ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๙๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงต้องใช้คำให้เป็นที่รู้ร่วมกันว่า คำนี้ทุกคนที่ได้ฟัง รู้ร่วมกันว่าหมายความถึงสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าธรรมไม่มีชื่อนี่แน่นอน แต่ธรรมถ้าเกิดแล้วดับไป ไม่มีอะไรสืบต่อเลยก็ไม่ปรากฏเพราะเร็วมาก แต่ที่ปรากฏนับไม่ถ้วนหลายขณะแล้ว จนกระทั่งการเกิดดับสืบต่อ ทำให้เกิดปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานที่เห็นด้วยตา เห็นอะไร คิ้ว จมูก หู เห็นไหม เป็นรูปร่างเป็นสัณฐานต่างๆ ไม่เรียกเลยก็ได้ แต่ก็ยังเห็นความต่าง เพราะการเกิดดับสืบต่อของธรรม ด้วยเหตุนี้ปัญญัตติในภาษาบาลี ซึ่งภาษาไทยใช้คำว่าบัญญัติหมายความว่ารู้ได้โดยอาการนั้นๆ ไม่ต้องเรียกชื่อก็รู้ได้ ใช่ไหม งูเห็นสัตว์ที่กินได้ ไม่รู้เลยว่าชื่ออะไร คนไทยตั้งชื่อสารพัด ทางวิชาการต่างๆ ตามชื่อชาวบ้านชาวเมืองแต่ละท้องถิ่น แต่งูไม่ต้องรู้เลยกินได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเขาสามารถที่จะรู้ปัญญัตติคือรู้ได้โดยอาการนั้นๆ ว่า เป็นสิ่งนั้นแม้ไม่มีชื่อ ด้วยเหตุนี้จึงมีปรมัตถสัจจะกับปัญญัตติ หมายความว่าบัญญัติหรือสมมติ ก่อนที่จะถึงสมมติเราต้องเข้าใจปัญญัตติก่อนว่ายังไม่มีคำแน่ๆ เด็กเกิดมาเห็น เห็นเหมือนเราเห็นไหม เหมือนเลยไม่ได้ต่างกันเลย แต่เรารู้ใช่ไหมว่าอะไร แต่เด็กรู้ไหม ไม่รู้ แต่รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏกับเด็ก ก็ต้องเหมือนกับสิ่งที่ปรากฏกับทุกคน เปลี่ยนไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นรูปร่างสัณฐานที่ปรากฏให้รู้ได้โดยอาการนั้นๆ ใช้คำว่าปัญญัตติ หมายความว่ารู้ได้โดยอาการนั้นๆ แต่ว่ารู้ได้โดยอาการนั้นๆ แล้วจะบอกใครเรื่องอะไร ก็ต้องมีคำสมมติใช่ไหม โดยเสียงเป็นสัททบัญญัติ บัญญัติโดยเสียงว่าเสียงนี้หมายความถึงสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นแต่ละเสียงในแต่ละภาษา ก็หมายความถึง สิ่งที่ทุกคนรู้ใช่ไหมเพราะว่าใช้ภาษานั้น ด้วยเหตุนี้ถ้าคุณสุพรรณฤทธิ์ อยากจะเปลี่ยนคำว่าโทสะเป็นโลภะ ก็ต้องบอกคนนั้นก่อนว่า พวกเราต่อไปนี้ เราไม่เรียกโลภะ เราจะเรียกโลภะว่าโทสะ เพราะฉะนั้นเฉพาะพวกที่รู้กัน สมมติคือรู้ร่วมกัน รู้อย่างเดียวกันเหมือนกันว่าคำนี้หมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นในระหว่างพวกที่สมมติ ไม่เรียกโลภะ แต่เรียกโลภะว่าโทสะ พอพูดโทสะเขาก็คิดถึงโลภะ เพราะเขารู้ร่วมกันว่า ต่อไปนี้เราจะเปลี่ยนคำนี้เป็นอย่างนี้ แต่สำหรับคนอื่นเขารู้ร่วมกันว่าโทสะ เขาก็ยังคงเป็นโทสะ แต่ใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของโทสะได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีปรมัตถสัจจะจริง และก็โดยการที่ว่าสภาพธรรมนั้นเกิดดับสืบต่อ ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำให้ปัญญัตติรู้ได้โดยอาการนั้นๆ แล้วก็มีการสมมติ มีเสียงเป็นสัททบัญญัติ ถ้าใช้คำว่า เอ๊ะ ทุกคนเข้าใจเลยใช่ไหม ใช่คำว่าดี ทุกคนก็เข้าใจกัน เป็นสัททบัญญัติให้เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร นี่ก็คือเข้าใจธรรมแล้วก็รู้เลยว่า แต่ละคำ หมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง สงบจากความไม่รู้ ขอรบกวนท่านอาจารย์ขยายความด้วย

    ท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้สวยๆ ชอบไหม

    ผู้ฟัง ชอบ

    ท่านอาจารย์ กำลังชอบ สงบไหม

    ผู้ฟัง กำลังชอบ สงบไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใครเลย สงบไหม

    ผู้ฟัง สงบ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรม คิดเองหมดเลย ไม่รู้จักความสงบ คิดว่าไม่ได้ไปทำใครให้เดือดร้อน คิดว่านั่งเฉยๆ ไม่ได้พูดไม่ดี ไม่ได้คิดไม่ดี แต่ห้ามความคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าจะเข้าใจจริงๆ เพียงแค่เห็นแล้วไม่รู้ความจริงว่าเห็นไม่ใช่เรา ก็ไม่สงบ เพราะมีความติดข้องในเห็นว่าเป็นเรา ตราบใดที่มีความติดข้อง นั่นคือความอยาก ความต้องการ ความไม่ละ เพราะฉะนั้นไม่มีวันสงบ ไม่ละคืออยากได้ เมื่ออยากได้แล้วสละไม่ได้เลย ติดข้องต้องการไม่สิ้นสุด เมื่อวานต้องการอะไรบ้าง วันนี้ต้องการอะไรบ้าง เอาเดี๋ยวนี้เลยต้องการอะไร ต้องการรู้ใช่ไหม แต่ว่าต้องรู้เลยว่า เข้าใจกับความไม่เข้าใจต่างกันแล้ว ความรู้กับความไม่รู้ก็ต้องต่างกัน ความติดข้องกับการละก็ต้องต่างกัน ขณะนี้กำลังเป็นเราเห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนนี้ก็เราเห็นอยู่

    ท่านอาจารย์ และเห็นเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนนี้ก็ยังเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงเมื่อฟังแล้ว ถ้าไม่มีตาเห็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ถึงแม้ว่ามีตา นอนหลับ ไม่มีรูปมากระทบตาเห็นไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นเกิด เพราะเราอยากให้เห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แน่ใจหรือ เห็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ตกใจมาก อยากเห็นไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่อยากเห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นเกิด เพราะเราอยากเห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าเห็นต้องเกิด เมื่อมีปัจจัยที่จะให้เห็นเกิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่เข้าใจอย่างนี้ นั่นคือไม่สงบ เพียงเท่านี้ก็แสดงว่า อกุศลความไม่ดี ความไม่รู้ ความติดข้อง อะไรทั้งหมด ไม่สงบ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าความไม่ดีมีแค่ไหน เราเห็นโทสะชัดเจนใช่ไหม ประทุษร้ายจิตเดือดร้อนแล้ว อยู่ดีๆ สบายๆ เกิดขุ่นใจขึ้นมา เดือดร้อนแล้วใช่ไหม เดือดร้อนเรา ยังเดือดร้อนคนอื่นอีก ถ้าไม่อยู่แค่เดือดร้อนใจตัวเอง ทำสิ่งต่างๆ ด้วยความขุ่นข้องใจตามระดับขั้น ตั้งแต่ขุ่นใจไม่เอ่ยสักคำ แล้วก็เผลอพูดออกไป ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน คนฟังได้ฟังสิ่งซึ่งไม่น่าฟังเลย ยังไม่พอ ยังว่าแรงๆ อีก เดือดร้อนไหม สงบหรือเปล่า ไม่รู้ตัวเลย เพราะไม่รู้ ขณะที่ไม่รู้สงบหรือ กำลังมีความไม่รู้ ขณะนั้นสงบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นบางคนคิดว่าไม่รู้อย่างนั้นเองสงบ แต่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะใดที่ไม่รู้บางทีไม่มีความติดข้อง ไม่มีโลภะเกิดร่วมด้วย และบางทีก็ไม่มีโทสะเกิดร่วมด้วย แต่ไม่รู้ คิดดู เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นอกุศลแล้วจะสงบได้อย่างไร แต่ถ้ามีปัญญาสงบความไม่รู้ไม่มีเกิดเพราะรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ละเอียดยิ่ง จนกระทั่งทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี อย่างจิต ทุกคนมีจิตธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่น เห็นเป็นจิตเห็น ได้ยินเป็นจิตได้ยิน ไม่ใช่เราก็ต้องเป็นจิตเป็นเจตสิก ทรงแสดงว่าจิตหนึ่งขณะประกอบด้วยเจตสิกกี่ประเภท โดยฐานะเป็นปัจจัยต่างกันอย่างไร เพื่อละความไม่รู้

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามเกี่ยวกับฌาน แล้วก็ญาณ การนั่งสมาธิสามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าพูดถึงฌานกับการบรรลุธรรมคนละเรื่องกัน สมัยก่อนพระพุทธเจ้ายังไม่มาตรัสรู้ ก็มีพวกดาบสเหล่านี้ที่เห็นโทษของกิเลสเขาก็เจริญฌานได้ เหาะได้ ได้อภิญญาด้วยซ้ำไป แต่พอพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ท่านแสดงหนทางที่ใช้คำว่า ทางสายกลาง หรือว่ามัชฌิมาปฏิปทา หนทางที่จะทำให้ดับกิเลส หรือเป็นแนวทางที่เป็นการอบรมเจริญวิปัสสนานั่นเอง เพราะว่าพวกได้ฌาน แค่เพียงทำให้จิตสงบ ข่มได้ ใช้คำว่าเป็นสมถภาวนา เพียงข่มกิเลสได้เท่านั้น ไม่สามารถที่จะไปทำอะไรกิเลสได้เลย แต่การอบรมเจริญวิปัสสนา ถึงที่สุดก็คือการดับกิเลส แล้วก็เป็นพระอริยบุคคลแต่ละขั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าธรรมที่เป็นสมาธิ เป็นได้ทั้งกุศล และอกุศล เพราะอะไร เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง พอตั้งมั่นในอารมณ์นั้นนานๆ ลักษณะของสมาธิความตั้งมั่นก็ปรากฏ เราก็บอกว่าคนนั้นมีสมาธิ แต่ว่ามีปัญญาหรือเปล่า เพียงแต่จิตตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์เดียวบ่อยๆ ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นมีปัญญา เป็นมิจฉาสมาธิเพราะไม่เข้าใจ เพราะมีความอยาก มีความต้องการที่จะทำให้สมาธิเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นแม้เป็นสมาธิก็ไม่ใช่สัมมาสมาธิ ไม่ใช่กุศลด้วย เป็นอกุศล เพราะอะไร เพราะอยากทำสมาธิ เริ่มต้นด้วยอกุศล แล้วก็จะให้ปัญญาเกิดได้ไหม เพราะเริ่มต้นด้วยความอยาก แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยความเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า บางขณะก็เป็นอกุศล บางขณะก็เป็นกุศล ถ้าขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศลขณะนั้นแม้สภาพที่ตั้งมั่นซึ่งเป็นเจตสิกก็เป็นอกุศลด้วยเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมว่าทุกคำชัดเจน เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งโดยละเอียดอย่างยิ่ง แม้ธรรมหนึ่ง เป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ แล้วแต่สภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วย เพราะว่าจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งเท่านั้น แต่ขณะใดก็ตามที่จิตเกิดต้องมีสภาพนามธรรม ชื่อว่าเจตสิก ในภาษาไทย ภาษาบาลีก็จะออกเสียงเป็นเจตสิกะ หมายความถึงนามธรรมประเภทอื่นทั้งหลายที่ไม่ใช่สภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์ เช่น โกรธ ติดข้อง สำคัญตน พวกนี้ก็เป็นลักษณะของเจตสิกประเภทต่างๆ เจตสิกมีจริงๆ แต่ไม่ใช่จิต เพราะว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งเท่านั้นเอง เช่น เห็นเป็นจิต กำลังเห็น ได้ยินเป็นจิต กำลังรู้เสียง แต่ว่าสภาพธรรมอื่นใดนอกจากนี้ ซึ่งไม่ใช่สภาพที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นต้องเป็นเจตสิก แต่เกิดร่วมกัน จิตกับเจตสิกเกิดร่วมกัน ขณะเห็นมีเจตสิกเกิดกับจิตไหม

    ผู้ฟัง ต้องเกิดร่วมกัน

    ท่านอาจารย์ มี ขณะได้ยิน

    ผู้ฟัง ก็มี

    ท่านอาจารย์ ขณะเกิด

    ผู้ฟัง ก็มี ทุกอย่างต้องเกิดร่วมกัน

    ท่านอาจารย์ ขณะตาย เพราะอะไร จึงต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง เพราะจิตเป็นใหญ่ แล้วก็ความรู้สึกตามกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะจิตต้องอาศัยเจตสิกเป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีเจตสิก จิตก็เกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีจิต เจตสิกก็เกิดไม่ได้

    ผู้ฟัง ถ้าเราเรียนรู้พระธรรมวินัย คำสอน แล้วควรจะรู้เรื่องอภิธรรมด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ ธรรมคืออะไร สิ่งที่มีจริง

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ อีกคำหนึ่งใช้คำว่าปรมัตถธรรม ธรรมนั้นเป็นใหญ่ ใครก็เปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนแข็งให้เป็นหวานได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นั่นคือปรมัตถธรรม ใครก็ไม่สามารถจะเปลี่ยน ปรมะ ใหญ่ยิ่งไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นได้เลย รู้ได้ง่ายไหม อย่างเห็นเกิดดับ รู้ได้ง่ายไหม

    ผู้ฟัง รู้ได้ไม่ง่าย

    ท่านอาจารย์ ยากใช่ไหม แล้วก็ความรู้สึกเวลานี้ก็มี รู้ง่ายไหม

    ผู้ฟัง ไม่ง่าย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดลึกซึ้งไหม

    ผู้ฟัง ลึกซึ้งมาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และเป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่าธรรมไม่ใช่อภิธรรมไม่ได้ ธรรมทุกอย่างเป็นปรมัตถธรรม และเป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้นคำถามเมื่อสักครู่นี้ถามว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ถ้าเรียนรู้พระธรรมวินัย หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราควรจะต้องรู้อภิธรรมด้วยไหม

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ที่เขาไปเรียนอภิธรรมกัน

    ท่านอาจารย์ นั่นหมายความว่าอย่างไร แยกกันหรือเปล่า ธรรมกับอภิธรรม

    ผู้ฟัง ไม่แยกกัน

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นอภิธรรม จะเรียนหรือไม่เรียน ธรรมก็เป็นอภิธรรม ไม่ใช่พอไปเรียนแล้ว ธรรมเป็นอภิธรรม

    ผู้ฟัง ธรรมเป็นอภิธรรม

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นปรมัตถธรรมเป็นอภิธรรม จะเรียนหรือไม่เรียน ธรรมก็เป็นธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมเป็นอภิธรรม แต่ถ้ากล่าวว่าเรียนอภิธรรม หมายความว่า เรียนสภาพธรรมล้วนๆ ไม่ได้กล่าวถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล วิสาขามิคารมารดา หรือว่าท่านอนาถบิณฑิกะ หรือว่าเรื่องอื่น แต่ตามความเป็นจริง ธรรมเป็นธรรมตลอดทั้ง ๓ ปิฎก

    ผู้ฟัง การนอนหลับเป็นความสุข เพราะฉะนั้นเวลานอนไม่หลับ ก็คือความทุกข์ การนอนไม่หลับดูเหมือนกับอกุศลกรรมกำลังให้ผล

    ท่านอาจารย์ เพราะเราไม่ได้เรียนอภิธรรม คือไม่ได้เรียนธรรมโดยละเอียด ไม่ใช่เป็นชื่ออภิธรรม แต่เพราะเหตุว่าเราไม่ได้เรียนหรือเข้าใจธรรมโดยละเอียดว่าอะไรหลับ

    ผู้ฟัง ก็ทราบแต่ว่าขณะที่หลับก็เป็นวิบากจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะศึกษาอะไร ไม่พ้นจากคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริง เราพูดถึงสิ่งที่มีจริง หลับมีจริงไหม ตื่นมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น บังคับบัญชาได้ไหม เป็นอภิธรรมหรือเปล่า เป็น เพราะไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เป็นจิตเป็นเจตสิกใช่ไหม เพราะเหตุว่ารูปหลับไหม รูปมีตื่นมีหลับไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นนามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ใช่ไหม แต่ว่าธาตุรู้เกิดขึ้นแล้วต้องทำหน้าที่ของธาตุนั้นๆ เช่น ธาตุเห็น ใช้คำว่าจักขุวิญญาณธาตุ ในภาษาบาลี ธาตุเห็นหนึ่งเลย ธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นแล้วต้องเห็น ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย ธาตุเห็นหลับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่ธาตุเห็นทำอะไร เกิดขึ้นทำหน้าที่เห็นแล้วก็หลับ แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมโดยละเอียดยิ่งว่าจิตที่เกิดขึ้นแล้วดับไปแต่ละหนึ่ง ทำกิจอะไร เพราะว่าเมื่อเกิดเป็นธาตุรู้ต้องมีหน้าที่ หน้าที่รู้นั่นเองแต่รู้โดยอาการอย่างไร แต่ว่าจะเปลี่ยนเป็นสภาพไม่รู้ไม่ได้ ถึงหลับก็เป็นสภาพรู้ เห็นไหม แม้หลับก็เป็นธาตุรู้ หลับเป็นธาตุรู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เกิดขึ้นทำกิจ ภวังคกิจดำรงภพชาติ เพราะฉะนั้นเราใช้คำว่าหลับ หมายความว่ายังไม่ตาย แต่ยังมีจิต เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องทำกิจของจิตแต่ละประเภท หน้าที่ที่ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเกิดขึ้นที่จะต้องทำกิจ มีทั้งหมด ๑๔ กิจ แต่จิตหนึ่งทำได้กิจหนึ่ง กิจหนึ่งทำ ๑๔ กิจไม่ได้ เกิดขึ้นทำกิจเฉพาะของตนของตน เช่นขณะนี้อภิธรรมคือธาตุรู้ เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมเป็นอภิธรรม จึงเริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรา ถ้าเราไม่ได้ฟังความละเอียด จะยังคงเป็นเราอยู่นั่นเอง อย่างไรอย่างไรก็เป็นเรา แต่พอมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจในขั้นการฟังก็ละความไม่รู้ขั้นฟัง ขั้นฟังเท่านั้นเลย พอฟังสามารถที่จะบอกได้ รู้ได้เข้าใจได้ว่าจิตมีกี่กิจ จิตนี้ทำกิจอะไร ทำสับสนกันก็ไม่ได้ เพราะว่าธาตุรู้ขณะนี้เกิดขึ้นเห็นดับ ทำหน้าที่เห็นหนึ่งกิจใน ๑๔ กิจ กิจแรกมีไหม กิจแรกของจิต กิจอะไร

    ผู้ฟัง ปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ ภาษาไทยก็เกิด เป็นชาติหนึ่งของทั้งหมดในชีวิตนี้ คือชาติหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นโดยกรรมเป็นปัจจัย เลือกเกิดไม่ได้ จิตที่เกิดมีหลายประเภท งูเกิดไหม นกเกิดไหม คนตาบอดเกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิด

    ท่านอาจารย์ คนตาดีเกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิด

    ท่านอาจารย์ แต่หลากหลายใช่ไหม เพราะอะไรต้องมีเหตุ ทำให้เกิดเป็นคนตาบอดแต่กำเนิด หมายความทั้งชาตินั้นจะไม่มีกรรมที่ทำให้จักขุปสาทรูปเกิด เพราะฉะนั้นแม้แต่รูปที่ร่างกายของเรา ที่ยึดถือว่าเป็นเราแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะเกิดตามใจชอบได้เลย เกิดไม่ได้ถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควร เพราะฉะนั้นแม้กรรมก็วิจิตรมาก ทำให้แต่ละคน แล้วแต่กรรมที่จะให้ผลว่า เกิดแล้วมีตาหรือไม่มีตา แล้วมีตาสีอะไร เห็นไหม วิจิตรไหม ตาสีฟ้าก็มี เขียวก็มี ดำก็มี น้ำตาลก็มี ทำได้ไหม ไม่ได้เลยเพราะเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นกรรม การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ความจงใจตั้งใจละเอียดมาก หนักเบาต่างกันมาก ถ้ามีคนร่วมกันฆ่าวัวตัวหนึ่ง เจตนาต่างกันแล้ว บางคนไม่ค่อยอยากฆ่า บางคนอยากฆ่าใช่ไหม แล้วก็มีความเพียรต่างกันด้วย สารพัดที่หนึ่งขณะจิตจะหลากหลายมาก ยากที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีทางจะเข้าใจได้เลย และพระองค์จะรู้มากกว่าเราสักเพียงใด อุปมาคำสอนที่แสดงแก่ชาวโลกเหมือนกับใบไม้สองสามใบในกำมือ แต่ว่าส่วนที่พระองค์ไม่ได้แสดงเท่ากับใบไม้ในป่า

    เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีความสงสัยเลยว่า ปัญญาหลากหลาย และละเอียดมากต่างกันตามลำดับ จนกระทั่งทำให้แม้จะรู้สิ่งเดียวกัน ความเข้าใจยังต่างกัน อย่างท่านพระสารีบุตรกับท่านพระโมคคัลลานะ เป็นเอตทัคคะแต่คนละทาง เอตทัคคะหมายความว่า ไม่มีใครเสมอได้ เป็นเลิศในแต่ละทางนั้น ท่านพระสารีบุตรก็รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ก็ดับกิเลสเป็นพระอรหันต์ แต่ปัญญาไม่เท่าพระสารีบุตร พระสารีบุตรปัญญาไม่เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือความหลากหลายของธรรมซึ่งละเอียดยิ่ง ล้วนแล้วแต่ต้องมีเหตุที่จะให้ผลนั้นๆ เกิดขึ้น

    ด้วยเหตุนี้แต่ละคนถ้าศึกษาธรรมแล้วก็เริ่มเข้าใจธรรมไม่ใช่เรา แต่ธรรมเป็นธรรม ละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น จนกว่าจะคลายการที่เคยติดข้องยึดว่าเป็นเรา รู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ที่จะค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่าไม่ใช่เรา อย่างหลับต้องเป็นจิตชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่จิตเห็น จิตเห็นหลับหรือเปล่า ไม่หลับ เห็น จะหลับได้อย่างไร จิตได้ยินหลับหรือเปล่า ก็ไม่หลับเพราะได้ยินใช่ไหม แต่จิตเห็นเมื่อใดขณะใดที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น ขณะนั้นจิตเกิดดับ ดำรงภพชาติ ยังไม่ทำให้จากความเป็นบุคคลนี้ ยังคงต้องเป็นบุคคลนี้ เพราะเหตุว่ากรรมทำให้ตื่นขึ้น จะหลับก็กรรมทำให้หลับ จะตื่นกรรมก็ทำให้ตื่น จะเดือดร้อนทำไม ในเมื่อเราทำไม่ได้ ใช่ไหม แต่เป็นเรื่องของกรรมที่จะทำให้หลับหรือตื่น

    เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจอย่างละเอียด และทุกคำ เช่น คำว่าจิตเป็นธาตุรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีจิต ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ ใช่ไหม เช่น ได้ยิน ถูกจิตรู้ และจิตที่ได้ยิน เราเรียกว่าจิตได้ยินเกิดขึ้นทำกิจได้ยินเสียง ไม่ทำกิจอื่นเลย ไม่หลับ ไม่คิด ไม่อะไรหมด แค่เกิดได้ยินแล้วดับ เราอยู่ที่ไหน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    14 ม.ค. 2568