก็เป็นไปตามลำดับ ความเข้าใจในขั้นฟัง กว่าจะสู่ขั้นระลึกรู้สภาพธรรมก็เป็นคนละขั้น และแม้ในขั้นการฟัง ปัญญาที่เข้าใจความจริง ในขั้นฟังหรือสัจญาณก็มีระดับขั้น เริ่มฟังนิดหน่อยก็ยังผิวเผิน แต่เมื่อฟังบ่อยขึ้น พิจารณาเพิ่มขึ้น มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นๆ นั่นคือลำดับความเป็นไปของการสะสมปัญญาแม้ในขั้นฟัง ก็มีตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งมั่นคงขึ้น ซึ่งก็คงฟังกันมานานไม่รู้ว่ากี่ชาติ แต่ว่าเล็กน้อยหรือว่าผิวเผินแค่ไหน ก็คงจะสะสมการฟังมาบ้าง แต่ว่าการฟังนั้นคงยังไม่พอ เพราะว่าถ้าการฟังนั้นมั่นคงก็จะรู้ว่าเป็นธรรม เมื่อสติมีเหตุปัจจัยจะเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนี้
อ.วิชัย การฟังพระธรรม ก็คงเข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ด้วย อย่างเช่นเราฟังบ่อยๆ เรื่องของจิตประเภทต่างๆ บ้าง เรื่องของเจตสิกประเภทต่างๆ บ้าง เรื่องของรูปต่างๆ บ้างที่ทรงแสดงได้เพราะพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง ดังนั้นลักษณะของสภาพธรรมมีจริง แต่การที่จะกล่าวแสดงให้บุคคลอื่นได้เข้าใจ ก็ทรงบัญญัติพยัญชนะต่างๆ บุคคลที่ฟังสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นในครั้งโน้นก็ทรงแสดงเป็นภาษาบาลีที่มีการสืบต่อกันมา สำหรับบุคคลที่สามารถเข้าใจในภาษาใดแล้วสามารถเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ อย่างเช่นคำว่า “จิต” ก็เป็นภาษาบาลี ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียด ก็ไม่สามารถเข้าใจจริงๆ ถึงลักษณะของจิตว่ามีลักษณะอย่างไร จิตไม่ใช่มีสรีระหรือรูปร่างอะไร แต่ว่าเป็นลักษณะของนามธรรมคือเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ขณะที่รู้คือ ได้ยินบ้าง เห็นบ้าง รู้เรื่องราวต่างๆ บ้าง ขณะนั้นก็เป็นลักษณะของนามธรรมที่เป็นธาตุรู้ มีจริงในขณะนี้เพราะเหตุว่าขณะนี้ทุกท่านกำลังคิด กำลังมีธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ เกิดดับสืบต่อกัน แต่ว่าการเกิดดับสืบต่อของนามธรรมไม่ได้ปรากฏในขณะนี้ เพราะระดับของความรู้ความเข้าใจก็มีหลายระดับขั้น แม้ในขั้นของการเริ่มที่จะเข้าใจในลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม ก็เป็นสิ่งยากที่จะเข้าใจเพราะเหตุว่าธาตุรู้ที่เป็นปัญญาก็ต้องเป็นสังขารธรรมมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
ดังนั้นปัจจัยปรุงแต่งให้ความเข้าใจเกิดขึ้น ก็คือฟังในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง แล้วก็ทรงแสดงแก่บุคคลที่ฟัง ที่สั่งสมมามีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้ปัญญาเกิดขึ้น ที่จะรู้ธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดง แม้ในครั้งโน้นก็มีการฟัง แล้วบรรลุเป็นพระอริยบุคคลแต่ละระดับขั้นตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลจนถึงพระอรหันต์ หรือบางบุคคลก็ไม่บรรลุ แต่สามารถเข้าใจได้ แล้วก็มีการสั่งสมต่อๆ ไป
เพราะฉะนั้นการที่จะถึงขั้นที่จะบรรลุ ก็ต้องมีการเริ่มต้นด้วยการฟัง และที่สำคัญของการฟังคือ สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แม้จะใช้ถ้อยคำต่างๆ แต่จุดประสงค์ก็คือให้เข้าใจในลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม ไม่ใช่เรื่องราวต่างๆ
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 421
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 422
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 423
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 424
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 425
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 426
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 427
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 428
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 429
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 430
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 431
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 432
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 433
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 434
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 435
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 436
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 437
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 438
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 439
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 440
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 441
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 442
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 443
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 444
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 445
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 446
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 447
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 448
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 449
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 450
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 451
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 452
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 453
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 454
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 455
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 456
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 457
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 458
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 459
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 460
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 461
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 462
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 463
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 464
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 465
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 466
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 467
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 468
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 469
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 470
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 471
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 472
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 473
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 474
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 475
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 476
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 477
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 478
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 479
- พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 480
