พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 421


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๒๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ อย่างคำว่ารู้ทั่ว เมื่อเห็นจะมีจิตคิด

    ท่านอาจารย์ คิดนี่ กำลังคิด ไม่ได้รู้จิตที่เห็นด้วย แล้วก็ไม่รู้จิตที่คิดด้วย

    ผู้ฟัง กำลังคิดก็ยังไม่รู้เลยว่าคิด

    ท่านอาจารย์ ก็คิดเป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เอาแค่นี้ จนกว่าจะเป็นธรรมจริงๆ

    ผู้ฟัง รู้เป็นธรรมก่อน

    ท่านอาจารย์ รู้จริงๆ ด้วย ไม่ใช่แค่คิด หรือจำ

    อ.วิชัย ในขั้นการฟังที่ว่า ในการคิด หรือตรึกในเรื่องของการเข้าใจในขั้นการฟังว่า มีสภาพธรรมที่เกิดดับ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่สามารถที่จะละความสงสัย หมายถึงว่าความที่ละเอียดถึงความสงสัยในสภาพธรรมจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็ต้องรู้ว่าขณะนี้สามารถที่จะเข้าใจอะไรได้ แล้วก็เข้าใจสิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้แล้ว หรือยัง ถ้าเรายังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้ ความสงสัยทั้งหมดของเราจะมีประโยชน์ไหม เพราะว่าจะสงสัยไปตลอดหมด สงสัยทุกอย่าง สงสัยทุกคำ สงสัยแม้คำ ตรงนี้ทำไมไม่เหมือนตรงนั้น หมายความว่าอย่างไร อะไร ก็สงสัยไปโดยตลอด

    อ.วิชัย หมายความว่า ถ้ายังไม่เข้าใจถูกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่เจริญขึ้นเรื่อยๆ ต้องถึงระดับที่ละจริงๆ คือ โสตาปัตติมรรคที่จะละความสงสัยได้เป็นสมุจเฉท ความสงสัยก็ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก แม้ในขั้นการฟัง แม้ในลักษณะของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ สงสัยเกิดเมื่อไร ความเป็นเราอยู่ตรงนั้น เราสงสัยใช่ไหม ไม่ใช่ความสงสัยเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ต้องอบรมเจริญความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมจนกว่าจะชิน ก่อนจะคลาย และประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่ต้องไปคิดว่า แล้วอะไรเกิด อะไรดับ ก็ยังสงสัยต่อไปอีก ใช่ไหม

    ผู้ฟัง อย่างแข็ง ไม่มีใครที่จะไม่รู้แข็ง แต่ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คำถามเดิม แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏก็กำลังปรากฏให้เห็น แล้วมีได้ยินไหม

    ผู้ฟัง มีได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ถ้าจริงๆ ขณะนั้นคุณสุกัญญากำลังสนใจในสิ่งที่ได้ยิน ทางตาจะไม่สนใจ เหมือนกับเวลาที่คิดว่าขณะนี้ทางตา อะไรปรากฏ นี่คือความสงสัย แต่เวลาที่มีแข็งปรากฏขณะนั้น แสดงว่าคุณสุกัญญาไม่ได้สนใจในสิ่งปรากฏที่จะถาม หรือเวลาที่เสียงปรากฏ ขณะนั้นก็แสดงว่า ไม่ได้สนใจใส่ใจในสีสันวัณณะที่ปรากฏทางตา นั่นแหละคือลักษณะของสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เพียงปรากฏ เหมือนเสียงปรากฏ เหมือนแข็งปรากฏ แต่ความรวดเร็วก็ทำให้สืบต่อกัน แล้วความสนใจนี้อยู่ที่ไหน อย่างที่คุณสุกัญญาบอกว่า อยู่ที่ความจำว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอะไร แต่เวลาที่ได้ยินเสียงทางหู รู้ หรือไม่ว่า จำเสียง แล้วก็รู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไรด้วย

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นได้ว่า ทุกอย่างปรากฏสั้นมาก เล็กน้อย อยู่ที่ความใส่ใจ อยู่ที่ความเข้าใจ หรืออยู่ที่ความสงสัย หรืออยู่ที่ความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นธรรมก็คือธรรม ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เสมอกันหมด สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ก็เหมือนเสียงที่ปรากฏทางหู เหมือนแข็งที่ปรากฏทางกาย จะต่างกันอย่างไร เพียงแต่ว่าลักษณะของสิ่งที่ปรากฏนั้นไม่ใช่อย่างเดียวกัน

    ผู้ฟัง อย่างเสียง เมื่อพูดว่าเสียง ไม่มีใครไม่รู้จักเสียง

    ท่านอาจารย์ และเมื่อพูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็กำลังเห็น มีใครบ้างไม่เห็น เหมือนกับว่า มีใครบ้างไม่ได้ยิน

    ผู้ฟัง อย่างนั้นเหมือนกับว่า ก่อนที่จะเป็นเสียง ยังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏทางหู หรือ

    ท่านอาจารย์ เวลาที่มีความเข้าใจถูก คำพูดจะถูก บ่งถึงความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น หรือว่ายังเคลือบแคลง ยังสงสัย ยังไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพูดอีกครั้งหนึ่ง

    ผู้ฟัง เสียง เมื่อปรากฏขึ้นก็รู้ความหมายของเสียงนั้น

    ท่านอาจารย์ ใครรู้

    ผู้ฟัง เรารู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังรู้ ไม่ใช่ได้ยินเสียง แต่ต้องได้ยินก่อน เหมือนกำลังเห็น เห็นก่อน แล้วก็คิดว่าเห็นอะไร

    ผู้ฟัง อย่างนั้นก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางหู

    ท่านอาจารย์ แน่นอน นี่คือสภาพธรรมที่มีจริง แต่ชาวโลกไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นก็อยู่ในโลกของความคิดเรื่องสิ่งที่มีจริง เหมือนกับว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเที่ยง แต่ความจริงเพียงแค่คิด สิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏแล้ว แต่เร็วมาก จนกระทั่งเหมือนปรากฏอยู่ตลอดเวลา

    ด้วยเหตุนี้ความจริงเป็นความจริง คือ ธรรมแต่ละลักษณะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เร็วมาก จึงต้องอาศัยความเข้าใจอย่างเดียว ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกซึ่งเป็นปัญญา จึงสามารถจะรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จริงๆ นั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่มีสิ่งใดซึ่งซ้ำ เกิดแล้วดับไป หมดไป ไม่เหลือเลย ไม่ว่าจะเป็นทางหนึ่งทางใดทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง ที่เราเรียกว่า แข็ง ก็ยังมีลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางกายด้วย หรือ คือก่อนแข็ง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ก่อนแข็งเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องมีกายวิญญาณรู้ลักษณะของธาตุดินที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็งปรากฏเมื่อไร

    ผู้ฟัง เมื่อรู้แข็ง

    ท่านอาจารย์ ต้องมีสภาพรู้กำลังรู้ลักษณะแข็ง รู้จักแข็งว่าเป็นอะไร หรือว่ารู้แข็ง

    ผู้ฟัง คือรู้จักแข็งว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ กำลังมีแข็งปรากฏ ไม่ได้คิดว่า แข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะขณะนั้นลักษณะที่แข็งปรากฏ จะมีอย่างอื่นปรากฏด้วยไม่ได้ สภาพธรรมที่ปรากฏ ปรากฏเพียงทีละลักษณะ ตามความเป็นจริงแต่ละทาง ปะปนกันไม่ได้เลย อย่างเสียงสามารถปรากฏได้เมื่อมีจิตได้ยินเกิดขึ้นโดยอาศัยโสตปสาท จะไปปนกับสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้เลย เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้กระทบโสตปสาท เป็นธาตุที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท แล้วจิตชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเห็น จิตนั้นไม่ใช่จิตที่เกิดขึ้นได้ยิน เพราะฉะนั้นไม่ใช่มีใครเลยสักคนเดียว นอกจากมีธาตุ หรือเป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป

    ผู้ฟัง เมื่อกี้นี้ท่านอาจารย์แสดงว่า ในขณะที่ได้ยินเสียง หมายความว่าเข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ยิน หรือ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีตอนนั้น

    ท่านอาจารย์ สลับกัน แต่ไม่ได้หมายความประเภทเดียวกัน ไม่ใช่พร้อมกันในขณะเดียว นี่แสดงถึงความรวดเร็วของจิต จึงต้องศึกษาให้เข้าใจว่า สภาพธรรมที่จะปรากฏได้ต้องอาศัยอะไรบ้าง และแต่ละลักษณะด้วย พร้อมกันไม่ได้ แต่เพราะความรวดเร็ว ก็เสมือนว่าพร้อมกัน แต่จะให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เวลาที่กำลังสนใจในเสียง ขณะนั้นเป็นลักษณะของสิ่งที่เพียงปรากฏเพราะกำลังสนใจในเรื่องเสียง

    เพราะฉะนั้นการที่จะสงสัยว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นอะไร ในขณะนั้นก็ไม่เหมือนกับที่เคย เห็นแล้วก็รู้ และคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏ แล้วแต่จะยาวจะสั้น แต่แม้ขณะนี้ให้ทราบว่า เพียงขณะที่จิตเป็นการรู้ทางอื่น ทางตาก็ไม่มีเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏทางตาสืบต่อมากมายเหมือนเช่นเคย เป็นหนทางที่จะทำให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จะเห็นได้ว่า เป็นการสะสมอบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งตรงกันข้ามกับความไม่เคยรู้มาก่อนเลยในสังสารวัฏที่ยาวนานมาก

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราจะไปทำอะไรให้รู้ ทำอย่างไร ทำอะไร ไม่ถูกต้อง เพราะขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ความเห็นถูกที่เริ่มสะสมในขั้นของการฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ต้องไปคิดไปหวังว่า แล้วเมื่อไรลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฏโดยแท้จริง โดยที่ไม่มีสิ่งอื่นจะมารวมให้เป็นโลกที่มีทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งอะไรมากมาย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวเหมือนกับว่า ถึงแม้ว่าแข็งที่เรารู้ หรือเสียงที่เรารู้ ก็ยังไม่ใช่ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาจะถามคนอื่น หรือพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า แข็งนี่จริง หรือไม่

    ผู้ฟัง คือถ้าสมมติว่า แข็ง ...

    ท่านอาจารย์ ข้าววันนี้เหนียว หรือนุ่ม หรือแข็ง พอทานข้าวไม่แข็ง เขาเรียกว่า ข้าวแฉะ บางคนก็ชอบรับประทานข้าวแข็งๆ มีคนหนึ่งท่านชอบรับประทานข้าวแข็งๆ มากเลย ดิฉันก็แปลกใจว่า ข้าวแข็งอย่างนี้ ท่านชอบได้อย่างไร เพราะปกติเป็นคนชอบข้าวแฉะ แต่ไม่ใช่แฉะเป็นน้ำไปเลย แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะที่แข็งมากๆ แต่พอรับประทานกับท่านบ่อยๆ ข้าวแข็งนี่ก็อร่อยดีเหมือนกัน ค่อยๆ เปลี่ยนทัศนะ เพราะความคุ้นเคย นี่ก็เป็นไปได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นถึงการสะสมซึ่งนานแสนนานมาแล้วในสังสารวัฏ แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะได้สะสมประสบการณ์ หรือการเห็น การได้ยิน การคิดนึกอย่างไรมา ก็จะเป็นไปตามการสะสม

    เพราะฉะนั้นการที่คุณสุกัญญาจะบอกว่าไม่รู้ว่าแข็ง ก็น่าสงสัย ไม่มีอะไรแข็งเลยสักอย่าง หรือ มะม่วงดิบ แข็งไหม มะม่วงสุกแข็ง หรือไม่ ก็ไม่น่าจะไม่รู้ว่า แข็งเป็นอย่างไร ต้องมีแข็ง แต่ไม่เคยรู้ว่าแข็งเป็นธรรม นี่เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจ ทั้งหมดเป็นมะม่วง เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ไม่เคยรู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว แข็งเท่านั้นที่มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้นแข็ง เวลาแข็งเกิด จะเป็นเก้าอี้ หรือจะเป็นแข็ง

    ผู้ฟัง ก็เป็นแข็ง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าไม่เคยรู้แข็งไม่ได้ แข็งมี และสภาพที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง ไม่ใช่คุณสุกัญญา แต่มีจริงๆ ลักษณะนั้นเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นก็ต่างกับธาตุซึ่งไม่สามารถจะรู้ แม้แข็งจะวางอยู่ในจาน จานก็ไม่รู้ว่า มีสิ่งที่แข็ง หรือสิ่งที่แข็งวางอยู่ในจาน สิ่งที่อยู่ในจานก็ไม่รู้ว่า กำลังอยู่บนแข็ง แต่ขณะใดที่ลักษณะแข็งปรากฏ เพราะมีสภาพที่รู้แข็ง ถ้ามีกายปสาทจะไม่รู้แข็ง ไม่รู้อ่อน ไม่รู้เย็น ไม่รู้ร้อน ไม่รู้ตึง ไม่รู้ไหว เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ใช่ตามใจชอบ หรือคิดว่าจะบังคับบัญชาได้ แต่เมื่อถึงกาละที่จะรู้แข็ง สภาพที่รู้แข็งจึงเกิดได้ ไม่รู้อย่างอื่น แต่ขณะนั้นกำลังรู้แข็ง

    ผู้ฟัง เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เห็นถูกแม้ในขั้นการฟัง ถ้าแม้ในขั้นการฟัง ไม่ได้ตรงตามลักษณะของสภาพธรรม แล้วจะให้ถึงปัญญาที่รู้แจ้งความจริงของสภาพธรรมนั้นได้อย่างไร

    ผู้ฟัง แล้วสิ่งที่ปรากฏแล้วก็จะไม่กลับมาอีก

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

    ผู้ฟัง ถึงแม้จะเป็นดอกกุหลาบสีขาวเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ดับไปเลย เห็นก็เห็น แต่ขณะนั้นมีคิด และมีได้ยินคั่น แสดงว่าอะไร

    ผู้ฟัง แสดงว่าสภาพธรรมเกิดดับรวดเร็วมาก แล้วก็มีความไม่รู้อยู่ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ จึงต้องฟังพระธรรมซึ่งเป็นขณะที่หายากในสังสารวัฏ ขณะที่จะเป็นใหญ่เป็นโต มีลาภ มียศ เป็นมหากษัตริย์ เป็นคฤหบดีมหาศาล มีได้ตามผลของกรรม แต่ว่ากรรมนี้ไม่ได้สิ้นสุดเลย เกิดมาก็เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง นานแสนนานมาแล้ว แล้วก็ยังต่อไปอีก เพราะฉะนั้นปัจจัยที่จะให้เกิดสุข เกิดทุกข์ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ก็เป็นธรรมดา แต่โอกาสที่จะได้ฟังธรรม ถ้าในขณะนี้เราก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมยังมีอยู่ แต่ถ้าไม่ฟังก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ทั้งๆ ที่เป็นธรรม เป็นความจริง

    ผู้ฟัง จะกราบเรียนถามว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดขึ้น ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แต่ทำไมเห็น ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ยาวนาน

    ท่านอาจารย์ ระหว่างเห็น ไม่ได้คิดอะไรเลย หรือ และไม่ได้ยินอะไรเลย หรือ หรืออย่างไร

    ผู้ฟัง คิดแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ขณะคิด ไม่ได้เห็น

    ผู้ฟัง แต่ท่านอาจารย์บอกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แต่ทำไมรูปพรรณสัณฐานมันยังอยู่

    ท่านอาจารย์ ก็ยังมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ โดยกรรมยังไม่ทำให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง แล้วจะเหมือนกันไหม ที่ขณะหนึ่งที่ดับไปจะเหมือนกับอีก ๑ ขณะที่เกิดขึ้นไหม

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาก็อาจจะคิดแบบใหม่ เอากล้องมาส่องดูซิ จะเหมือนเดิม หรือไม่ ขยายให้ใหญ่เลย หรืออะไรอย่างนั้น ไม่ต้องไปคิดอย่างนั้นเลย แต่ถ้าคุณสุกัญญาสามารถเห็นถูกต้องว่า แม้ในขณะที่เหมือนเห็นสิ่งนั้น แต่ก็ยังมีเสียงคั่น และกำลังเห็นอย่างนี้ เสียงใหม่มาอีกแล้ว ไม่ใช่เสียงเก่าด้วย แล้วมาได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นรูปทุกรูปก็คือเกิดขึ้นเพราะสมุฏฐาน แล้วแต่ว่าจะเป็นสมุฏฐานใด คุณสุกัญญาไม่เคยเห็นดิฉันเมื่อ ๕๐ ปีก่อน เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนตอนนั้นเลย นี่ก็แสดงให้เห็นว่าอย่างไร ถ้าขณะนี้แต่ละขณะไม่ดับไปๆ ๆ ๆ เหมือนไม่ปรากฏแต่ละวันๆ จะถึงกาละที่จาก ๕๐ ปีก่อน มาเป็นขณะนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่สภาพธรรมที่เกิดดับเร็วมาก อย่างดวงอาทิตย์ คุณสุกัญญาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงไหม ก็ต้องยอมรับใช่ไหม ถึงไม่เห็น แต่สภาพธรรมเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วใครรู้ได้ ใครแสดงได้โดยละเอียด จะไปทำสิ่งที่เป็นจริงให้ง่าย ให้ตื้น แล้วก็จะคิดว่า จะรู้ได้ด้วยวิธีอื่น ก็คือไม่เคารพในพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง แข็ง เราก็ไม่ได้สังเกต อย่างที่ผมเคยกราบเรียนถามท่านอาจารย์เวลาผมเดินตอนเช้า หรือเดินไปไหนมาไหน ไม่ได้รู้สึกเลยว่า มันแข็ง ไม่รู้สึกจริงๆ นั่นเรียกว่าเราลืม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้สึกว่ากำลังจับไมโครโฟนแข็ง

    ผู้ฟัง ใช่ มันลืมสติใช่ไหมครับ อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ไม่ แล้วแต่ว่าจิตขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เหมือนกับทุกคนได้ฟังแล้วอยากจะเรียกให้ถูก ถามเลยว่า นี่อย่างนั้นใช่ไหม นั่นอย่างนี้ใช่ไหม แต่ตามความเป็นจริงขณะที่กำลังได้ยินเสียง จะมีแข็งปรากฏได้ไหม

    ผู้ฟัง โดยปกติไม่ได้ โดยธรรมไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตามความเข้าใจที่ถูกต้องไม่ได้ ในขณะที่กำลังได้ยิน แข็งปรากฏไม่ได้เลย สีสันวัณณะปรากฏไม่ได้เลย คิดนึกก็ปรากฏไม่ได้เลย ไม่มีอะไรเลย นอกจากจิตได้ยิน และเสียง นี่คือความถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นจะมาสงสัยเรื่องอะไร ก็ในขณะที่กำลังจับไมโครโฟน แต่ว่าขณะนั้นกายวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นรู้แข็ง แต่กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นในขณะที่เสียงปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ได้ปรากฏ กลิ่นก็ไม่ได้ปรากฏ รสก็ไม่ได้ปรากฏ คิดนึกไม่มี ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ความจริง สัจธรรม คือ ขณะนั้นไม่มีโลก ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไร แต่กำลังมีธาตุรู้ที่ได้ยินเสียง และมีเสียงเท่านั้น ถ้าเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ขณะที่กำลังฟังอย่างนี้ เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นไม่ใช่คุณเด่นพงศ์ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ผม

    ท่านอาจารย์ ที่เข้าใจเป็นสติ และปัญญา ขณะจิตนั้นไม่มีใครเลย แต่เป็นสภาพของโสภณธรรม จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นสี เสียง กลิ่น รส เรื่องราวอะไรๆ ทั้งหมด จิตไม่ทำหน้าที่อื่นเลย นอกจากเป็นธาตุรู้ แล้วก็มีเจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วย แล้วแต่ประเภทของจิต ขณะที่เข้าใจ ลักษณะที่เข้าใจมี กำลังเข้าใจถูก นั่นเป็นลักษณะของปัญญา แล้วคุณเด่นพงศ์จะต้องไปเรียกอะไร หรือเปล่า ประการหนึ่ง แล้วความเข้าใจของคุณเด่นพงศ์ขั้นนี้ คือ ความเข้าใจจากการฟัง แต่ก็รู้ว่า แค่นี้ละกิเลสไม่ได้เลย เพราะว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะอย่างที่กล่าวนั้นเลยจริงๆ ว่า ขณะนั้นไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น โลกไม่มี คนไม่มี มีแต่ธาตุรู้ซึ่งกำลังได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้นถ้าขณะนั้นไม่เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ความรู้อีกระดับหนึ่งซึ่งสามารถรู้ลักษณะจริงๆ ของธรรมที่คุณเด่นพงศ์ฟังแล้วเข้าใจ แต่ยังไม่ถึงระดับนั้น เพราะฉะนั้นก็แสดงว่า แม้ปัญญา และกุศลธรรมทั้งหลายก็มีหลายระดับขั้น ยังสนใจจะเรียกชื่อ ก็จะบอกได้ว่า ความรู้ขั้นฟังไม่ใช่ความรู้ขั้นรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสภาพธรรมปรากฏ แล้วขณะที่ฟังนี้ก็มีขณะที่กำลังรู้ลักษณะ มีลักษณะปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็ต่างระดับขั้น ที่เราใช้คำว่า “ปัฏฐาน” หมายความถึงที่ตั้งของสติสัมปชัญญะ เพราะว่าลักษณะนั้นมีจริงๆ ให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมนั้นได้

    ผู้ฟัง อยากจะทราบเกี่ยวกับปัญญาว่า เขาเกิดอย่างไร เขาเจริญอย่างไร ฟังธรรมอย่างไรถึงจะเจริญปัญญาได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าตอบสั้นๆ เพื่อให้วิทยากรท่านอื่นได้แสดงความเห็นด้วย ขณะที่ไม่รู้ ไม่ใช่ปัญญา

    อ.ธิดารัตน์ ลักษณะของปัญญาก็คือรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง นอกจากรู้ถูกต้องขั้นการศึกษา ขั้นความเข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรม แล้วยังสามารถรู้ถูกต้องในลักษณะของอริยสัจจ์ ซึ่งได้แก่รู้ถูกต้องสภาพที่เป็นทุกข์ รู้ถูกต้องสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาทั้งหมด ซึ่งก็เป็นกิจของปัญญา ซึ่งก็รวมปรมัตถธรรมทั้ง ๔ ที่ปัญญาสามารถรู้ถูกต้องได้ทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นลักษณะของปัญญาจะต้องรู้ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่เหมือนกับปัญญา หรือความฉลาดที่เราคิดกันทางโลก เพราะฉะนั้นปัญญาในธรรม คือจะต้องรู้ลักษณะของธรรมตามความเป็นจริง หรือแม้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามการศึกษาก็เป็นลักษณะของปัญญาเหมือนกัน

    อ.ธีรพันธ์ ปัญญาก็เป็นเจตสิกที่ไม่เกิดทั่วไป เกิดกับกุศล วิบาก กิริยา แต่สำหรับการอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นการอบรมเจริญกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา แล้วปัญญาก็ไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นเจตสิกที่มีจริงที่ทำกิจรู้ความจริงในขณะนี้เอง

    ผู้ฟัง คือเวลาฟังธรรมให้เข้าใจเป็นปัญญา ขณะที่ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ก็จะมีการระลึก และศึกษา ในขณะที่ระลึก และศึกษาสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตอนนั้นก็ไม่พ้นจากการคิดนึก ตรงนี้ยังไม่เรียกว่า เป็นปัญญา ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีอะไรบ้างที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ท่านอาจารย์ มีแน่ๆ มีจริงๆ เป็นอะไร สิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสี

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เข้าใจอย่างนี้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ปรากฏจริงๆ ใครก็ห้ามไม่ให้ปรากฏไม่ได้ เมื่อไร

    ผู้ฟัง เมื่อมีการเห็น

    ท่านอาจารย์ เมื่อเห็น ถ้าเห็นไม่เกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาจะปรากฏได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นความเข้าใจ หรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ซึ่งก่อนนี้ไม่เข้าใจ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคุณชุณห์เข้าใจอะไรในวันหนึ่งๆ ถ้าจะเข้าใจ จะเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนนี้ไม่เข้าใจอย่างนี้ แต่พอตอบอาจารย์ได้ว่า เมื่อเห็นก็ต้องพิจารณาดูว่า คำถามที่อาจารย์ถาม มันเป็นอย่างไร แล้วต้องคิด ต้องนึกก่อน ถึงจะตอบอาจารย์ได้ว่า เมื่อเห็น ...


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 169
    21 ธ.ค. 2566