ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๘๗

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เช่น ได้ยินกับเสียง เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ได้ยิน แล้วก็เสียงก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ได้ยินก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม แต่ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ได้ยิน ไม่เป็นเสียง เสียงก็คือเสียง ได้ยินก็คือได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเสียงกับได้ยิน มีอะไรที่ต่างกันไหม

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ต่างกันอย่างไร

    ผู้ฟัง เสียง เสียงก็คือรูป

    ท่านอาจารย์ ทำไมใช้คำว่ารูป

    ผู้ฟัง ก็คือมีเครื่องวัด

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม

    ผู้ฟัง เครื่องวัดว่าเป็นกราฟ

    ท่านอาจารย์ นี่คือเรารวมกันหมดเลย ที่เราได้ฟังธรรม ที่เราได้ฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้ ผสมกันออกมาใช่ไหม ยังไม่ได้แยกว่าเวลาที่พูดถึงธรรม เราจะไม่มีเรื่องอื่นเลย คำที่เราใช้ของธรรมก็ต้องเป็นคำที่ไม่เปลี่ยน ใช้เฉพาะในเรื่องของธรรม เพราะฉะนั้นถ้าจะแยก เสียงกับได้ยินต่างกัน เพราะเสียงไม่รู้อะไรเลย ตัวเสียงเกิดขึ้นเป็นเสียงนั้น ไม่เป็นเสียงอื่นตามเหตุตามปัจจัย เสียงดนตรีอย่างหนึ่ง เสียงลมพัดก็อีกอย่างหนึ่ง ตามเหตุตามปัจจัยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเสียงไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าจะเกิดเมื่อใด ที่ไหน อย่างไร ก็แค่มีการกระทบกันของวัตถุที่ต่างกัน ทำให้เสียงต่างกัน

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนเสียงที่ต่าง ให้ไม่ต่างได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตามปัจจัยสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้น เสียงเปียโน เสียงกลอง เสียงขิม เสียงปี่พาทย์ ต่างกันตามสิ่งที่ทำให้เสียงนั้นเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ตาม บนสวรรค์ ในนรก ที่ในน้ำ บนบก ประเทศนี้ ประเทศนั้น เสียงก็ยังคงเป็นเสียงคือเกิดขึ้นตามเหตุที่ทำให้เสียงนั้นเกิดขึ้น แต่เสียงไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แล้วถ้าไม่มีได้ยิน เสียงจะปรากฎได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นได้ยินเท่านั้น ที่ทำให้เสียงปรากฏ เพราะได้ยินเสียง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ได้ยินไม่ใช่ได้ยินเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือแข็ง หรือรส แต่เฉพาะเสียงเดี๋ยวนี้มีจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นปรมัตถธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ รู้อะไรหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดซึ่งมีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย พระผู้มีพระภาคทรงใช้คำให้รู้ว่าหมายความถึงสิ่งนั้นเอง คือ รู-ปะ-ดำ-มะ คนไทยก็เรียกสั้นๆ รูปธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยิน สิ่งใดๆ ก็ไม่ปรากฏ โลกจะมีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จะปรากฏได้ไหม ก็ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็ต้องมีสภาพรู้หรือธาตุรู้ เกิดขึ้น เวลาที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงก็ปรากฏว่ามี เวลาเกิดขึ้นทางตาเห็นก็ปรากฏว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เวลาที่เกิดขึ้นรสปรากฏเพราะธาตุรู้กำลังลิ้มรสนั้น รสนั้นก็ปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏเลย

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมจริงๆ สิ่งที่มีก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือรูปธรรมไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ถ้าไม่มีธาตุรู้ รูปธรรมหรืออะไรๆ ก็ปรากฏไม่ได้ว่ามี แต่ธาตุรู้ใครจะห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ รูปธรรมยังเกิดได้เป็นรูปธรรม นามธรรมก็เกิดได้เป็นนามธรรม โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะฉะนั้นที่ว่าเป็นเรา รูปธรรมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่รู้อะไรเลย แต่นามธรรมเป็นธาตุรู้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จำ ชอบ ไม่ชอบทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่รูปธรรม เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นเราค่อยๆ เข้าใจธรรม ตั้งแต่ธรรม ปรมัตถธรรมเป็นอภิธรรมด้วย ลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ก็ไม่รู้ แล้วก็มีประเภทใหญ่ๆ ๒ อย่าง เพื่อละความเป็นเรา ให้รู้ว่านามธรรมเป็นนามธรรม รูปธรรมเป็นรูปธรรม จนกว่าเมื่อใดสภาพธรรมปรากฏอย่างนั้นจริงๆ ก็คือว่าได้เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ทรงเป็นใคร

    ผู้ฟัง ทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง

    ท่านอาจารย์ รู้อะไร

    ผู้ฟัง ตรัสรู้ทุกอย่างเลย

    ท่านอาจารย์ มีใครเปรียบได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันสองพระองค์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ในสากลจักรวาลจะมีได้เพียงพระองค์เดียว เห็นความลึกซึ้งไหม ไม่มีใครสามารถที่จะเปรียบได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคำไม่ว่ากิเลสของใครมีมากน้อยเท่าใด กุศลของใครมีมากน้อยเท่าใด ปัญญาของใครสะสมมาแล้วมีมากน้อยเท่าใด แต่ละคำของพระองค์แสดงกับผู้ที่สะสมมา ที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติตาม รู้แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟัง ทุกคำที่ได้ฟัง จนกว่าจะรู้แจ้งตรงตามที่ได้ฟัง ผู้นั้นเป็นสาวกที่เป็นพระอริยสาวก เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นจึงมีพระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ เพราะเหตุว่าเมื่อได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสดงธรรมความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่เราได้ฟังนี่เอง ตั้งแต่ต้นมาแต่ละคำแต่ละคำมาจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มากกว่าที่เราได้ยินไหม ลึกซึ้งจนกระทั่งผู้ฟังสามารถประจักษ์ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง ถึงการดับกิเลส คือหมดความสงสัยในความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นการฟังก็ต้องตามลำดับขั้น จากการที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ไม่รู้ฟังเรื่องอะไร กับการได้ฟังพระธรรม คือเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ จนกระทั่งเข้าใจเมื่อใดเป็นปริยัติ หมายความว่าเป็นผู้ที่เริ่มฟัง และรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ถ้ารอบรู้แล้วยังแทงตลอดหมายความว่า มั่นคงเป็นสัจจญาณไม่เปลี่ยน ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมก็คือของจริงที่มีอยู่จริงๆ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ นี่คือเริ่มใช่ไหม ที่จะเข้าใจว่าธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าสามารถประจักษ์แจ้งว่าธรรมไม่ใช่เรา เพราะได้ฟังมากขึ้น เข้าใจมากขึ้น ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นเลย เพราะไม่ใช่เราซึ่งเป็นความไม่รู้ และความเห็นผิด จะไปสามารถละกิเลสได้ แต่ความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อใด ละความไม่รู้ตรงนั้น และฟังอีกก็ค่อยๆ เข้าใจอีก ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้อีก เป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถรู้ความจริงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ทรงเป็นผู้ที่แสดงพระธรรมคือคำจริง หนทางที่จะทำให้ปัญญาความรู้ถูกความเห็นถูก ค่อยๆ เกิดขึ้นมั่นคงขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นคำที่เคยพูดโดยความไม่รู้ จะรู้เลยว่าผิดใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมื่อมีพระพุทธรัตนะ มีพระธรรมรัตนะ คือธรรมที่สามารถจะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม ทำให้ผู้ฟังมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ละคลายกิเลสจนรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสาวก จึงพร้อมทั้ง ๓ คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ ไปสำนักปฏิบัติ แล้วสำนักคืออะไร เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง สำนักก็คือสถานที่ที่สำหรับไปปฏิบัติ

    ท่านอาจารย์ ปฏิบัติคืออะไร

    ผู้ฟัง ปฏิบัติคือการแสดงออกซึ่งการกระทำ เป็นพฤติกรรม

    ท่านอาจารย์ ปฏิบัติคือการแสดงออกซึ่งพฤติกรรม เห็นไหมว่าไปไหน รู้ไหมว่าสำนักคืออะไร ปฏิบัติคืออะไร เพราะฉะนั้นถูกไหม

    ผู้ฟัง คือไม่ได้ไปคิดรายละเอียดมาก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ แค่ฟังธรรมต้องเป็นผู้ตรง ประโยชน์จากการฟังซึ่งจะติดตามไปถึงชาติหน้าซึ่งอาจจะเป็นพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นสามารถที่จะถอยกลับจากความเห็นผิด ไม่เข้าใกล้ความเห็นผิด เข้าไปแล้วก็ถอยกลับ มิฉะนั้นแล้วก็จะถลำผิดต่อไปเหมือนคนที่ลงเรือไปสู่ท่าอื่น ไม่มีทางที่จะไปถึงทางที่จะดับกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรง กุศลทำให้กล้า เพราะเหตุว่าความถูกต้องต้องถูก ถ้าเป็นความผิด จะเก็บไว้ทำไม มีประโยชน์อะไร เพื่ออะไร และพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงซึ่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าบอกให้เราทำ แต่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ แล้วยังมีสำนักด้วยคืออะไร หมายความว่าอะไร

    ผู้ฟัง ลงมือปฏิบัติสมาธิ

    ท่านอาจารย์ สมาธิคืออะไร

    ผู้ฟัง คือการทำให้จิตตั้งมั่น

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ แล้วทำได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เป็นเรา เราก็ต้องไม่เอาตัวเราเป็นที่ตั้ง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ถ้าไม่ใช่เราแล้วยังมีเราอีกหรือ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้องมั่นคงขึ้นว่า ธรรมไม่ใช่เรา นี่ถึงจะเป็นการฟังธรรม เพื่อเข้าใจธรรมขึ้น เข้าใจธรรมขึ้นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปฟังแล้ว ถ้าเป็นเราหรือยังเป็นเราอยู่ ก็คือว่าไม่ได้เข้าใจว่าธรรมไม่ใช่เรา ไม่มีทางที่ธรรมหนึ่งธรรมใดจะเป็นเราได้ ก่อนเห็นไม่มีเห็น มีเราไหม แล้วพอเห็นแล้วเป็นเราไหม

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงในขณะเห็นนี้ไม่รู้ ก็เป็นเราใช่ไหม แล้วเห็นก็หมดไป แล้วเราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ฟังเผิน รู้แล้วเข้าใจแล้ว ไม่พอ ต้องเป็นผู้ตรงที่จะมั่นคงในความถูกต้องต่อไปเพิ่มขึ้นอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังขั้นต้นต้องมั่นคงจริงๆ และการได้ฟัง และความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มั่นคงยิ่งขึ้น เพื่อละคลายความเป็นเรา พระโพธิสัตว์มั่นคงว่า ขณะนี้มีสิ่งซึ่งใครก็ไม่รู้ แต่ทุกคนก็เกิดมาแล้วก็ตายไปให้เห็น เกิดมาแล้วก็ป่วยเจ็บให้เห็น เกิดแล้วก็แก่เจ็บตายให้เห็น เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงคืออะไร จะเป็นเราได้อย่างไร ในเมื่อเปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ เปลี่ยนไปแล้วไม่มีด้วย เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนก็คือว่า ค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่า สิ่งนี้ถูกหรือเปล่า ถ้าถูกก็ต้องถูก ถ้าไม่เข้าใจว่าถูกหรือเปล่า ก็ฟังจนกระทั่งมีความมั่นใจขึ้นว่าเป็นสิ่งซึ่งต้องเป็นอย่างนี้แน่นอนเปลี่ยนไม่ได้ มิฉะนั้นการฟังก็คือว่า ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่สามารถที่จะรู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ อะไรถูก อะไรผิด เพราะว่าถูกเปลี่ยนเป็นผิดไม่ได้ จริงเปลี่ยนเป็นเท็จไม่ได้

    ผู้ฟัง ทีนี้ที่เราไปปฏิบัติธรรมตามสำนักต่างๆ ถ้าเราไปก็เพื่อให้เราเกิดปัญญารู้ซึ้งถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ปัญญาคืออะไรก่อน

    ผู้ฟัง ปัญญาก็คือความรู้

    ท่านอาจารย์ ปัญญาคือความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าเห็นผิดจากความเป็นจริงของสิ่งนั้น ชื่อว่าปัญญาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นต้องมั่นคง ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ปัญญาก็ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้ปัญญาเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการที่จะมีปัญญา คือความเห็นถูกจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ผู้ฟัง จะเกิดขึ้นเอง จะเกิดขึ้นตามเหตุ และปัจจัย

    ท่านอาจารย์ คืออะไร เหตุปัจจัยนั้น ถ้าหาเหตุปัจจัยไม่ได้ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดปัญญาคืออะไร ต้องมี ถ้าไม่มีปัญญาก็เกิดไม่ได้

    ผู้ฟัง ก็การที่เราไปนั่งสมาธิ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ปัญญาคือความรู้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริง จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริงได้ ต้องอาศัยอะไร จึงจะเข้าใจได้ เห็นไหม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร ตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมที่จะให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง เพื่อที่จะรู้อย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้ และดับกิเลส ไม่ใช่เราไปทำปัญญาให้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีความเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้ได้ไหมว่าที่ได้ฟังนั้นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็แสดงอยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ คำสอนทั้งหมด ๔๕ พรรษา ประมวลไว้เป็น ๓ ปิฎก ทรงแสดงสิ่งที่มีจริงโดยละเอียดโดยสิ้นเชิงโดยประการทั้งปวง โดยไม่ต้องมีคำของคนอื่นเลย เพราะคนอื่นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนพูดตามความเป็นจริงจากพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพื่อที่จะอบรมเจริญปัญญาให้มีความเห็นที่ถูกต้อง เพราะไม่สามารถจะรู้เองได้ ฟังคำของคนอื่น เขาก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงความจริงของสิ่งที่พิสูจน์ได้แม้เดี๋ยวนี้ คำของพระองค์ไม่ว่าใครจะกล่าว เมื่อเป็นคำจริงก็เป็นคำของพระองค์ แต่ต้องเป็นคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่ให้ไม่รู้ มีใครเป็นที่พึ่ง

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

    ท่านอาจารย์ พระรัตนตรัยใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ฟังคำของพระองค์เลย พึ่งหรือเปล่า พึ่งพระองค์หรือเปล่า เพียงแต่คิดว่าพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ฟังคำของพระองค์เลย พึ่งพระองค์หรือเปล่า พึ่งอย่างไรถ้าไม่ฟังคำของพระองค์

    ผู้ฟัง แล้วอย่างคำของพระองค์ก็จารึกอยู่ในพระไตรปิฎกไหม ตอนนี้ว่าทางพระสงฆ์นี้ก็ศึกษาพระไตรปิฎกมา

    ท่านอาจารย์ ไม่พูดถึงใครเลยทั้งสิ้น เพราะว่าผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใครก็ได้ ในสมัยพุทธกาล มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระภิกษุที่ไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคลก็มี อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นพระอริยบุคคลก็มี เพราะเข้าใจธรรม เพราะปัญญา ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง คำสอนทุกคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ได้ฟังพระธรรม สามารถที่จะรู้ความจริง รู้ว่าตัวเองสะสมมาที่จะเข้าใจธรรมในเพศคฤหัสถ์ อบรมเจริญปัญญา อย่างพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระอรหันต์ก่อนที่จะสวรรคต ท่านอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี ผู้สร้างพระวิหารเชตวัน จิตตคฤหบดีเป็นอุบาสกไม่ได้บวชเลย และสาวกอื่นๆ ก็ถึงความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ต่อเมื่อใดถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นก็ละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ไม่จำกัดเลยว่าเป็นใคร ไม่ได้เฉพาะภิกษุเท่านั้น

    ผู้ฟัง แต่นั่นมันสมัยพุทธกาล สมัยนี้

    ท่านอาจารย์ สมัยไหนก็เหมือนกัน ความจริงเปลี่ยนไหม

    ผู้ฟัง ความจริงไม่เปลี่ยน

    ท่านอาจารย์ ความจริงไม่เปลี่ยน

    ผู้ฟัง แต่ว่าความรู้ที่จะให้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความรู้ ใครก็ตามศึกษาไม่จำกัดว่าใคร เข้าใจได้ไหม ถ้าศึกษาด้วยความตรง ด้วยความเคารพ ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความรอบคอบ ด้วยความลึกซึ้ง สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้ เป็นปัญญาของผู้นั้นเอง มาจากคำสอนจึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คือมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่ง เพราะพระองค์ทรงแสดงพระธรรม ทุกคำของพระองค์ทำให้ปัญญาเกิด จนกระทั่งสาวกผู้ฟังสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อใดก็ได้ เป็นพรหมก็ได้ เป็นเทพธิดา เทพบุตร ในสวรรค์ก็ได้ เป็นมนุษย์ก็ได้ ชายก็ได้ หญิงก็ได้ เด็กก็ได้ ท่านทัพพมัลลบุตรเป็นพระอรหันต์เมื่ออายุ ๗ ขวบ ไม่มีการจำกัดเลย แล้วแต่ปัญญาที่ได้สะสม สมควรที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมเมื่อใด ใครก็ยับยั้งไม่ได้ แต่ถ้ายังไม่มีปัญญาอย่างนั้น ใครจะไปทำสักเท่าใด ก็ให้ปัญญานั้นเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง แล้วเราจะมีปัญญาได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังคำจริง พูดถึงสิ่งที่มีจริง รู้ว่าคำนั้นใครตรัส อย่างคำว่าธรรม

    ผู้ฟัง อันนี้เราต้องไปศึกษาในไหน

    ท่านอาจารย์ พระไตรปิฎกทั้งหมดเลย

    ผู้ฟัง ทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี่มาจากพระไตรปิฎก ทุกคำมาจากคำสอนใน ๔๕ พรรษา เพราะเป็นคำจริง พระพุทธเจ้าพูดเรื่องตาหรือเปล่า พูดเรื่องหูหรือเปล่า พูดเรื่องจมูก พูดเรื่องลิ้น พูดเรื่องกาย พูดเรื่องใจ พูดเรื่องสุข พูดเรื่องทุกข์ พูดเรื่องโกรธ พูดเรื่องมานะความสำคัญตน พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือเปล่า ถ้ามีจริง พระองค์ตรัสรู้หรือเปล่า เมื่อตรัสรู้แล้วทรงแสดงความจริงนั้นหรือเปล่า เมื่อรู้สิ่งที่มีจริง แล้วก็แสดงความจริงใครที่สามารถจะเข้าใจ ก็เข้าใจความจริงซึ่งเป็นจริงทุกกาลสมัย อย่างเห็น เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี เห็นก็ต้องเป็นเห็น ได้ยินก็ต้องเป็นได้ยิน โกรธก็ต้องเป็นโกรธ สำคัญตนก็ต้องเป็นความสำคัญตน อิสสาก็ต้องเป็นอิสสา เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ใครเลยสักคนเดียว ถ้าไม่มีธรรมเกิด จะมีเราไหม แต่เมื่อมีธรรมเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ จึงเข้าใจว่าธรรมนั้นเป็นเรา โดยไม่รู้ว่าตามความเป็นจริง ก็คือว่าไม่มีใครไปทำให้ธรรมเกิดได้เลย แต่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป โดยไม่มีใครรู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ จากการที่ทรงได้บำเพ็ญพระบารมี คือความเพียรซึ่งยากยิ่ง ที่สามารถจะค่อยๆ ละคลายความเห็นแก่ตัว หรือความเป็นตัวตน จนกระทั่งเครื่องที่กั้นปิดบัง ค่อยๆ น้อยลงคลายลงไป สภาพธรรมจึงปรากฏกับปัญญาที่อบรมแล้ว ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไปนั่งทำ แต่เข้าใจว่าปฏิบัติแต่ไม่มีปัญญา และไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วย เพราะไม่ได้ฟังคำของพระองค์

    ผู้ฟัง แล้วอย่างที่พระสงฆ์ที่ปฏิบัติ แล้วได้ญาณ ได้ฌานอะไร

    ท่านอาจารย์ พระสงฆ์คือใคร

    ผู้ฟัง สาวกของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ พระสงฆ์สาวก หมายความถึงพระอริยบุคคล รู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่ภิกษุบุคคล ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง บวชเป็นภิกษุไม่ใช่บวชเป็นสงฆ์ เพราะว่าภิกษุบุคคลแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง จะดีจะชั่วอย่างไร ไม่เกี่ยวกับหมู่คณะ เกี่ยวกับแต่ละหนึ่งบุคคล แต่เมื่อเป็นหมู่คณะใช้คำว่าสงฆ์ หรือสังฆะ คำนี้ใช้ทั่วไป ฝูงปลวกฝูงมดรวมๆ กันก็เป็นสังฆะเป็นหมู่เป็นคณะทั้งนั้น เพราะฉะนั้นภิกษุสงฆ์ ไม่ได้หมายความถึงภิกษุบุคคล แต่หมายความถึงหมู่ของภิกษุ ซึ่งรวมกันเป็นคณะที่จะทำสังฆกรรม คือกิจของสงฆ์ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่า อะไรเป็นกิจที่ภิกษุบุคคลทำไม่ได้ ต้องเป็นคณะสงฆ์รวมกันทำได้ เช่น การบวช ใครจะเที่ยวไปบวชให้ใครไม่ได้ แต่ว่าเมื่อใครจะอุปสมบทจะต้องมีพระภิกษุกี่รูป และภิกษุเหล่านั้นมีคุณสมบัติถึงความที่จะให้บวชได้ไหม ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น ให้เขาบวชแล้วเขาจะรู้อะไร ก็ต้องเหมือนคนที่ไม่รู้นั่นเอง แล้วจะเป็นสาวกเป็นผู้สอนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม มีอะไรเป็นที่พึ่ง ทุกคน พระรัตนตรัย ไม่ได้เจาะจงว่าบุคคลนี้หรือบุคคลนั้น แม้แต่พระผู้มีพระภาคใกล้จะปรินิพพาน มีผู้ที่ไปทูลถามว่าจะทรงมอบให้ใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ พระองค์ตรัสว่าธรรมวินัยที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดาแทนพระองค์ ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดเลย ใครก็จะเป็นศาสดาไม่ได้นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่คำว่าธรรม ความลึกซึ้งอยู่ที่ตัวธรรม แล้วแต่ละคำลึกซึ้งเพราะพูดถึงธรรม ให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นลึกซึ้งไหม ในเมื่อเกิดมาก็เป็นเรา เห็นก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเรา กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    13 ม.ค. 2568