ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๙๙๙

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมบียอน รีสอร์ท จ.กระบี่

    วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เห็นปรากฏตามความเป็นจริงหรือยัง

    ผู้ฟัง ยังเลย

    ท่านอาจารย์ ยัง แล้วก็ธาตุเห็นมีจริงๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเฉพาะธาตุรู้ ตัวธาตุรู้ มืดหรือสว่าง

    ผู้ฟัง มืด

    ท่านอาจารย์ ก็นี่คือความเข้าใจ จนกว่าสภาพนั้นจะปรากฏ

    ผู้ฟัง พูดถึงสมาธิกับปัญญา ทีนี้ผมเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว ปัญญานั้นสำคัญกว่าสมาธิแน่นอน เพราะว่าปัญญาในขั้นฟัง เขาจะเข้าใจในสมาธินั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเข้าใจสมาธิหรือยัง เพราะเหตุว่าถ้าใช้คำว่าปัญญาหมายความถึงความเห็นถูกต้องในแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่เคยได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ก็พูดคำที่ไม่รู้จัก พูดคำว่าสมาธิ แต่ว่าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ใช้คำว่าปัญญาก็ได้ แต่ขณะใดที่มีความเข้าใจว่า สมาธิคืออะไร นั่นคือปัญญา ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าสมาธิคืออะไร

    อ.อรรณพ ผู้ที่เขาทำสมาธิ เพื่อเป็นการพักผ่อนร่างกายจิตใจ โดยที่เขาไม่ได้เห็นผิดว่าเป็นพุทธศาสนา อย่างนี้จะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็พูดคำที่ไม่รู้จัก ไม่รู้จักว่าสมาธิคืออะไร เหมือนเห็น พูดคำที่ไม่รู้จัก เห็นมีจริงๆ แต่รู้จักเห็นหรือเปล่า ก็พูดว่าเห็น เพราะฉะนั้นทำสมาธิ ก็ไม่รู้จักว่าสมาธิคืออะไร

    อ.อรรณพ ถ้าเขาเข้าใจว่าสมาธิก็คือความตั้งมั่น แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เห็นผิด

    ท่านอาจารย์ ทุกคนก็รู้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล

    อ.อรรณพ เขาอาจจะต้องการพักผ่อนก็เป็นโลภะ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีปัญญาที่เป็นเครื่องส่อง เป็นแสงสว่างที่ส่องสิ่งที่ละเอียดให้ปรากฏลักษณะที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังธรรม ไม่มีการที่จะเข้าใจคำว่าสมาธิเลย ได้แต่พูดคำว่าสมาธิ ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม หรือฟังเผินๆ มีแต่ชื่อ ชื่อเยอะมากเลย ฌานจิต ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน เป็นรูปฌาน อรูปฌาน มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าใด ก็ฟังไปเป็นคำทั้งหมด แต่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องรีบร้อนแต่แต่ละคำมี แต่ขอให้เข้าใจแต่ละคำ ไม่ใช่ว่าพูดตามกันไป แล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นสมาธิมีจริงๆ ถูกต้องไหม ก็ใช้คำเหมือนเห็นมีจริงๆ ก็กำลังเห็น เพราะฉะนั้นถ้าจิตของเขาตั้งมั่น เขาก็บอกว่ากำลังเป็นสมาธิ ก็เป็นสมาธิจริงๆ แต่เป็นเขาหรือว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการที่จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อนั้นจะไม่มีการขัดเกลากิเลส เพราะปัญญาที่รู้ต่างหากที่ขัดเกลา ไม่ใช่ตัวตนที่ไปพยายามทำ แล้วก็ไม่รู้อะไรเลย แล้วตู่ว่านั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นอันตราย เพราะเหตุว่ากว่าจะได้ยินได้ฟังคำสอนที่ตรง ที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเป็นปกติทีละคำให้เข้าใจจริงๆ ว่าสมาธิไม่ใช่รูปธรรม ดอกไม้ โต๊ะ เก้าอี้ สี เสียง กลิ่นต่างๆ เหล่านี้ทำสมาธิไม่ได้ เพราะไม่เห็นไม่รู้ แล้วจะเป็นสมาธิได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นสมาธิมีจริง ไม่ใช่เราแน่นอน ต้องมั่นคงที่ว่าไม่ใช่เรา มีปัจจัยก็เกิด ถ้าไม่มีปัจจัย ไม่มีใครไปสามารถทำให้สมาธิเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครสามารถทำให้อะไรเกิดขึ้นได้สักอย่าง นี่คือความมั่นคงที่จะค่อยๆ ละความเป็นเรา เพราะฉะนั้นการที่จะละความเป็นเรา ไม่ใช่ฟังแล้วก็ไปละตอนนั้นตอนนี้ แต่ว่าเริ่มต้นตั้งแต่ฟังด้วยความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริง หลงยึดถือว่าเป็นเรานานมาก ปล่อยไม่ได้ ทิ้งไม่ได้เลย เป็นเราจนกว่าจะได้ฟังคำที่กล่าวถึงแต่ละหนึ่งที่มี ให้พิจารณาจริงๆ ว่าเห็นมี เพราะเห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นก็ดับไป เพราะฉะนั้นเห็นจะเป็นเราได้ไหม ได้ยินมี จากไม่ได้ยิน ได้ยินก็เกิดขึ้นได้ยิน แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นเราได้ไหม ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริง จนกระทั่งถึงลักษณะที่เกิดแล้วดับ เมื่อนั้นความเห็นถูกต้องว่าไม่ใช่เรา มีกำลังเพิ่มขึ้น กว่าจะสละละความเป็นตัวตนหรือความเป็นเราได้นานมาก แต่ทั้งหมดต้องมาจากความรู้ความเข้าใจถูกต้องอย่างเดียว ถ้าไม่ใช่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี ไม่สามารถที่จะถึงการที่จะละคลายกิเลส อุตส่าห์ฟังธรรมตั้งนาน อุตส่าห์ไปทำวิปัสสนา เพราะว่าคนที่ไปทำวิปัสสนามี ๒ พวก พวกหนึ่งไม่เคยฟังธรรมเลย อีกพวกหนึ่งฟังเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องปัจจัย ทุกอย่างหมด เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนคนอื่นเรื่องนี้ด้วย แต่ก็มีสำนักปฏิบัติให้คนไปปฏิบัติ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจสิ่งที่มีว่าไม่ใช่เราไม่ได้มั่นคงเลย เพราะว่าขณะนี้ต่างหากที่เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นการที่จะละความเป็นเราได้ ก็ต่อเมื่อรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ไม่ใช่ในขณะอื่น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ถ้าไม่มีการศึกษาให้เข้าใจพระธรรมเลย แม้จะมีคำพยากรณ์ว่า พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ จะดำรงอยู่ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องดำรงอยู่ เพราะฉะนั้นจะดำรงอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี เมื่อมีผู้ที่ศึกษา และเข้าใจธรรม ต้องมีข้อแม้ด้วย ไม่ใช่ไปเรียนมาแล้ว แล้วก็คิดว่าเข้าใจแล้ว แล้วก็ตั้งสำนักปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติ นั่นไม่ใช่การเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา แล้วถ้าไม่มีความเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อใดที่จะไม่ใช่เรา ไปสำนักปฏิบัติก็ไม่ได้รู้ความจริงในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน ในขณะที่คิด ไม่มีสักขณะเดียวที่เดี๋ยวนี้เป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ก็ไปสำนักปฏิบัติ อีกพวกหนึ่งก็คือว่าไม่ได้ฟังธรรมเลย เขาบอกว่าทำวิปัสสนา ชวนกันไปทำวิปัสสนา ไม่รู้ว่าวิปัสสนาคืออะไร ถ้าถามดูตอบไม่ได้สักอย่าง แล้วไปทำอะไร คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทำให้คนโง่ ไม่ได้เพิ่มอวิชชา แต่ทำให้สิ่งที่ไม่รู้ ค่อยๆ ละคลายด้วยความเข้าใจ จนกว่าสามารถที่จะรู้ความจริง และสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสแล้วทุกคำ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้รู้ได้ มิฉะนั้นไม่ทรงแสดง

    ผู้ฟัง ตามที่ท่านอาจารย์ปรารภว่าถ้าสนทนาธรรม มีทั้งพระสูตร พระธรรมวินัย พระสูตรบทหนึ่งอาจจะมีพระธรรมพระวินัย แล้วแต่สภาวะว่าอันไหนจะมากน้อยกว่ากัน ถ้าสนทนาธรรมแบบนี้จะมีประโยชน์น่าสนใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วก็คือพระธรรมวินัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีพระอภิธรรม แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ก็มีพระภิกษุซึ่งท่านเป็นผู้ที่เป็นเอตทัคคะ หรือว่ามีความชำนาญในพระสูตร ในพระธรรม ในพระวินัย ท่านก็แยกกันสนทนา ท่านที่สนใจพระสูตร เข้าใจพระสูตร ท่านก็สนทนากันในเรื่องพระสูตร ท่านที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญในพระวินัยซึ่งละเอียดมาก เพราะว่าจะไม่เป็นสูตร ไม่เป็นอภิธรรมได้อย่างไร นั่นแหละคือธรรมซึ่งเป็นฝ่ายของวินัยนั่นเอง เพราะฉะนั้นท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญอะไรทางนั้น ท่านก็สนทนาธรรมแยกกันเป็นกลุ่มๆ ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม เพราะฉะนั้นที่เรากล่าวถึงพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ก็ไม่ได้หมายความว่า จำกัดอยู่เฉพาะพระวินัย แล้วก็ไม่พูดถึงพระสูตรหรือพระอภิธรรมเลย เพราะเหตุว่าทั้งหมดเป็นพระธรรม และวินัยด้วย ธรรมก็เป็นวินัย วินัยก็เป็นธรรม ถ้าไม่มีพระวินัยจะมีธรรมได้ไหม เพื่ออะไร แต่เมื่อมีความเข้าใจแล้วจะไม่มีวินัยได้ไหม การขัดเกลาก็ต้องเป็นไป เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินได้ฟังพระวินัย เพราะฉะนั้นจึงมีการประพฤติปฏิบัติที่ขัดต่อพระวินัย เป็นโทษอย่างยิ่งโดยไม่รู้ตัว เช่น ชาวบ้านทั่วๆ ไปทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เพิ่งจะเข้าใจว่าภิกษุนั้นต้องไม่รับ และยินดีเงิน และทอง เพิ่งจะรู้กันที่จะไม่ใส่เงิน และทองหรือธนบัตรหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะว่าพระภิกษุท่านละแล้ว ด้วยเหตุนี้การศึกษาทั้งหมดก็คือว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ก็คือพระธรรมวินัย ทั้งหมดก็จะเป็นประโยชน์

    ผู้ฟัง ผมเจอในอรรถกถากล่าวว่าพระธรรม และพระวินัยคู่กัน พระธรรมไม่มี พระวินัยก็ไม่มี แล้วท่านก็ขยายความได้ว่า สมถวิปัสสนาคู่กับพระปาติโมกข์ สมถวิปัสสนาไม่มี พระปาติโมกข์ก็ไม่มี จะรบกวนท่านอาจารย์อธิบายว่าคู่กันจริงๆ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรมฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ถูกต้องไหม เวลาเข้าใจ ตรงกันข้ามกับไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจนี่ไม่รู้ความจริงอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เวลาได้ฟังก็เริ่มที่จะเข้าใจขณะที่เข้าใจสงบจากความไม่เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง สงบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสมถะคือสงบจากกิเลส กิเลสคือความไม่รู้ ขณะใดที่รู้ และเข้าใจ ขณะนั้นกำลังสงบจากความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ได้ฟัง ก็นำไปสู่ความสงบคือ สงบกาย สงบวาจา เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ ถ้าผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วเห็นกิเลส ปัญญาไม่ใช่เรา ปัญญาที่เห็นกิเลสมากน้อยแค่ไหน ก็ละคลายกิเลสตามกำลังของปัญญา ถ้าไม่คิดว่าการฟังพระธรรมมีประโยชน์ นั่นคืออกุศล แต่พอรู้ว่าประโยชน์ของพระธรรมมีมาก แล้วก็จะมีเพิ่มขึ้นได้ต่อเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ปัญญาอย่างนี้ก็จะทำให้ไม่ละเลยการที่จะได้ฟังให้เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นขณะนั้นพระธรรมก็ขัดเกลาอกุศลซึ่งจะเกิดเพราะไม่รู้ทางกายทางวาจา อย่างพูดว่าทำวิปัสสนา สำนักปฏิบัติวิปัสสนา เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้ จะละไหม ละความไม่รู้เมื่อใดก็สงบจากความไม่รู้เมื่อนั้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึงความสงบทางกาย และวาจา ตรงนั้นก็คือส่วนหนึ่งที่ท่านยกขึ้นว่าเป็นพระวินัยเลยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ใจสงบเท่าใด กายวาจาก็สงบเท่านั้น มีความเข้าใจธรรมเท่าใด ใจก็สงบเท่านั้น เมื่อใจสงบ กายวาจาซึ่งเกิดจากใจที่สงบก็สงบ ด้วยเหตุนี้ภิกษุที่บวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมวินัย จึงไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ เพราะไม่มีปัญญาที่จะเห็นโทษของอกุศล แล้วก็มีความเข้าใจประโยชน์ของกุศล

    ผู้ฟัง พระวินัยเป็นบัญญัติที่ต้องประพฤติปฏิบัติตาม

    ท่านอาจารย์ สำหรับใคร

    ผู้ฟัง สำหรับพระภิกษุ

    ท่านอาจารย์ พระภิกษุคือใคร

    ผู้ฟัง ผู้ที่สละเพศคฤหัสถ์เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพื่อศึกษาเข้าใจพระธรรม และความรู้ที่เข้าใจที่ถูกต้องนั่นเอง ทำให้ใจสงบ ซึ่งทำให้กายวาจาสงบได้เพราะปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีความเข้าใจธรรม การรักษาพระธรรมวินัยเป็นไปไม่ได้ และไม่รู้ด้วยว่ารักษาไปทำไม

    ผู้ฟัง ตอนนี้ทำให้ผมเข้าใจคำว่าภิกษุมากขึ้นทีเดียว เพราะว่าท่านสละเพศคฤหัสถ์แล้ว คือไม่ใช่เข้ามาปฏิบัติประพฤติตามพระวินัยเท่านั้น คือพระธรรมจะนำไปสู่ทุกอย่าง รวมทั้งพระวินัยที่ท่านต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วย

    ท่านอาจารย์ ทุกคนได้ฟังพระธรรมแล้ว มีใครจะเป็นภิกษุไหม เพราะรู้ว่าการเป็นภิกษุนั้นเปลี่ยนเพศจากคฤหัสถ์ สู่อีกเพศหนึ่งซึ่งประกาศตนเป็นผู้ที่มั่นคงที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นถ้าไม่เป็นอย่างนี้ จะบวชทำไม นี่คือใครก็ตามที่เป็นภิกษุก็คือว่าต้องเห็นโทษของอกุศล และก็รู้ว่าจะขัดเกลากิเลสไม่ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ด้วยเหตุนี้เมื่อมีความเข้าใจรู้จักตัวเอง ตามความเป็นจริง จึงประสงค์ที่จะดำเนินชีวิตจากเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต คิดถึงวันแรกที่บวช ก่อนบวชเป็นคฤหัสถ์ เพียงแค่อุปสมบทแล้วเปลี่ยนจากคฤหัสถ์ที่เคยเป็นไปทางกายวาจาตามสบายของกิเลสทั้งหมด เริ่มละ ทันทีที่จากวานนี้เมื่อคืนนี้ที่เป็นคฤหัสถ์ ก็สู่วันใหม่เป็นเพศบรรพชิต เริ่มต้นด้วยการที่ต้องประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส ตั้งแต่ตื่นที่จะสำนึกตนเองว่าจะทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าจะเป็นการที่จะครองจีวร ก็ต้องสำนึกในความเป็นภิกษุ บริโภคอาหาร การเดิน การครองจีวรทั้งหมด ต้องด้วยความสำนึกว่า ละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตแล้ว มุ่งหน้าที่จะฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุใดไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้ฟังธรรมเป็นภิกษุได้หรือ ย่อมเป็นภิกษุไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้มีความเข้าใจว่าจะขัดเกลากิเลสด้วยปัญญาที่ได้เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้นด้วยปัญญาที่เข้าใจธรรม ก็สามารถที่จะเห็นประโยชน์ของพระวินัยทุกข้อ ในเรื่องของขั้นต้นที่สุด เพศที่ต่างกันจากคฤหัสถ์สู่บรรพชิต วาจาพูดอย่างเคยได้ไหม พูดคำที่ไม่มีประโยชน์ได้ไหม เพราะฉะนั้นวันหนึ่งวันหนึ่ง ลองคิดดู ชีวิตของคฤหัสถ์บางคนพูดคำที่ไม่มีประโยชน์เยอะมาก ถูกต้องไหม ทันทีที่รุ่งขึ้นจากเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต พูดคำที่ไม่มีประโยชน์ต่อไปอีกไม่ได้ เพราะเหตุว่าถ้าพูดเพื่อประสงค์ที่จะหัวเราะกันเล่น หรือสนุกสนาน ไร้ประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อการเข้าใจธรรม ก็เป็นเดรัจฉานคาถา เป็นคำพูดที่ไม่นำไปสู่การเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์บางคนก็พูดน้อย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรม แต่ผู้ที่เป็นภิกษุพูดน้อย เพราะเข้าใจธรรมว่าธรรมที่พูดต้องพูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ลองสังเกตชีวิตของคนที่ฟังธรรม พูดมากเหมือนเดิมไหม จากวาจาที่ไม่เป็นสาระเลย พูดแล้วก็ทะเลาะกัน พูดแล้วก็ลุกลามใหญ่โต ถ้าเพียงแค่หยุด ยุติทุกอย่าง แล้วถ้าเป็นคฤหัสถ์อย่างนี้ เวลาที่ได้เห็นประโยชน์ของการที่จะขัดเกลากิเลสยิ่งกว่านี้ คำพูดนั้นจะเป็นคำพูดที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดหรือเปล่า ก็จะไม่พูดคำอื่นเลย เพราะคฤหัสถ์บางคนก็ไม่พูดคำที่ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าคำที่ไม่มีประโยชน์ต้องพิจารณาว่า จิตขณะนั้นเป็นอะไร ถ้าจิตขณะนั้นเพื่อประโยชน์ให้เขาเข้าใจ คำพูดที่คนอื่นคิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่ความจริงเป็นประโยชน์ เพราะว่าถ้าพูดแล้วเขาเข้าใจถูกต้อง ถ้าไม่พูดเขาก็ไม่เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพของจิต ซึ่งจะดีขึ้น ละคลายกิเลสขึ้น เพราะเข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้นพระธรรมก็เกื้อกูลต่อพระวินัย และพระวินัยก็เกื้อกูลด้วย เพราะเหตุว่ามีการสำนึกว่า ประพฤติอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ และกิจที่จะกระทำก็คือว่าศึกษาธรรม บางคนได้ยินคำว่าคันถธุระกับวิปัสสนาธุระ บอกว่าภิกษุมีกิจเพียง ๒ คันถธุระได้แก่การศึกษาพระพุทธพจน์ พระธรรมวินัย วิปัสสนาธุระก็คือการอบรมปัญญา ถ้าไม่มีคันถธุระมีวิปัสสนาธุระได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าเพิกเฉย เพียงแค่ศึกษาตามตำราทั้งหมด แต่ว่าไม่มีการขัดเกลากิเลสด้วยการที่เริ่มที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล

    ผู้ฟัง ที่มีการชวนกันให้บวช มีการประกาศให้บวช เพื่อประโยชน์อย่างนั้นประโยชน์อย่างนี้ แต่เมื่อเราเข้าใจความสำคัญของการเป็นพระภิกษุ ผู้ที่บวชต้องมีความรู้มีความเข้าใจ ในเรื่องของความเป็นพระภิกษุที่ดี จึงไปบวช

    ท่านอาจารย์ ใครก็ตามที่เกณฑ์ใครไปบวช ถูกหรือผิด เพราะว่าต้องการอะไร เห็นไหม ต้องการอะไร จุดประสงค์เพื่ออะไร แต่ถ้ามีการให้เขาได้เข้าใจธรรมวินัย แทนที่จะไปบวช ชวนไปฟังธรรมวินัยให้รู้ว่า ถ้าเป็นภิกษุต้องประพฤติอย่างนี้อย่างนี้อย่างนี้ และการศึกษาธรรมคือว่าต้องเข้าใจให้ถูกต้องอย่างนี้อย่างนี้ว่า เพื่อขัดเกลากิเลส และในบรรดาผู้ที่ไปฟัง มีใครสมัครใจที่จะบวชเพราะเขาได้ฟังแล้ว เพราะเขาได้รู้แล้วว่า เขาสามารถจะประพฤติตามพระธรรมวินัย ๒๒๗ ข้อได้ไหม ให้ฟังให้ละเอียดเลย ดูหนัง ดูละครไม่ได้ ไปเที่ยวเตร่ไม่ได้ ไปรับประทานหุงต้มอาหารเองไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าใจให้ชัดเจนในความถูกต้องในประโยชน์ของพระวินัยแต่ละข้อ แล้วก็ถามว่าใครสมัครใจจะบวชบ้าง สมัครใจ ไม่ใช่ไปเกณฑ์ตามจำนวน เพราะฉะนั้นถ้าเชิญชวนให้ใครได้ฟัง และได้เข้าใจธรรม ก็จะได้รู้ว่าใครเป็นภิกษุ ใครไม่ใช่ภิกษุ ไม่ใช่เกณฑ์กันไปทำอะไร ไปนั่งสมาธิ แล้วก็ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เท่ากับไปลบเลือนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าเป็นชาวพุทธ พุทธคือผู้ที่รู้ถูก เห็นถูก มีปัญญา ผู้รู้ตามความเป็นจริง แต่ถ้าการกระทำใดๆ ก็ตาม ไม่ได้ทำเพราะความเข้าใจถูก ไม่ใช่การกระทำของผู้รู้

    เพราะฉะนั้นการกระทำนั้นต้องเป็นของผู้เขลา ไร้ปัญญา คิดว่าใครๆ ก็บวชได้ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่ใช่ใครก็บวชได้ เฉพาะคนที่ได้เข้าใจพระวินัยแล้วอย่างดี และก็สมัครใจที่จะบวชไหม ก็ไม่ต้องไปเชิญชวนใคร เพียงแต่ว่าให้เขาได้ฟังก่อนจะบวช เพื่อทุกคนจะได้รู้ว่าภิกษุต้องเป็นอย่างนี้ แล้วดูจะถึงหมื่นคน จะถึงแสนคนไหม สักคนหนึ่งมีไหม เพราะเหตุว่าไม่ต้องบวชก็ให้เขาเข้าใจพระธรรมได้ โดยการที่ในขณะเดียวกันก็ชี้แจงให้รู้ว่าธรรมคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงวิปัสสนาเลย ยังไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่มีสำนักวิปัสสนา เป็นไปไม่ได้ วิปัสสนาจะเกิดที่ไหนเมื่อใดได้ทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าได้อบรมมาแล้วถึงกาลที่ปัญญาจะเกิด ที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ไม่มีใครยับยั้งได้ แต่ไม่ใช่ไปเกณฑ์ให้กระทำ หรือทำสมาธิวิปัสสนา ซึ่งนั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นถ้ามีสิ่งใดที่เข้าใจไม่ถูก ก็ขอเชิญกล่าวถึงสิ่งที่ตนเองเข้าใจว่าถูก เช่นการบังคับ หรือการเกณฑ์ให้คนบวช ไร้ประโยชน์ เพราะว่าคนเกณฑ์เข้าใจว่าอย่างไร บวชเพื่ออะไร ในเมื่อคนบวชยังไม่ได้รู้เลยว่าพระภิกษุทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ด้วยเหตุนี้แทนที่จะเกณฑ์มาบวช ให้เขาได้ฟังธรรมวินัยให้ชัดเจน สอบถามความเข้าใจของคนที่ฟังด้วยว่าเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า อันนั้นก็เป็นประโยชน์ คือทำให้เกิดทั้งปัญญา และก็สามารถที่จะเข้าใจธรรม ไม่ใช่มีแต่พระวินัยต้องมีธรรมด้วย กิริยาอาการความเป็นไปความประพฤติตามพระวินัยเพื่ออะไร ต้องให้เขารู้เพื่อขัดเกลากิเลส ถ้าไม่มีปัญญาไม่ฟังธรรม เพียงแค่ประพฤติตามอย่างนั้น ขัดเกลากิเลสได้ไหม ก็ไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้พระวินัยก็เป็นธรรม เพราะธรรมต่างหากที่เป็นวินัย และธรรมก็เป็นวินัย เพราะเป็นการขัดเกลากิเลสด้วยปัญญาที่เข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีปัญญาสะสมมาเลย จะถึงวันนั้นไหม ไม่ว่าชีวิตจะเป็นไปในรูปแบบของอุปกาชีวก จากการที่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ถึงเวลา เพราะฉะนั้นก็ไม่สนใจเลย แต่ก็รู้ว่าจะพบท่านพรุ่งนี้ได้ที่ไหน ชื่ออะไร เพราะว่าพระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า เป็นอนันตชินะ เวลาที่ท่านพบพระพุทธเจ้าไม่ศรัทธา เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่ชีวิตของท่านก็ต้องเป็นไป ใครจะรู้วันไหนใครจะมีภรรยาแล้วก็มีบุตรด้วย แล้วภรรยาก็กล่าวกระทบกระเทียบหลายอย่าง คิดดูใครหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าสักอย่างหนึ่ง แต่ชีวิตของท่านในที่สุดจากการที่ได้อบรมปัญญา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    28 ม.ค. 2568