ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๙๙๗
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมบียอน รีสอร์ท จ.กระบี่
วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เช่นปัญญาขั้นฟังขณะนี้ ก็ฟังรู้ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งหลากหลาย แต่ยังไม่ถึงปฏิปัตติที่จะรู้ทีละหนึ่ง รู้ว่าเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ทีละหนึ่ง
อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงคำว่างามในเบื้องต้น ซึ่งความหมายของคำว่างามในเบื้องต้น ท่านก็อธิบายว่าศีล และทิฏฐิที่ตรงเป็นเบื้องต้น
ท่านอาจารย์ ศีล และทิฏฐิที่ตรง ศีลคืออะไร
อ.ธิดารัตน์ ก็ความเป็นปกติ
ท่านอาจารย์ เห็นไหมว่าเราข้ามได้ไหม ข้ามไม่ได้เลย แม้แต่คำว่าศีลที่เราเข้าใจกัน เราเข้าใจกุศลศีล แต่ว่าถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่าแค่นั้นไม่พอเลย ต้องเข้าใจว่าศีลคืออะไรก่อน ศีลคือปกติ เพราะฉะนั้นธรรมตามปกติเป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เพราะฉะนั้นขณะใดที่เป็นอกุศล ขณะนั้นก็เป็นอกุศลศีล เพราะว่ารูปไม่เป็นกุศล และอกุศล รูปให้ทานไม่ได้ รูปฟังธรรมไม่ได้ อะไรทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นนามธรรมเท่านั้น คือจิต และเจตสิกซึ่งจะเป็นศีล เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จิตเจตสิกเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าที่มีอยู่ เช่น เห็น ได้ยิน แล้วก็เป็นกุศลอกุศล รู้ไหมว่ามีจิตตั้งมากมายเกิดคั่น ก่อนที่จะรู้ว่าเห็นอะไร แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วใช่ไหม แต่ก็ฟังต่อไป ฟังต่อไป ศีลนั้นประกอบด้วยความเห็นถูกหรือเปล่า เห็นไหม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ไม่ใช่ให้เราข้าม แม้แต่ที่พูดว่าที่มีความเห็นถูกต้อง มีทิฏฐิตรง ก็คือว่าฟังเพื่อที่จะได้เข้าใจตรง ขณะที่เป็นกุศลก็เป็นกุศลศีล และยังมีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมด รู้ได้อย่างไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เดี๋ยวนี้ทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็น่าสงสัยว่ารู้อะไร และรู้ได้อย่างไร มีเห็น รู้ได้จริงๆ ว่าเห็นเกิดแล้วเห็นดับ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี ได้ยินมีรู้ได้จริงๆ ว่าได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้เพราะพระปัญญา พระปัญญานั้นมาจากไหน อกุศลจิตเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ ไม่ดีงาม เพราะฉะนั้นอกุศลทั้งหมดไม่ใช่บารมี ส่วนคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ก็มีปัจจัยที่จะดีบ้างชั่วบ้าง เด็กเล็กๆ ช่วยพ่อแม่ถือของ อาสาเลย ไม่ต้องไหว้วานเลย มาจากไหน ก็มาจากการสะสม ธรรมทั้งหมดไม่ว่าดีชั่ว เกิดเองไม่ได้ต้องอาศัยปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมนั้นเกิดเป็นดี หรืออาศัยสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้นเป็นชั่ว
เพราะฉะนั้นแต่ละคนต้องไม่ลืมว่า ธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นใครก็ดีบ้างชั่วบ้าง แต่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ไม่กลับมาอีกเลย ดีไหม เห็นไหม คนที่ทำความดีธรรมดา ไม่เคยฟังธรรมเลย มีดีมีชั่วแต่ถึงจะดีก็ไม่เคยรู้ความจริงว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมไม่ใช่เรา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อ เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่มีกุศลแต่ไม่มีปัญญา สามารถที่จะมีบารมีไหม ไม่ จะมีบารมีได้อย่างไร แต่เมื่อใดที่มีความเห็น เดี๋ยวนี้เข้าใจถูกต้อง เห็นเกิดแล้วดับ นี่เข้าใจถูกต้อง คิดเกิดแล้วดับ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วเมื่อใดจะหยุดสักที ดีไหม เพราะว่าจากไม่มี ก็เกิดแล้วก็ดับไปเลย เหมือนไม่เคยมี แล้วมีทำไม มีสำหรับไม่รู้ มีสำหรับติดข้อง มีโดยที่ว่าใครก็ยับยั้งไม่ได้ ไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างมั่นคงอย่างนี้จริงๆ หยุดเกิดสักทีดีไหม หรือยังไม่เห็นภัยของการเกิด ก็เป็นธรรมดาเพราะว่าฟังไว้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปบังคับให้ใครเห็นภัยของสังสารวัฏเดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่ เพียงแต่บอกให้รู้ความจริงว่าเดี๋ยวนี้คืออย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เห็นเกิดขึ้นแล้่วดับ ได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ให้รู้แต่ไม่ใช่ให้ไปทำ หรือไม่ใช่ให้ใครไปหยุดยั้ง แต่เริ่มคิดไหมว่าไม่มีประโยชน์ ถ้ายังไม่คิดก็ไม่เห็นว่าเป็นภัย แต่ว่าความจริงก็เป็นอย่างนี้ ถ้าฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปอีก ก็ทรงแสดงความละเอียดยิ่งขึ้นของธรรม เพื่ออะไร เพื่อให้เข้าใจให้ถูกต้อง จนกว่าเมื่อใดจะรู้ว่า แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่เพียงแค่เกิดแล้วดับ ถ้าฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้แล้ว แค่เข้าใจ แต่ก็ยังติดข้องถูกไหม
เพราะเวลานี้ทุกคนก็เข้าใจ แล้วก็เห็นว่าถ้าไม่เกิดเสียเลย ต้องดีกว่า อยากทำอย่างนั้น ถ้าไม่ต้องมีเราที่คิดจะอยาก เพราะว่าต้องทำใช่ไหม นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเพียงแต่ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สบายมากเลย ไม่มีตัวตนที่จะอยากไปทำอย่างนี้ทำอย่างนั้น คิดอย่างนี้คิดอย่างนั้นเลย แต่ว่าห้ามไม่ได้ เพราะเมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องเข้าใจ มีหนทางเดียวที่เข้าใจให้ถูกต้อง เพราะความเข้าใจนั่นต่างหากที่จะละความติดข้อง ไม่ใช่ว่าใครรู้แล้วว่าสังสารวัฏ มีภัยมาก ไปดับกิเลสกันเถิด เป็นไปได้ไหม ไม่ได้ ชวนใครให้ดับกิเลสก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ คนที่ชวนก็รู้อยู่ว่าสังสารวัฏก็เป็นอย่างนี้ เป็นภัยอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ใครจะดับสังสารวัฏได้ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ฟัง เพื่อเข้าใจ ฟังเพื่อเข้าใจ จนกว่าความเข้าใจนั้นจะเพิ่มขึ้นมั่นคงขึ้น และก็ค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ โดยการที่ว่าไม่เผิน ฟังแต่ละคำให้เข้าใจ ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็เริ่มฟัง แล้วก็เห็นว่า กว่าจะถึงอีกฝั่งหนึ่ง คือฝั่งที่ไม่มีกิเลสเลย คนละฝั่งใช่ไหม พระอรหันต์ท่านอยู่ฝั่งโน้น ไม่มีกิเลสเลยสักนิดเดียวก็ไม่มี ธรรมดาไม่มีใครรู้ว่าเห็นแล้วก็เกิดกิเลส เพราะฉะนั้นการที่จะไม่มีกิเลส หลังจากที่เห็น โดยที่ไม่รู้ว่ามีด้วยซ้ำไป แล้วก็ฟังว่ามี ก็ยังไม่สามารถที่จะละได้ แต่ผู้ที่เหมือนเดิมคือเห็น แต่แทนที่จะเป็นอกุศลอย่างคนอื่น เหมือนเดิม อย่างพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน หรือปุถุชน บุคคลผู้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมด หมดต้องหมดจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะฉะนั้นปัญญาต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง สติใช้คำว่าตามรู้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ไปตามสิ่งที่หมดแล้ว เพราะสิ่งที่หมดแล้วตามไม่ได้ ตามสิ่งที่ยังไม่เกิดก็ไม่ได้ เพราะยังไม่เกิด แต่เดี๋ยวนี้ที่ใช้คำว่าตาม ถ้าสมมติว่าความเข้าใจยังน้อย ตามนี่ห่างมากใช่ไหม แต่ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามทันที หมายความว่าทันทีที่สิ่งนั้นยังปรากฏว่ายังมี
เพราะฉะนั้นสติก็สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ เราฟังเรื่องเห็นแต่ว่าไม่รู้ที่เห็น แต่ว่าขณะใดก็ตามที่มีปัจจัยที่จะเริ่มถึงเฉพาะเห็น ไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากเห็นที่กำลังเห็น ขณะนั้นก็เป็นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่าสติปัฏฐาน และกว่าจะเข้าใจจนกระทั่งดับกิเลสหมด ยังไม่ต้องถึงพระอรหันต์ แค่พระโสดาบันก็ไม่ต้องคิดเลยว่าอีกนานเท่าใด ขึ้นอยู่กับปัญญาแต่ละขณะที่เข้าใจขึ้น แล้วคิดถึงทุกท่านที่สะสมปัญญามาแล้วมาก ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต่างจากคนที่อยู่ฝั่งนี้ คือฝั่งของกิเลส เพราะฉะนั้นฝั่งโน้นจะถึงได้ก็ด้วยอาศัยคุณความดี จึงเริ่มเข้าใจความหมายว่าบารมี มีคนที่ไม่ค่อยขยันทำกุศลใช่ไหม มีไหม ไม่ค่อยขยันทำกุศล แต่พอเข้าใจคำว่าบารมี เริ่มขวนขวาย แม้นิดเดียวที่ไม่เคยทำเริ่มทำ เพราะมีความเข้าใจไม่ใช่เพราะอะไร เพราะเข้าใจ เพราะเห็นประโยชน์ว่าถ้าขาดบารมี การที่จะดับกิเลสเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่ากิเลสเกิดจากความไม่รู้
เพราะฉะนั้นจึงรู้ว่า ถึงไกลแสนไกลแต่ความดีแต่ละขณะขณะนั้นไม่ทำให้พอกพูนกิเลส ซึ่งจะหนาขึ้นอีกยิ่งไกลไปอีก เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นประโยชน์อย่างนี้ เพราะปัญญามีจึงเริ่มเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำเพราะเหตุว่าปัญญาต่างหาก ที่ทำให้เกิดการกระทำที่เป็นกุศลได้ เมื่อนั้นเองจึงเป็นบารมี
อ.วิชัย ก็มีคำถามที่ฝากถามมาจากหาดใหญ่ อยากทราบความละเอียดของกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา
ท่านอาจารย์ บังคับได้ไหม
อ.วิชัย บังคับไม่ได้แน่นอน
ท่านอาจารย์ และกุศลที่เกิดไม่ประกอบด้วยปัญญามีไหม
อ.วิชัย ก็มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นบางคนเข้าใจผิดคิดว่า พอฟังธรรมเข้าใจแล้วกุศลทั้งหมดเกิดพร้อมด้วยปัญญา ไม่ใช่ แต่ปัญญาที่เข้าใจที่สะสมไว้เป็นปัจจัยให้มีกุศลธรรมเกิดขึ้นแทนอกุศลธรรม ส่วนจะประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ตาม แต่กุศลที่เกิดเพราะมีความเข้าใจ กุศลนั้นจึงเป็นบารมี แต่ไม่ได้หมายความว่า กุศลที่เกิดทุกครั้งต้องประกอบด้วยปัญญา
อ.วิชัย ก็เป็นการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ด้วยจิตที่ดีงาม แต่ว่าจะเป็นปัญญาหรือเปล่า ที่จะเป็นบารมี
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยเข้าใจเรื่องสังสารวัฏ ไม่เห็นโทษที่แม้กุศลเพียงเล็กน้อยก็ดีกว่าขณะนั้นเป็นอกุศล นี่เป็นปัญญาหรือเปล่า เพราะว่ากว่าจะถึงอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าขณะนั้นไม่เกิดกุศลก็เป็นอกุศลแล้ว เห็นโทษไหม วันนี้รวยไหมอกุศล เป็นเศรษฐีอกุศลกันทั้งนั้นเลย เต็มมากมายมหาศาล และกุศลเป็นขอทานเป็นยาจกไหม นานๆ จะเกิดสักครั้งหนึ่งไหม แล้วก็จะมุ่งหน้าไปถึงฝั่งโน้น ซึ่งดับกิเลสไม่เหลือเลย ลองคิดดู
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึงบารมีก็มี ๑๐ คือในบารมี ๑๐ ไม่มีสติปัฏฐานอยู่ในนั้นด้วย
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญา สตินั้นเป็นสติปัฏฐานได้ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่มีทางเป็นสติปัฏฐานได้ แต่ท่านไม่ได้ยกว่าสติปัฏฐานเป็น ๑ ในบารมี เพราะว่าอยู่ในปัญญาบารมีอยู่แล้วใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้ายกคงต้องยกหมด โสภณเจตสิก เมื่อมีปัญญาแล้ว เราก็พอจะกล่าวได้ไหมว่า กุศลนั้นมีปัญญาเป็นพื้นฐาน เพราะมีการสะสมของปัญญา ด้วยเหตุนี้เมื่อมีปัญญาแล้ว กุศลทั้งหลายเพราะมีปัญญาจึงเป็นบารมี
ผู้ฟัง ปัญญาเป็นหลักในบารมี ๑๐ ที่มีปัญญาเป็นหัวหน้าทั้งหมด
ท่านอาจารย์ ไม่อย่างนั้นคนก็คิดว่าเมื่อมีปัญญาแล้ว ไม่ต้องมีทาน ไม่ต้องมีการให้ ไม่ต้องมีอะไรเลย มีแค่ปัญญาอย่างเดียว แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ปัญญาต่างหากที่จะทำให้กุศลอื่นๆ เจริญขึ้น ปัญญานำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศล แม้แต่ทาน ถ้าไม่มีปัญญา เราอาจจะให้น้อยมาก หรือว่าให้ไม่ได้เลย แล้วแต่สิ่งที่ให้นั่นก็ให้ได้เพียงบางสิ่ง แต่พอมีปัญญาให้เพิ่มมากขึ้นหลายสิ่งก็ให้ได้ตามกำลังของปัญญา ทั้งหมดนี้ต้องตามกำลังของปัญญา
ผู้ฟัง แล้วอย่างในพระสูตรที่ท่านกล่าวถึงเศรษฐีที่ตระหนี่ แสดงให้เห็นถึงความตระหนี่ ซึ่งในเรื่องทานคงจะมีน้อยมาก แต่ว่ามีปัญญาที่ท่านทำมา ต่อมาจึงได้บรรลุความเป็นพระอริยบุคคล ชี้ให้เห็นถึงทานบารมีกับปัญญาบารมีต่างกัน หรือว่าต้องเข้าใจอย่างไร
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจว่าแต่ละหนึ่งตามอัธยาศัยที่ได้สะสมมา เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ บางคนมีการให้ทานมาก แต่ให้ทานอย่างนี้ได้ ให้ทานอย่างอื่นไม่ได้ ให้ได้แค่ประเภทของทานอย่างนี้ แต่ทานอื่นให้ไม่ได้ มีตัวอย่างมากมายในชีวิตประจำวัน ศีลเป็นมหาทาน เห็นไหม ถ้าไม่สามารถสละคำไม่ดี ก็ต้องพูดคำไม่ดี เพราะฉะนั้นการเว้นไม่กล่าวคำที่จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน เป็นศีล แต่ก็สละ ให้ทราบว่ากุศลทั้งหมดเป็นการสละ แต่ว่ามากน้อยเท่าใด สละความเป็นเรา แต่ไม่รู้เพราะว่าปัญญาน้อยมาก แต่กุศลทุกประเภทเป็นการสละ ไม่ใช่เป็นความติดข้อง
ผู้ฟัง ก็คือสัมพันธ์กันทั้งหมดในบารมี ๑๐
ท่านอาจารย์ กุศลมีมากมายเหลือเกินใช่ไหม กุศลนิดหนึ่งจะไปละสิ่งที่เป็นอกุศลประเภทนั้นหน่อยหนึ่ง กุศลอีกชนิดหนึ่งก็ไปละกุศลประเภทอื่นอีกหน่อยหนึ่ง แต่ทั้งหมดก็ยังอยู่ และถ้าทำกุศลประเภทนี้มากๆ ก็เหมือนกับว่าได้สละอกุศลประเภทนี้เช่น การให้ และการไม่ให้ เป็นต้น แต่อย่าลืมว่าเชื้อยังมีอยู่เต็ม และอย่างอื่นก็ยังมี เพราะฉะนั้นไม่สละเพราะอะไร ก็ยังมีอีก เพราะโทสะหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น แต่ทั้งหมดก็เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา และหมดแล้วด้วย มิฉะนั้นเราก็กังวลอยู่นั่นเอง แต่เดี๋ยวนี้เป็นธรรม และปัญญาไม่ได้รู้ตามที่ได้ฟัง ก็ฟังจนกว่าจะละความติดข้อง เพราะฉะนั้นการสะสมปัญญาที่ผ่านมาแล้วกี่กัปก็ตามแต่ ถึงเวลาที่จะให้ผลหรือยัง
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่ไปปฏิบัติที่สำนักปฎิบัติ แล้วจะรู้ความจริง เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของการสะสมจริงๆ เป็นเรื่องของอนัตตาจริงๆ ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนให้เป็นอัตตาได้เลย ท่านพระสารีบุตรรู้ก่อนไหมว่าท่านพร้อมแล้ว ไม่มีทางเลย ปกติธรรมดากิเลสเต็ม ปุถุชนธรรมดานี่เอง แต่ว่าสะสมสิ่งที่จะสามารถถึงเวลาที่จะมีสภาพนั้นปรากฏกับปัญญา เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็นเกิดดับแต่ว่าไม่ได้ปรากฏ เพราะเหตุว่าปัญญายังไม่ถึงขั้นที่สภาพธรรมนั้นจะปรากฏกับปัญญา ด้วยเหตุนี้ท่านที่เป็นพระภิกษุที่มีความเข้าใจ ภิกษุเห็นภัยในสังสารวัฏ ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ เวลานี้ปัญญาระดับนั้นยังไม่ปรากฏ แต่ก็สะสมเหตุปัจจัย เพื่อมีชีวิตที่จะถึงวันที่ปัญญาปรากฏ
อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ใช้คำว่าปัญญาปรากฏ แสดงว่าก็ไม่ใช่กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาธรรมดา
ท่านอาจารย์ แน่นอน ขณะนี้กำลังฟังเข้าใจใช่ไหม เป็นปัญญาธรรมดาหรือเปล่า ไม่ใช่ขณะที่ปัญญาปรากฏ ทั้งหมดทุกคำ ใครรู้ อวิชชารู้ไม่ได้เลย ตัวตนรู้ไม่ได้ แต่ปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกตั้งแต่เริ่ม ค่อยๆ สะสมไปด้วยการละทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นถ้าขณะใดที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด ปัญญาปรากฏไหม
อ.ธิดารัตน์ ก็ยัง
ท่านอาจารย์ แต่เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดพร้อมด้วยปัญญา ปัญญาปรากฏไหม เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นปัญญาระดับสติปัฏฐาน ไม่ใช่ระดับที่เป็นปฏิเวธ ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาระดับวิปัสสนาก็เหมือนกัน แต่ต่างระดับที่สิ่งนั้นเหมือนเดิม แข็งเป็นแข็งอย่างเดิมธรรมดา แต่ว่าปัญญาที่ถึงระดับของการที่จะถึงปัญญาระดับไหน ปัญญาระดับนั้นจึงปรากฏว่าสามารถที่จะรู้เข้าใจสภาพธรรมในขณะนั้นได้ขั้นนั้น ธรรมที่มีจริงๆ ๒ ประเภทใหญ่ คือสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม และสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้เป็นนามธรรม มี ๒ คือ จิต เจตสิก เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น ต้องเป็น ๑ ใน ๓ รูปเป็นรูป จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก เพราะฉะนั้นจะอาศัยอื่นเป็นปัจจัยได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต่างก็อาศัยกัน และกัน
ผู้ฟัง พอจะเริ่มมองเห็นช่องทางนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัจจัยจึงเป็นคัมภีร์สุดท้ายของอภิธรรมปิฎก คือคัมภีร์ปัฏฐาน เพราะว่าถ้าเรายังไม่รู้สิ่งที่กำลังมี เราจะรู้ปัจจัยของสิ่งนั้นได้อย่างไร ต้องเข้าใจในสิ่งที่มีถ่องแท้ แล้วจะละก็ต่อเมื่อ ทำไมแค่คิดก็ต่างกัน เห็นไหม หรือแม้แต่เห็นก็ไม่ใช่คิด ก็ต้องมีปัจจัยที่ต่างกัน มิฉะนั้นเห็นก็ต้องเป็นเห็น มีคิดด้วย แต่เพราะเหตุว่าเห็นไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้นคิดก็อาศัยปัจจัยอื่น เช่นไม่ต้องอาศัยตาก็คิด ไม่ต้องอาศัยหูก็คิด ใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งจะปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น
ผู้ฟัง ลึกล้ำมาก
ท่านอาจารย์ มากที่สุด แค่คิดถึงความไม่รู้ว่ายิ่งกว่าจักรวาล ทั้งหมดอยู่ในจิต ดำมืดสนิท สกปรกเต็มไปด้วยเชื้อโรค เท่านั้นเลย เท่าจักรวาล เพราะฉะนั้นชำระจิตให้ผ่องใส จึงสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง จึงมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพราะว่าถ้าไม่สามารถที่จะรู้จริงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ คำพูดเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นคำไม่จริง แต่เมื่อเป็นคำจริง คำจริงนั้นถึงที่สุด สามารถรู้ความจริงได้ และผู้ที่รู้ได้ จึงละความสงสัย และก็ดับกิเลสตามลำดับขั้น จนกระทั่งหมดไม่เหลือเลย
ผู้ฟัง ก็เป็นช่องทางให้พวกเรา ได้เกิดสั่งสมปัญญาแต่ละอย่างแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งแต่สุตตมยปัญญา จินตามยปัญญา ไปสู่ภาวนามยปัญญา
ท่านอาจารย์ เป็นสาวกโพธิสัตว์ เพราะว่าโพธิสัตว์มี ๓ พระมหาสัตว์หรือพระมหาโพธิสัตว์ คือผู้ที่บำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้สภาพธรรมซึ่งใครจะรู้ได้ กำลังเห็นอย่างนี้เกิดแล้วก็ดับด้วย แล้วก็ประกอบด้วยเจตสิกเท่าใด แล้วก็เมื่อจิตนี้ดับไปแล้ว จิตอะไรเกิดต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ โดยที่ว่ามีสภาพธรรมซึ่งเป็นปัจจัยต่างกัน เพราะว่าเห็นขณะนี้อาศัยเจตสิก ๗ ประเภท แต่ทันทีที่จิตเห็นดับ จิตที่เกิดสืบต่อต้องอาศัยเจตสิกเพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้ทำกิจเห็น แต่รับรู้สิ่งที่จิตเห็นเห็นเหมือนเห็นเลย แต่ไม่ได้ทำทัสสนกิจ ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีทางจะเป็นเราได้เลย และถ้าไม่ฟังพระธรรมก็ไม่มีทางที่สามารถจะถึงการรู้แจ้งสภาพธรรม ที่จะดับกิเลสถึงอีกฝั่งหนึ่งได้
ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นทุกคนที่ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมของพระบรมศาสดา จะต้องมีเหตุปัจจัยในการที่สะสมบุญทั้งหลายที่มาแต่เก่าก่อน
ท่านอาจารย์ แน่นอน แม้เห็นขณะนี้ก็ต้องเกิดมาจากชาติไหนก็ไม่รู้ กรรมอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการที่มีโอกาสได้ฟังธรรม ก็ต้องมาจากชาติไหน เกิดเป็นใคร แล้วก็มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเมื่อใด จากใคร เพราะว่าต่อไปอีกแสนโกฏกัปก็คือวันนี้ เพราะฉะนั้นที่เคยได้ฟังวันนี้เอง ใช่ไหม ก็สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริง ก็เห็นมี แล้วจะรู้ความจริงของเห็นไม่ได้หรือ ก็เห็นมี เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะรู้ความจริงที่เกิดดับไม่ได้หรือ แต่ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นปัญญาที่ละคลายความไม่รู้
อ.วิชัย เกี่ยวกับเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งธัมมานุปัสสนา ก็จะมีนิวรณ์บรรพ ขันธบรรพ อายตนบรรพ โพชฌงค์บรรพ แล้วก็สัจจบรรพ ก็ดูเหมือนกับเป็นธรรมแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง จะเป็นไปตามอำนาจของความยึดถืออย่างไร อย่างเช่น นิวรณ์ก็รู้ว่าเป็นอกุศลธรรม ขันธ์ก็รู้ว่าเป็นรูปขันธ์บ้าง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อะไรต่างๆ อย่างนี้บ้าง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม
อ.วิชัย มีจิต
ท่านอาจารย์ มีเจตสิกไหม
อ.วิชัย มี
ท่านอาจารย์ มีความรู้สึกอะไรไหม
อ.วิชัย ก็มี
ท่านอาจารย์ มีจำอะไรหรือเปล่า
อ.วิชัย ก็มีด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขันธ์ไหน
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020