ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
ตอนที่ ๙๘๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กรรม การกระทำที่ได้ทำแล้ว ไม่ได้หมดสิ้นไปเลย สะสมสืบต่ออยู่ในจิต จิตคือทุกคนเข้าใจคร่าวๆ ว่าทุกคนมีจิต แต่ถ้าถามจริงๆ ว่าจิตคืออะไรก็ตอบไม่ได้ นี่คือการไม่ศึกษา เหมือนรู้แต่ไม่รู้ ยังคงอยากจะเป็นอย่างนั้นต่อไปไหม เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่รีบร้อนไปรู้นั่นรู้นี่ เขาพูดอย่างนี้มา แล้วคำนี้หมายความว่าอย่างไร ก็คือว่าเราไม่ได้รู้อะไรทั้งหมดเลย เพียงแต่ต้องการจะรู้คำ แต่ทั้งหมดเป็นอะไรก็ไม่รู้ กรรมคืออะไรก็ไม่รู้ อโหสิคืออะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเห็นพระคุณก็คือว่าทีละคำ แล้วเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใครเลย เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ถ้ารู้ละเอียดขึ้นจนกระทั่งถึงกรรมคืออะไร เห็นไหม ทั้งหมดของพระพุทธศาสนาจะอธิบายให้เข้าใจได้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร นี่คือปัญญา ไม่ใช่ไม่อธิบายไม่อะไรเลย พูดไปเรื่อยถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร อย่างอโหสิ ถ้าคำแปลก็คือที่ได้ทำแล้ว กรรมคือการกระทำ เพราะฉะนั้นอโหสิกรรมคือกรรมที่ได้ทำแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่ากรรมคืออะไร ถ้าบอกว่ากรรมคือการกระทำ การกระทำคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีความจงใจ ไม่มีความตั้งใจ ก็ไม่ใช่กรรม
เพราะฉะนั้นธรรมจริงๆ มากมายหลายอย่างมาก แต่ละคำแต่ละคำ ถ้าเป็นผู้ที่จะเข้าใจจริงๆ จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และไม่ข้าม ไม่ต้องรีบร้อนไป วันนี้ตอนบ่ายเราจะได้กี่คำ และเราจะได้อะไรบ้าง แต่ว่าเราเข้าใจอะไรขึ้นที่มั่นคงชัดเจนว่าไม่ใช่เราแน่นอน เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอนัตตา ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทุกอย่างแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก เสียงมีจริง แข็งมีจริง เห็นมีจริง แต่ละหนึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นต้องศึกษาธรรมด้วยความละเอียดทีละคำดีกว่า
ผู้ฟัง ขออโหสิ กรรมที่ได้ทำไปแล้ว
ท่านอาจารย์ ขอโทษ บอกเขา
ผู้ฟัง ก็ขอโทษแล้ว ถึงเราจะถือโทษหรือไม่ถือโทษ อย่างไรก็กระทำไปแล้ว คือสร้างเหตุไปแล้ว ผลย่อมได้รับแน่นอนใช่ไหม
ท่านอาจารย์ นี่คือผู้ที่เริ่มคิดไตร่ตรอง เหตุได้กระทำแล้วผลต้องมี ไม่อย่างนั้นขอโทษกันให้หมดเลย ง่ายมากไม่มีผล กรรมที่ได้ทำแล้วไม่มีผล แค่ขอโทษก็จบหมดเลยอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ แต่ขอโทษหมายความถึง ความรู้สึกของคนที่ได้รู้ตัวว่า ได้ทำผิดจึงขอโทษ เห็นไหม รู้สึกตัวว่าทำผิดจึงได้ขอโทษ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้ว่าเขาผิด เขาจะขอโทษไหม แค่นี้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องมาถึงขอโทษคืออะไร คือได้ทำผิดคือโทษ เพราะฉะนั้นขอโทษที่ได้ทำผิด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าขอโทษคืออะไรอีก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ชัดเจน ธรรมทั้งหมดทั้งหลาย เวลานี้ยังไม่ได้โผล่ออกมาให้เห็นเลยว่าเป็นธรรมอะไร แค่เป็นเรื่องราว เป็นตัวตนเหมือนเคยใช่ไหม แต่ธรรมละเอียดมาก ต้องตั้งต้นจริงๆ แต่ละคำ
อ.ธิดารัตน์ ถ้าข้อความโดยตรง ท่านก็ได้กล่าวว่า กรรมได้มีแล้ว วิบากกรรมได้มีแล้วข้อหนึ่ง กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว นี่ก็คือสำนวนที่ท่านอธิบาย ที่ท่านอธิบายว่ากรรมได้มีแล้ว วิบากมีข้อหนึ่ง แล้วก็วิบากจะไม่มีอีกข้อหนึ่ง จะมีความต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ วันนี้ทำกรรมแล้วใช่ไหม หรือยังไม่มีใครทำกรรมเลย ตามความเป็นจริง กรรมคือการกระทำ ดีก็มี ชั่วก็มี ทำแล้วให้ผลหรือยัง เหตุได้กระทำแล้วผลเกิดขึ้นหรือยัง เพราะฉะนั้นกรรมนั้นให้ผลแล้วหรือยัง ถ้าพูดถึงอดีตที่ได้กระทำกรรมมาแล้ว กรรมนั้นได้ให้ผลแล้วก็มีใช่ไหม และกรรมนั้นที่ยังไม่ได้ให้ผลแล้วแต่จะให้ผลชาตินี้มีไหม มี และกรรมที่ได้ทำแล้วนั่นเอง ชาตินี้ยังไม่ให้ แต่จะให้ผลในชาติต่อไปมีไหม นี่ก็คือเท่านี้เอง ถ้าเรามีความเข้าใจแล้ว จะอ่านข้อความในพระไตรปิฎกเข้าใจ แต่ถ้าเราไม่มีความเข้าใจ อ่านแล้วก็งง ใช่ไหม แต่ถ้ารู้ว่ากรรมที่ได้ทำไปแล้ว ในอดีตก็มี ปัจจุบันก็มี
เพราะฉะนั้นก็กล่าวถึงผลของกรรมว่า กรรมที่ได้ทำแล้วในอดีต ให้ผลในอดีตแล้วก็มี จริงไหม ทุกคำต้องไตร่ตรอง ผ่านมาแล้วในแสนโกฏกัป ให้ผลไปแล้วจากกรรมที่เป็นเหตุที่ได้กระทำแล้วเมื่อใดก็ไม่รู้ แต่ชาตินี้กรรมที่ได้ทำแล้ว ให้ผลแล้วคือปฏิสนธิเกิดแล้ว ใช่ไหม เห็นไหม กรรมหนึ่งที่เราได้ทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดแล้วชาตินี้ ให้ผลในชาตินี้ เป็นคนนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ มาจากกรรมไหน เป็นผลของกรรม กรรมต้องเข้าใจว่า กรรมไม่ใช่เราเป็นธรรม ซึ่งได้แก่เจตสิกชนิดหนึ่ง เห็นไหม เราต้องศึกษาธรรมมากเหลือเกิน แล้วทีละคำด้วยความเคารพจริงๆ ว่าเรายังไม่รู้ เราก็ฟัง ทำไมยังไม่รู้ตอนนี้ แล้วยังอยากจะรู้ต่อไป ถ้าไม่รู้ตอนนี้ก็กลับไปรู้ว่า ตอนต้นเรารู้หรือเปล่า อย่างคำว่ากรรมคำเดียว เรารู้หรือเปล่าว่าคืออะไร พอเขาบอกว่ากรรม เราก็กรรมเลย นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทีละหนึ่งคำ กรรมไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร เห็นไหม ถ้าไม่ตั้งต้นว่าแล้วเป็นอะไร ทั้งหมด ๔๕ พรรษาทั้ง ๓ ปิฎกจะไม่เข้าใจ หลงคิดว่าได้ศึกษาธรรม หลงคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ความจริงถ้าเข้าใจจริงๆ ทุกคำต้องเริ่มต้นด้วยคืออะไรก่อน เพราะฉะนั้นอโหสิได้มีแล้ว อโหสิกรรม กรรมคือการกระทำ การกระทำที่ได้กระทำแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เฉลยว่าแล้วอะไร เราหรือเปล่าที่ได้กระทำกรรมแล้ว เห็นไหม กรรมที่ได้ทำแล้วเป็นเราหรือเปล่า ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรมไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ใคร เพียงแต่มีปัจจัยธรรมที่สนับสนุน ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
นี่คือเริ่มต้นของการที่จะศึกษาธรรม ไม่ใช่ว่ายังไม่รู้จักธรรมเลย แล้วก็พูดเรื่องกรรม พูดเรื่องผลของกรรม พูดเรื่องวิบาก พูดเรื่องอะไรสารพัดเรื่อง ใช่ไหม แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะอะไร เพราะแม้จะเกิดก็บังคับให้เกิดไม่ได้ ใครบังคับให้อะไรเกิดขึ้นได้บ้าง แล้วก็เกิดแล้วก็ดับไป โดยไม่รู้ด้วย ใครบังคับได้ว่าไม่ให้ดับไป ใช่ไหม เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเกิดดับ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพื่ออะไร เพื่อละความเห็นผิดซึ่งไม่เคยรู้ความจริง และยึดถือว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย สนุกสนานก็เป็นเรา เห็นก็เป็นเรา ดีใจก็เป็นเรา คิดก็เป็นเรา ทั้งหมดเป็นเราไปหมด ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น มีเราไหม ก็ไม่มี ใช่ไหม เพราะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วไม่รู้ใช่ไหม จึงเข้าใจว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้นจะไม่ตายได้ไหม ก็ไม่ได้ แล้วเราตายหรืออะไรตาย ทั้งหมดต้องเป็นการที่เริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเข้าใจอย่างมั่นคงอย่างนี้ ฟังแต่ละคำต่อไปได้ ที่จะต้องตรงตามนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าค้านกัน คือต้องคิดถึงประโยชน์จริงๆ ที่เรามาที่นี่ ประโยชน์คือเข้าใจ
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราจะมาพูดธรรมกัน สนทนาธรรมกัน ได้เรื่องตั้งเยอะแยะคำตั้งมากมาย นั่นไม่ใช่ความประสงค์ ไม่ใช่ความเป็นมิตรที่ดี ถ้ามิตรที่ดีต้องรู้ว่าฟังแล้วหรือยัง เคยฟังมาก่อนไหม แล้วก็แต่ละคำเข้าใจแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังแล้ว ลึกลงไปในจิต หรือว่าเพียงแค่ผิวๆ แล้วก็หายไป ที่จะต้องย้ำบ่อยๆ ให้มีความเข้าใจในแต่ละคำซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มี แต่ก็ผ่านหู ฟังมาตั้ง จะใช้คำว่า ถ้าเป็นหนังสือก็คงเป็นปึกใหญ่ แต่ว่าแต่ละคำเดี๋ยวนี้เข้าใจแค่ไหน จริงๆ แล้วก็คือฟังเพื่อละคลายความติดข้องในความเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะรู้ความจริงว่าไม่มีเราแค่นี้ ตลอดชาติ กี่ชาติกี่ชาติที่เราจะฟัง ไม่ใช่ฟังคำเยอะๆ มากๆ เดี๋ยวคำนี้เดี๋ยวคำนั้น แต่ว่าแต่ละคำขอให้มาสู่ความจริงเดี๋ยวนี้ว่า เพื่อที่จะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา สิ่งที่มีไม่ไช่เรา แม้กำลังมีขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี มีเมื่อเกิดขึ้น จะเป็นเราได้อย่างไร แล้วก็ดับไป ฟังแค่นี้ เข้าใจมั่นคงขึ้นจากคำอื่นอีกหลายๆ คำ ที่จะซ้ำซ้ำซ้ำให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ นี่คือประโยชน์จริงๆ ของการฟังธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ได้ทราบว่ามีหลายคนซึ่งไม่เคยฟังมาก่อนเลย
เพราะฉะนั้นจะตามไม่ทัน ใช่ไหม แล้วคนที่คิดว่าเข้าใจแล้ว อยากจะไปเร็วๆ แต่ เร็วแล้วก็ทิ้งไป เร็วแล้วก็ทิ้งไป เข้าไปถึงใจแค่ไหน ที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้ก็คือ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็น ไม่ว่าจะได้ยิน ไม่ว่าจะคิด แต่ว่าไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบร้อนไปรู้คำเยอะๆ ไปไหนเลย เพียงแต่ว่าสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ มั่นใจได้แน่นอนว่ากำลังมี เช่น เห็นกำลังมี ใครว่าไม่มี ก็กำลังเห็น แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย เป็นธรรม มีจริงหรือเปล่า แค่นี้ต้องตั้งต้นว่ามีจริง ใครทำให้เกิดขึ้น ใครก็ทำไม่ได้ เกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วที่ไม่รู้ก็คือว่า เกิดแล้วดับไป หาความเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคงยั่งยืนไม่ได้ แล้วก็ยังฟังคำอื่น ค่อยๆ ฟังไปทีละคำสองคำ เพื่อย้ำสิ่งที่ได้ฟังเข้าใจมั่นคงว่าเป็นอย่างนี้แน่นอน แต่ละชาติแต่ละชาติแต่ละชาติไป จนกระทั่งค่อยๆ คลายการที่เคยยึดถืออย่างเหนียวแน่นมั่นคงว่าเป็นเรา แน่นอนตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็คือว่าเห็นพระคุณของพระธรรม ที่ทำให้สามารถค่อยๆ คลายความติดข้องด้วยความเข้าใจสิ่งที่มี จากแต่ละคำที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง เพื่อที่จะเกื้อกูลให้คนที่อย่างเราละยากใช่ไหม เห็นไม่ใช่เรา พูดได้ แล้วเมื่อใดจะไม่ใช่เรา ไม่ใช่เพียงแค่บอกว่า เดี๋ยวนี้ฉันรู้แล้วว่าเห็นไม่ใช่เรา รู้ลักษณะของเห็นแค่ไหนจึงจะกล่าวมั่นคงได้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นคำพูด แต่เป็นปัญญาที่เข้าใจขึ้น จนประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีตามที่ได้ฟังเมื่อใดก็ได้ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เป็นเรื่องตัวตน อยากจะถึงเร็วๆ แล้วไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังในขณะนี้เพื่อละคลายความเป็นเรา แค่นี้ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจทีละคำ คำไหนที่ยังไม่เคยรู้เลย เช่น ธรรม ฟังธรรม สนทนาธรรม แต่ว่าเข้าใจมั่นคงไหมว่า ธรรมก็คือของธรรมดาธรรมดาที่มีอยู่ทุกวัน และมีจริงๆ นั่นเอง แต่ไม่เคยรู้ความจริงว่า เป็นแต่เพียงแต่ละหนึ่งซึ่งหลากหลายมาก เกิดแล้วก็ดับ แต่เร็วจนกระทั่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ จนกว่าจะมีการตรัสรู้
เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเป็นปกติ เหมือนเดิม แต่มีการเริ่มเข้าใจจากการฟัง และจากการฟังที่เข้าใจ ลืมไหม คิดถึงบ่อยๆ หรือเปล่า หรือว่าฟังแล้วจบ จบจริงๆ มีสิ่งอื่นแล้ว แต่สิ่งที่ได้ฟังไม่สูญหาย เพราะอะไร ฟังอีก ฟังอีก ฟังอีก รู้ว่าขาดการฟังไม่ได้เลย ขาดการฟังเมื่อใดก็ลืมไปหมด แม้ว่ามีอยู่ก็เหมือนเมล็ดพืชที่ตกอยู่ที่ก้อนหินที่กันดาร ไม่สามารถที่จะงอกงามขึ้นมาได้ เพราะว่าพื้นของจิตหยาบมาก สะสมอกุศลไว้หนาแน่นมาก ไม่มีทางที่จะเอาออกมาได้เลย อกุศลทั้งหลายที่สะสมมากมายมหาศาล ทั้งแข็ง ทั้งเหนียว ทั้งแน่น ต้องอาศัยบำเพ็ญบารมีนานเท่าใดแต่ละคนที่จะค่อยๆ อาศัยความเข้าใจนั่นเอง ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นความเข้าใจเมื่อใด เข้าใจตรงนั้นต่างหาก ที่ค่อยๆ ทำให้ความไม่รู้ค่อยๆ ลดน้อยลงไป เพราะฉะนั้นแต่ละคำไม่ข้ามเลย อย่างธรรมมั่นคงไหม ใครยังสงสัย ไม่รู้จักธรรม ได้ยินคำว่ายุติธรรม และอะไร ใช่ไหม แล้วอะไร ก็ต้องมีจริงใช่ไหม แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ต้องตรงเพราะว่าแต่ละคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งมากมายตลอดเวลา เวลานี้เกิดดับนับไม่ถ้วน
เพราะฉะนั้นก็จะมีคำแต่ละคำ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงโดยนัยที่หลากหลายมาก ศีลธรรมเคยได้ยินไหม จริยธรรมเคยได้ยินไหม คุณธรรมเคยได้ยินไหม และธรรมคืออะไรรู้หรือยัง ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ตอบคำถามได้หมด ศีลมีจริง คุณธรรมมีจริง ยุติมีจริง พวกนี้คือหมายความว่า ธรรมให้เห็นความละเอียด ถ้าใครก็ตามไม่เริ่มเป็นคนละเอียด จะไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมที่ละเอียดได้ เข้าใจเผินๆ กันทั้งนั้นเลย แล้วถ้าเรียนเพื่อสอบยิ่งแย่ โลภะหรือเปล่า ทำไมต้องสอบ มองไม่เห็นโลภะเลย ถ้าเป็นสิ่งที่ใส บาง มองเห็นไหม ใสก็มองไม่เห็นแล้ว แล้วยังบางด้วยใสด้วย คิดดู นั่นคือลักษณะของโลภะ ซ่อนอยู่แทบจะว่าไม่มีใครรู้ได้เลย ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เช่น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นเป็นเห็น ความติดข้องในเห็นมีแล้ว ใครรู้ เร็วมากเลย แล้วเป็นอย่างนี้ทุกวันตลอดทุกชาติ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็คือเพื่อเข้าใจธรรมเท่านั้น แล้วก็เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่อยากรู้ ไม่ใช่อยากเข้าใจ ความอยากมาแล้ว บังแล้ว มองไม่เห็นตัวสายใยแก้วที่บังไว้เลยตลอดเวลา กั้นความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏด้วยความอยาก
เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงที่ว่าไม่ได้ต้องการอะไรเลย นอกจากฟังเมื่อใดก็เข้าใจคำที่ฟัง ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฟัง ไม่ใช่อย่างอื่นเลย เข้าใจเท่าที่เข้าใจไปเรื่อยๆ ถ้ามีความเข้าใจแค่นี้ แล้วบอกว่าไม่พออยากได้อีกหรือเปล่า ก็มีแค่นี้ก็เข้าใจแค่นี้ จะทำอย่างไร ก็ฟังต่อไป ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกใช่ไหม เท่านั้นเอง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะเห็นโลภะสายใยที่บางใสที่กั้นมองไม่เห็นเลย เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเข้าใจคำว่าธรรม มีใครสงสัยในคำนี้คำเดียวบ้างไหม สิ่งที่มีจริง แค่ฟังไม่พอ เข้าใจคำนี้ ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ ถ้าไปที่อื่น ลืมไหม คนที่เข้าใจจริงๆ ไม่ลืม แต่ไม่ได้คิดถึง เพราะว่าสภาพที่คิดไม่ใช่สภาพที่ลืม เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ทั้งหมดในชีวิตของเรา เราไม่สามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมละเอียดขึ้นละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ถ้าใครบอกว่าธรรมคืออย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เขาเข้าใจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดถึงธรรม เดี๋ยวนี้มีไหม มี เกิดแล้วใช่ไหม จึงปรากฏว่ามี หมดแล้วรู้ไหม แต่ฟังเข้าใจขึ้น เห็นไหม เพื่อนำไปสู่การรู้จริงๆ ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ดับแล้ว ไม่นำไปสู่ความเข้าใจที่มั่นคงเลย จะไปขวนขวายทำอย่างอื่น อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ปกติธรรมดาอย่างนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้เอง ปัญญาสามารถเริ่มจากการฟัง ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ลักษณะ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอีก จนกว่าสามารถที่จะรู้ว่าการละ ต้องละสิ่งที่เคยไม่รู้ และกำลังมี ถ้ากล่าวถึงตัวธรรม ก็คือสิ่งที่มีจริงๆ เห็นมีจริงไหม
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ มีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เห็นจริงๆ
ผู้ฟัง เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นจริงๆ สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนให้ไม่มีได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ นั่นเองคือธรรม สิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ จะให้ไม่มีก็ไม่ได้ ก็เห็นเกิดแล้ว จะไม่มีเห็นหรือ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรม และการที่รู้ธรรมเพื่ออะไร
ท่านอาจารย์ เพื่อละการที่เคยเข้าใจผิดว่าเราเห็น ถ้าเห็นไม่เกิด จะมีเราเห็นไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ แต่พอเห็นเกิด ไม่รู้ว่าเห็นเกิด ไม่ใช่เรา เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ จึงใช้คำว่าธรรม
ผู้ฟัง เห็นเป็นปรมัตถ์หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ปรมัตถ์คืออะไร
ผู้ฟัง ปรมัตถ์คือของจริงที่เป็นสากล
ท่านอาจารย์ หมายความว่าอะไร สากล
ผู้ฟัง เป็นสากล ก็ไม่ว่าชาติภาษาใดก็สามารถรู้ได้ อย่างเช่นไฟร้อน ไม่ว่าชาติไหนภาษาใดที่ไปสัมผัสก็รู้ว่าร้อน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นร้อนเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เปลี่ยนแปลงได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ นั่นคือความหมายของปรมัตถธรรม คือเราพูดแล้ว เราต้องเข้าใจด้วย ปรมะ ภาษาบาลี ภาษาไทยเราจะใช้บรม แทน ป เราใช้ บ
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ อรรถ ธรรมทุกอย่าง ต้องมีลักษณะเฉพาะของตน ที่เรากล่าวถึงธรรม เรากล่าวถึงลักษณะของธรรม มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ว่า ธรรมอะไรใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละอย่างก็มีลักษณะที่เป็นเฉพาะธรรมนั้น เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นอื่นไม่ได้ ใครเปลี่ยนเห็นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเห็นนั่นเองเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม ใครก็เปลี่ยนแปลงเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเราเห็นหรือเปล่า เห็นเป็นเห็น ไม่มีเรา
ผู้ฟัง ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทั้งหมดมีแต่ธรรม ไม่มีเรา
ผู้ฟัง เพราะว่าเกิดดับอยู่ตลอด
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เริ่มเข้าใจ ถ้าไม่มีการสนทนาอย่างนี้ เราจะเข้าใจไหม เห็นไหม ฟังไปฟังไปเหมือนเข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังไปฟังไปสนทนาธรรม มีประโยชน์ที่ว่าทำให้เรามีความเข้าใจที่มั่นคง เพราะเราคิด เรามีการไต่ถาม เรามีการสนทนากัน เพื่อที่จะรู้ว่าที่ได้ฟังไปแล้วเข้าใจแค่ไหน เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง เริ่มอยู่ในโลกของปรมัตถธรรม ที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ ก่อนมานั่ง ไม่มีโลกของปรมัตถธรรม เพราะเราไม่ได้พูดถึงธรรมใช่ไหม แต่พอมานั่งอยู่ตรงนี้ โลกของปรมัตถธรรม เราไม่พูดถึงโลกอื่นเลย แต่กำลังพูดถึงโลกที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ธรรมมีจริงๆ หลากหลายมากไหม
ผู้ฟัง มาก
ท่านอาจารย์ ธรรมที่หลากหลายมากๆ นับไม่ถ้วนต่างกันไหม เห็นกับได้ยิน
ผู้ฟัง คนละชนิดกัน
ท่านอาจารย์ ก็ต่างแล้วใช่ไหม เห็นเป็นเห็น เห็นจะเป็นได้ยินได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งต่างกันมากมาย แต่ว่าในความต่างกันมากมาย จะจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ที่ต่างกัน เช่น ได้ยินกับเสียง เป็นธรรมหรือเปล่า
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020
