ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๖๘

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดมาก แต่ไม่ปะปนกัน แม้แต่ความอยาก ความต้องการกับความพอใจ หรือว่าความสนใจ ก็ต่างกันใช่ไหม อยากเป็นความติดข้อง ฉันทะ ความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ติดข้องเพราะว่าถ้าติดเมื่อใดเป็นโลภะ เป็นธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดพร้อมกันในหนึ่งขณะเร็วมาก ไม่มีทางที่จะรู้ว่าขณะนี้กำลังอยู่ในความมืดสนิทด้วยความไม่รู้ จริงไหม เห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้ คิดก็ไม่รู้ จำก็ไม่รู้ ชอบก็ไม่รู้ ไม่ชอบก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งหมด และสิ่งที่ไม่รู้ที่มีจริงๆ อยู่ไหน อยู่ในความมืด ไม่ได้รู้เลย เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ใครรู้ ปัญญาที่เกิดจากการฟังว่ามี แต่ไม่ปรากฏเพราะอะไร เกิดแล้วดับแล้วเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปนับเลยว่า ขณะนี้จิตเจตสิกเกิดเท่าใด รูปเกิดเท่าใด นี่พูดเป็นคำที่คนใหม่ก็ยากหน่อย แต่ให้ทราบว่าคำที่ชินหูก็คือว่ามีธาตุรู้ และธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ใช้คำว่าจิต แต่บางทีก็ใช้คำหลากหลาย เพราะว่าจิตมีหลายประเภท บางประเภทก็ใช้คำว่าวิญญาณ บางประเภทก็ใช้คำว่ามโน แล้วแต่จะใช้คำว่า มโน มนัส อะไรก็ตามแต่ ภาษาของตนของตน ก็คือว่ามีสิ่งที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้น ค่อยๆ ตั้งต้น ค่อยๆ เห็นความลึกซึ้ง

    เพราะว่าบางคนคิดว่า เขาจะต้องเรียนพระอภิธรรมมัตถสังคหะจบ แล้วก็เรียนพระไตรปิฎกแต่ละส่วนอีกให้จบ หรือว่าจะไม่จบก็ตามแต่ แต่อ่านจบ อ่านได้ แต่เข้าใจไม่มีจบ แม้แต่คำเดียวจบไหม ธรรมลองบอกมา หลากหลาย ทุกอย่างเป็นธรรมหมด แล้วจะจบได้อย่างไร นี่ก็เป็นการที่ฟังเพื่อเป็นโอกาสที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ที่ได้สามารถเข้าใจความจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่มีโอกาสที่จะรู้ความจริงเลย เขาว่าเขาบอก แต่ว่าเป็นความเข้าใจของเราเองหรือเปล่า เพราะฉะนั้นมรดกที่ล้ำค่าประเสริฐสุด จากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อเรา ก็เพื่อมีคำที่บ่งถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละคำละเอียดขึ้น จนกระทั่งทำให้สามารถที่จะเห็นความจริงตามลำดับขั้นได้ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตอนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาที่คิดว่า ตั้งพระทัยที่จะเป็นผู้ที่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ไม่ใช่แค่พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง ทั้งหมดทุกคนในสากลจักรวาล ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้รู้ความจริง ได้เข้าใจด้วยแต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เพียงฟังแค่ไหนก็คือว่า ตามที่ได้เข้าใจแล้วก็บางครั้งบางคราว แม้ว่าไม่ได้ฟัง ยังเกิดคิดไตร่ตรองธรรมที่ได้ฟัง แทนที่จะคิดเรื่องอื่น เพราะว่าเรื่องอื่นที่จะคิดมากมายมหาศาล คิดเรื่องธรรมน้อยแค่ไหน บางวันไม่ได้คิดเลย กำลังฟังนี่เองฟังเข้าใจ จบแล้วก็คือจบเป็นธรรมดา ธรรมดา ธรรมตา ตาคือความเป็นไปของธรรม สิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น ฝนต้องตกแดดต้องออก ใครไปยับยั้งได้ พระจันทร์ต้องขึ้นพระอาทิตย์ต้องตก เห็นต้องเห็น ได้ยินต้องได้ยิน เหมือนกันไหม ทุกอย่างก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง จนกว่าจะค่อยๆ คลายการติดข้องยึดถือ ได้ยินได้ฟังธรรมตามเหตุตามปัจจัย เมื่อคืนนี้ใครคิดว่าจะได้ฟังเรื่องนี้บ้าง แต่ละคำแต่ละคำยังไม่รู้เลยว่า เราจะสนทนากันเรื่องอะไร รู้แต่ว่ามีสนทนาธรรม โอกาสที่ยากยิ่งในสังสารวัฏ เห็นอื่นก็เห็นมากมาย ได้ยินอื่นก็ได้ยินมากมาย แต่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำที่จะได้ยิน และค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าไม่มีโอกาสในแต่ละชาติก็ผ่านไป แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังเป็นนก เป็นช้าง เป็นงู แล้วเรา ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันบุคคล ก็หมายความว่ายังเกิดในอบายภูมิได้ แต่ก็ยังดี เพราะว่าสิ่งที่ได้เข้าใจแล้ว ไม่ได้หายไปไหนเลย อยู่ในจิตทุกขณะสืบต่อกันสะสมไว้ แต่ว่าอะไรจะสืบต่อมาก กุศลหรืออกุศล ดีหรือชั่ว ถ้ามีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในเรื่องต่างๆ มากมาย ในวิชาการในอะไรทั้งหมด สิ่งนั้นก็มากมายจนอดคิดเรื่องนั้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นจะรู้จักธรรมว่าเป็นไปตามการสะสม คิดถึงอะไร ผ่านร้านขายเสื้อผ้า คิดถึงอะไร ผ่านร้านอาหาร คิดถึงอะไร เห็นก็เห็นแต่ยังคิดต่อใช่ไหม เพราะฉะนั้นทั้งวันของเราก็ไม่พ้นจากเรื่องที่เคยสะสมความยินดี ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ คือสัมผัส ได้แก่ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ๓ รูปรวมกันก็รวมเรียกว่าโผฏฐัพพะ กระทบเย็นขณะหนึ่งไม่ใช่แข็ง กระทบอ่อนขณะหนึ่งไม่ใช่ร้อน เพราะฉะนั้นเป็นรูปแต่ละหนึ่ง ซึ่งสามารถปรากฏให้รู้ได้ว่ามีสิ่งนั้นจริงๆ ต่อเมื่อกายกระทบ จึงปรากฏให้รู้ว่ามี เพราะฉะนั้นก็รวมเรียกต่อไปนี้ เห็นมีสี หรือสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีเสียง มีกลิ่น มีรส และโผฏฐัพพะ หมายความว่าสิ่งที่กระทบกายได้ ๓ อย่าง ไม่มีเราเลย ทุกขณะผ่านไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจ ความเข้าใจแม้น้อยก็เป็นประโยชน์ เพราะว่าจากความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกจนกระทั่งละการที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกสิ่งเดียวที่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้ ถ้ายังไม่รู้อยู่ก็ต้องติดข้อง จะไม่ติดข้องได้อย่างไร เกิดมาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านี้ ก็รักที่สุดแล้ว ของเราหมดทุกส่วน เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ความรู้ความเข้าใจถูกเท่านั้นที่จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ อย่าหวังที่จะไปเข้าใจอย่างนั้นมากอย่างนี้มาก แค่ละความไม่รู้

    อ.อรรณพ ถ้าพูดถึงเฉพาะในชาตินี้ ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นมาตลอด ก็เหมือนกับไม่ปราศจากการเห็น ถ้าไม่พูดถึงตอนที่หลับ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าทำไมเพียงแค่เห็นก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ทั้งๆ ที่เห็นจนนับไม่ถ้วน

    ท่านอาจารย์ ในบรรดาชาวโลกทั้งหมดก็เห็น แล้วก็ไม่เข้าใจทั้งนั้น จนกว่าจะได้ฟังคำที่กล่าวถึงเห็น แล้วก็เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ใครเป็นผู้ที่กล่าวคำนี้ ถ้าไม่รู้จะกล่าวได้ไหมถึงเห็น ซึ่งกำลังเห็นค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะมีความเห็นถูกต้องว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะว่าตามความเป็นจริงทั้งหมดเหมือนยั่งยืน ปรากฏนาน แต่ความจริงถ้ารู้ สั้นเพียงใด เพียงแค่ปรากฏแล้วดับ เวลานี้ลองกระทบแข็ง มีแข็งปรากฏ รู้ไหมว่าดับแล้ว ฉันใด ทางตาที่ดูเหมือนว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่กระทบตา เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น เห็นหนึ่งขณะแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ฟังไป ทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นเราพยายาม ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ เพราะเราผิด เป็นธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    อ.อรรณพ ความสำคัญหรือความลึกซึ้งของเห็นอย่างไรให้พอที่จะเข้าใจเป็นพื้นฐานของปัญญา ที่พระองค์ท่านได้อนุเคราะห์แสดง

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะให้เข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่ผิวเผิน เข้าใจต้องทีละคำ เพราะฉะนั้นเวลาที่กำลังฟังได้ยินไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย แต่คิดถึงคำที่ได้ฟัง ธาตุหรือธา-ตุ ศึกษาทีละคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม แล้วก็กล่าวถึงธาตุ เป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า เพราะว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงในภาษาบาลีไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงก็มีจริงกับทุกภาษา จะพูดหรือไม่พูด จะเรียกหรือไม่เรียก เปลี่ยนลักษณะสภาพธรรมที่มีจริงไม่ได้เลย นี่เป็นสิ่งที่เริ่มเข้าใจว่าเราไม่รู้อะไร แม้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ทุกคนเห็นเหมือนกัน ทุกคนก็คิด ทุกคนก็ชอบ ทุกคนก็ไม่ชอบ ทุกคนก็โกรธ เหมือนกันหมดเลย แล้วเป็นอะไร เป็นเรา เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงมีผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ รู้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำไมไม่เหมือนกัน อย่างเห็นกับได้ยินจะพร้อมกันไม่ได้ แต่เราเคยคิดไหม ตั้งแต่เช้ามา เราทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งรับประทานอาหาร ไม่เคยคิดเลยว่า ไม่ได้พร้อมกันเลย เป็นสิ่งที่มีจริงเพียงแต่ละหนึ่ง ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้คิดเลย

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็เหมือนกับว่าเราฟังแล้วเราไม่ได้ไตร่ตรองโดยละเอียด ฟังไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเริ่มคิดจริงๆ ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ให้เราไปรู้ไปเห็น แต่ว่าเริ่มเข้าใจแล้วก็รู้ด้วยว่า กำลังพูดเรื่องเห็น ก็เห็นกำลังมี ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ก็เริ่มเข้าใจอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ให้ไปรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เห็นขณะนี้เกิดดับ อย่าคิดอย่างนั้นเลย เพราะเหตุว่าความเข้าใจสักเล็กน้อยยังไม่พอ ที่จะทำให้ไปละคลายความติดข้องซึ่งหนาแน่นมาก อวิชชาความไม่รู้ นานเท่าใดหนาแน่นเท่าใด แล้วเพียงคำแค่นี้แล้วเราก็จะไปรู้ว่า ขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ แค่ได้ยินคำว่าเห็นเกิดแล้วดับ ไม่ได้รู้ขณะนี้ว่าเห็นเกิดแล้วดับ แต่เริ่มเข้าใจว่าเห็นไม่ใช่เรา เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงแน่นอนไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วจึงปรากฏว่า กำลังเห็น และเห็นก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ขณะนั้นต้องไม่มีอย่างอื่นเลย ถ้าศึกษาต่อไปก็จะรู้ว่าสภาพรู้หรือธาตุรู้ ที่เราใช้คำว่าจิต เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็น ธาตุรู้ เราใช้คำว่าธาตุรู้จะใช้คำว่า จักขุวิญญาณธาตุในภาษาบาลีก็ได้ เพราะเหตุว่า ธาตุหมายความถึงสิ่งที่มีจริง วิญญาณรู้ จักขุวิญญาณสภาพรู้ที่ต้องอาศัยตาจึงสามารถจะเกิดขึ้นได้ แค่นี้ เห็นความเป็นอนัตตาไหม ทั้งหมดไม่ใช่ให้เราไปรู้การเกิดดับหรืออะไร แต่ให้เริ่มเข้าใจถูกเห็นถูกว่า ขณะนี้ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีจริงกำลังปรากฏ เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำเลยทั้งสิ้น เกิดแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะมีอะไรขณะนี้

    เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าถึงความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าก่อนเกิดไม่มี เกิดมีสิ่งนั้นแล้วสิ่งนั้นก็หมดไป จากไม่มีเห็น แล้วก็เกิดเห็น แล้วเห็นก็หมดไป เห็นจะเป็นเราได้อย่างไร ไม่ใช่รีบร้อนไปประจักษ์การเกิดดับหรืออะไรเลย แค่นิดหน่อยไม่กี่คำ ที่ได้ฟังจากการที่ทรงตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเห็นความต่างกันแสนไกล ระหว่างความเข้าใจ ต้องมาจากการฟังก่อน เพราะว่าทุกคนเห็น แต่ทุกคนไม่เคยสนใจเรื่องเข้าใจเห็น จนกระทั่งได้ยินได้ฟังคำ ที่ทำให้เริ่มคิดว่าเห็นเป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรผ่านไป เพราะเหตุว่ามีเห็น และเห็นก็เกิดแล้วเห็นก็ดับ ได้แต่ฟังก่อน ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเหตุว่าถ้าคิดจะทำก็คือว่าเป็นเราอีก คิดเกิดแล้วใช่ไหม เราหรือเปล่า ก่อนคิดไม่มีคิด แล้วมีคิด แล้วคิดก็ดับไป เพราะฉะนั้นคิดเป็นเราหรือเปล่า นี่เป็นความละเอียดอย่างยิ่งที่จะต้องค่อยๆ ฝังลึกลงไป เพื่อจะให้เข้าใจในความเป็นอนัตตาว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามปัจจัย ใครอยากจะมีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิดดับเดี๋ยวนี้ เสียเวลา ใครจะไปมีปัจจัยได้ แต่ความเข้าใจต่างหากที่จะเกิดจากอะไร เกิดจากฟังไตร่ตรอง เป็นผู้ที่ตรงว่าความลึกซึ้งของแม้เห็นที่กำลังเกิดดับ กว่าจะถึงปัญญาระดับนั้นได้ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ก็เป็นธา-ตุหรือธาตุแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เริ่มเข้าใจ ได้ยินคำว่าธาตุ ก็รู้ว่าคือสิ่งที่มีจริง เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ธรรมก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย ไม่ได้แยกเป็นแต่ละธาตุ แต่ละธาตุ เพราะฉะนั้นจะเรียกอย่างไรดี ทุกอย่างเป็นธรรม เอาธาตุเข้าไปใส่ ก็เลยไม่ต้องมีอะไร แต่ทั้งหมดเป็นธรรม และธรรมเป็นแต่ละหนึ่ง จึงเป็นแต่ละธาตุ ต่อไปก็จะมีคำที่ถ้าศึกษาทีละคำก็จะทำให้เข้าใจขึ้น เพื่อคลายความเป็นเรา ต้องคลายก่อน ต้องมีปัญญาพอที่จะมีการระลึกได้ ต้องมีปัญญาที่จะรู้ความมั่นคงจริงๆ ว่าสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ พระองค์ตรัสรู้เห็นที่กำลังเห็น ได้ยินที่กำลังได้ยิน คิดที่กำลังคิด ทุกอย่างที่มีจริง ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่ไม่เคยรู้ เราจะรู้เพียงอย่างเดียว แล้วคิดว่าเราละคลายกิเลสแล้ว และรู้แล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กว่าจะค่อยๆ ฟัง และมีการรู้ว่าไม่ใช่เราแม้คิด เห็นเกิดดับไหม เกิดดับ คิดใช่ไหม คิดเป็นเราหรือเปล่า ขณะนั้นไม่ได้คิดเรื่องอะไร คิดเรื่องเห็น เกิด ดับ เพราะฉะนั้นทั้งหมดในชีวิตไม่มีสักอย่างเดียว ที่พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ยิ่งกว่าคำที่เราเพียงเริ่มต้นได้ฟัง มากมายมหาศาล กว่าจะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเคารพอย่างสูงสุดในพระปัญญาคุณ ก็รู้ว่าด้วยพระปัญญาคุณ ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ๔๕ พรรษา ไม่ใช่วันสองวัน เรารู้แล้ว เห็นเกิดดับ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่การละคลาย ละคลายสิ่งที่สะสมมานานแสนนาน คือความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน คิดดู ปัญญาที่สามารถจะรู้ว่าไม่มีอะไรเที่ยงเลยสักอย่าง ไม่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นหรือเห็น หรือแม้แต่เรื่องราว หรือแม้แต่คิดนึก หรือแม้แต่แข็ง หรือแม้แต่สภาพที่กำลังเป็นสุขเป็นทุกข์ ทั้งหมดแต่ละหนึ่งเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เรา การฟังธรรมทั้งหมดนำไปสู่ประโยชน์สูงสุด คือละการหลงเข้าใจผิดยึดถือว่าเป็นเรา จากสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่ากว่าจะได้ฟังทีละคำ แล้วเข้าใจทีละคำ มั่นคงจนเป็นสัจจญาณ เป็นปัจจัยที่จะให้ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ใครก็บันดาลให้เกิดไม่ได้เลย แต่ว่าจากการที่ได้ฟังแล้วเข้าใจ ก็จะเป็นปัจจัยที่จะเมื่อใดก็ไม่รู้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ ก็ไม่ต้องไปรอคอย รู้แต่เพียงว่าถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด

    เพราะฉะนั้นเข้าใจขึ้นสำคัญที่สุดคือไม่ใช่เราละ เพราะเหตุว่าเราก็ผิดแล้ว แต่ว่าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา ในภาษาไทยเราก็ใช้คำว่าเข้าใจ เพราะว่าถ้าเราใช้คำว่าปัญญา บางทีเราก็นี่เป็นปัญญา ใช่ไหม มาแล้ว แต่ถ้าบอกว่าเข้าใจ จะมีใครถามไหม เพราะว่าเป็นภาษาที่เราใช้อยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งถึง ณ ขณะนี้กำลังเห็น เข้าใจเห็นหรือเปล่า เข้าใจเรื่องเห็นแต่ไม่ได้เริ่มเข้าใจเห็น แม้แต่จะเริ่มเข้าใจเห็น ก็ต้องมีการเริ่มจากการที่เข้าใจเสียก่อน แล้วจึงจะรู้ความต่างว่า กำลังฟังเรื่องเห็นแล้วก็มีเห็น แต่ความเข้าใจตรงเห็นจะเกิดเมื่อใด ต้องเป็นอนัตตา นี่เป็นหนทางละ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นเรื่องเพื่อละ แต่ถ้ามีการบอกให้ทำอย่างนั้น มีการนี่ใช่แล้วนั่นไม่ใช่ เพื่ออะไร ไม่ใช่ความรู้ของคนนั้นที่จะรู้ว่าความเข้าใจผิดมากแค่ไหน ความไม่รู้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นการที่ไม่สามารถที่จะรู้ความต่างกันของปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ก็ทำให้ตัวตนเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นขณะนั้นต้องเป็นตัวตนแน่นอนที่เข้าใจผิด จะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นปริยัติ การฟังพระพุทธพจน์ คำของพระพุทธเจ้าต่างกับคำที่เคยได้ยินมาทั้งหมด ได้ฟังเมื่อใด เริ่มต้นได้ฟังคำที่ไม่เคยได้ยินมาเลย เป็นคำที่ยากที่จะได้ยิน เพราะว่าเป็นคำที่พูดถึงสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ให้เริ่มเข้าใจถูกตามความจริงว่า ไม่รู้ความจริงอันนี้เลย เพียงแต่เริ่มที่จะฟังว่ามีสิ่งนี้นานแสนนานมาแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ฟัง แม้แต่จะเริ่มเข้าใจสักนิดหนึ่ง ก็เป็นไปไม่ได้

    นี่คือการเคารพสูงสุดในการฟังพระธรรม ที่จะไม่ตู่ ที่จะไม่ประมาทว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก แค่เห็นอย่างนี้ลึกซึ้งระดับไหน ระดับที่จะไม่มีความติดข้องในเห็นอีกต่อไปว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะเห็น ทั้งหมดไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริงๆ ที่จะหมดการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ไม่เหลือเลยไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดอีกเลยในสังสารวัฏ นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งถึงการดับกิเลส ซึ่งเกิดจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนตามลำดับขั้นถึงความเป็นพระอรหันต์ อีก ๗ ชาติ จากพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์ ท่านพระสารีบุตรท่านเป็นพระโสดาบัน ๑๕ วัน ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านเป็นโสดาบัน ๗ วัน ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นพระโสดาบันทีหลังท่านพระสารีบุตร นี่เป็นแต่ละหนึ่งไม่มีซ้ำกันเลย แต่ละหนึ่งก็ยังต่างกันเป็นแต่ละหนึ่งขณะซึ่งเกิดเพราะปัจจัย แล้วไม่กลับมาอีกเลย ต้องรู้อย่างนี้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า การฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเป็นเรื่องละ ไกลแสนไกล ใครจะหวัง เป็นเรื่องละ แต่ว่าไม่ใช่เราละ ต้องเป็นความรู้เท่านั้นที่จะละได้ และความรู้นั้นต้องตามลำดับด้วย ตั้งแต่ขั้นฟัง ไม่ประมาทเลย มีความเป็นผู้ที่ตรง เดี๋ยวนี้เข้าใจเห็นหรือเปล่า จะพยายามไปเข้าใจหรือเปล่า จะสงสัยหรือเปล่าว่าเห็นเกิดดับหรือเปล่า ทั้งหมดเป็นธรรมซึ่งต้องรู้ทั่ว ละทั่ว จึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่มีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราอีกต่อไป

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า เห็น เราก็คิดเรื่องเห็น เข้าใจเรื่องเห็นว่าเห็นเป็นธรรม และเห็นเกิดดับไหม เห็นก็เกิดดับ แต่เมื่อวานนี้ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า คิดถึงธรรมบ้างไหม ถามกันเพื่อเตือน

    ท่านอาจารย์ ถามกันทุกเรื่องไป ไม่เห็นถามว่า คิดถึงธรรมบ้างหรือเปล่า ใช่ไหม ก็เป็นคำถามจากหลายๆ คำถามในแต่ละวัน มีคำถามอย่างนี้บ้างไหม เท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปบอก ไม่ได้ไปแนะ ไม่ใช่ไปสั่ง ไม่ใช่อะไรเลย ก็เหมือนคำถามอื่นๆ แต่คำถามอื่นๆ ถามกันมากมายแล้ว ทุกวันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ลองถามว่า คิดถึงธรรมบ้างหรือเปล่า ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

    อ.อรรณพ ใช่ แต่การที่ผู้ฟัง เราก็มีความเป็นตัวตน ก็อาจจะไปคิดเอาเองว่า ท่านอาจารย์บอกให้คิดถึงธรรม

    ท่านอาจารย์ ใครว่า ผิดแล้ว ฟังก็ผิด แม้แต่การฟัง ก็เป็นพระพุทธเจ้าสั่งให้ทำอย่างนี้ บอกให้ทำอย่างนั้น เราเลย ให้เข้าใจความจริง เพราะทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำของพระองค์จะค้านกันได้อย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    7 ธ.ค. 2567