ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๘๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นลึกซึ้งไหม ในเมื่อเกิดมาก็เป็นเรา เห็นก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเรา กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา เคยรู้ไหมว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เคยรู้ ใครบอก

    ผู้ฟัง ก็ฟังมา

    ท่านอาจารย์ ฟังจากใคร

    ผู้ฟัง ก็ฟังพระเทศน์บ้าง อะไรบ้าง

    ท่านอาจารย์ พระเทศน์ว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็เทศน์เรื่องว่าไม่มีตัวตนอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ อะไรไม่ใช่ตัวตน

    ผู้ฟัง อนิจจัง อนัตตา

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นอนิจจัง

    ผู้ฟัง ทุกสิ่งอย่าง

    ท่านอาจารย์ อะไร ตัวตนของเรานี้ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ร่างกาย แขน ขา มือ ไม้ เท้ารวมกัน แต่พอแตกย่อยออกไปละเอียดยิบ อากาศธาตุแทรกคั่น

    ผู้ฟัง ก็คืออะไร ธาตุทั้ง ๔ อะไร ก็ฟังมาแบบว่าเราก็ไม่ได้ไปลึกซึ้งอะไร

    ท่านอาจารย์ ฟังมาขณะนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ เป็นปริยัติหรือเปล่า ถ้าฟังแล้วไม่มั่นคงไม่ใช่ปริยัติ แค่ได้ยินต้องไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นปริยัติต้องเป็นพระพุทธพจน์ ไม่ใช่คำของใครเลย แม้คำใดก็ตามที่พระสาวกในอดีตกล่าวที่เป็นจริงทุกคำเป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนนั้นที่คิดขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้นเข้าใจหรือเปล่าว่าไม่ว่าเมื่อใดเห็นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ตอนนี้ก็เข้าใจบ้าง

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปสำนักปฏิบัติใช่ไหม

    ผู้ฟัง อันนี้เราก็ทำได้ทุกที่ ที่บ้าน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ทำได้ นี่เข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่ทำเพราะว่าคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ เข้าใจว่าทำ แต่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งไม่สับสนกัน เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นจะมาได้ยินไม่ได้เลย คิดก็ไม่ใช่เห็น คนละหนึ่งคนละหนึ่ง โกรธเกิดขึ้นเป็นโกรธแล้วดับไป จะเปลี่ยนเป็นติดข้องโลภะไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดฟังเพื่อรู้ว่าไม่ใช่เราปฏิบัติ และปฏิบัติคืออะไร ปริยัติคืออะไร ปฏิเวธคืออะไร ทั้งหมดคือปัญญา ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ปัญญาไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย ไม่มีใครไปทำให้ปัญญาเกิดได้เลย ลองทำ ทำอย่างไรให้ปัญญาเกิดขึ้น เพราะปัญญาเป็นสภาพที่รู้ถูกเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ประโยชน์ที่จะได้จากการฟังเป็นผู้ตรง ถ้าไม่ตรงไม่ได้สาระจากพระธรรม คำนี้มีในพระไตรปิฎก แล้วเราก็จะตายเย็นนี้ด้วย หรือพรุ่งนี้ก็ได้ วันไหนก็ได้ทั้งสิ้น สะสมความเห็นผิดไว้ทำไม ในเมื่อถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี มีแต่ให้ทำ แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ทั้งหมดเป็นปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องทีละเล็กทีละน้อยทีละเล็กทีละน้อยที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง เราอยากจะเห็นที่ถูกต้อง เราจะต้องไปศึกษาที่ไหน หรือว่าจะต้องทำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังแต่ละคำเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง เพื่อให้รู้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราไม่รู้เรื่องการทำครัว เราเข้าครัวต้องมีคนสอนเราไหมว่าโน่นคืออะไร นี่คืออะไร ทำอย่างไร

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมีผู้รู้

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เราจะศึกษาจากผู้รู้

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ใครเป็นผู้รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้คนอื่นรู้จากอะไร จากการฟังแล้วไตร่ตรองจนเป็นความรู้ ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ความรู้ถูกความเห็นถูกไม่ใช่ใคร แต่เกิดเพราะมีความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง มีจริงๆ ไหม ธรรม

    ผู้ฟัง มีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ต้องมั่นคงทีละคำ นี่เป็นเหตุที่ว่าประโยชน์จริงๆ ที่เราจะได้ เราไม่ต้องไปหาคำมาเยอะแยะเลย แค่มีความมั่นคงว่าเดี๋ยวนี้มีจริง แล้วไม่รู้ ใครรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงแสดงเป็นธรรมที่จารึกสืบต่อกันมา ให้ใครก็ได้ที่ได้ฟังแล้วเข้าใจกล่าวคำจริงนั้นให้คนอื่นได้เข้าใจ ที่ไหนก็ได้เมื่อใดก็ได้ เพราะว่าไม่ใช่เรา ความเข้าใจถูกก็เป็นสิ่งที่มีจริง ความเข้าใจผิดก็มีจริง ไม่ใช่เราเลย แต่จะสะสมอย่างไหน สะสมความเข้าใจถูกหรือว่าสะสมความเข้าใจผิด ใครก็เลือกให้ไม่ได้ เพราะปัญญาเท่านั้นที่รู้ว่าประโยชน์คืออะไร สิ่งใดไม่มีประโยชน์ สิ่งใดเป็นประโยชน์ ความเห็นถูกเป็นประโยชน์ ความเห็นผิดเป็นโทษ แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่ได้สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เปลี่ยนเขาไม่ได้ มิฉะนั้นก็ทรงเปลี่ยนพวกเดียรถีย์ ไม่ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มีครูอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในลัทธิต่างๆ กัน พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงนี้ เขาไม่มาเฝ้า

    เพราะฉะนั้นคนที่สะสมความเห็นผิด ไม่มีทางที่จะได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเขาเชื่อคำของคนอื่น แต่ว่าคำที่ถูกต้องทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เห็นมีจริง เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ ถ้าตาบอดไม่มีตา เห็นเกิดได้ไหม ไม่ได้ นอนหลับสนิท แม้มีตาก็เห็นไม่ได้ ทรงแสดงความจริงทุกขณะของทุกอย่างอย่างสิ้นเชิงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ไม่ให้มีความสงสัย ถ้าได้เข้าใจถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจ เราเข้าใจแค่ไหน ต้องตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ มากน้อยเป็นเรื่องของธรรม ไม่ใช่เรื่องราว ฟังน้อยจะให้เข้าใจมากก็ไม่ได้

    อ.ธิดารัตน์ ในพระไตรปิฎกมีคำว่าธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ตัวเราปฏิบัติ แต่เป็นธรรมที่ปฏิบัติกิจใช่ไหม เช่น ปัญญาอย่างนี้ใช่ไหม ที่ทำหน้าที่เพราะว่าเป็นธรรมที่ทำกิจ รู้ธรรมจริงๆ เพื่อที่จะให้ถึงโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายที่ทำกิจ อนุโลมหรือว่าคล้อยตามธรรมซึ่งเป็นธรรมที่ทำให้ถึงพระนิพพานนั่นเอง เพราะฉะนั้นธัมมานุธัมมปฏิปัตติ หมายถึงว่าการปฏิบัติธรรมที่สมควร หรือว่าจะคล้อยตาม หรือว่าทำให้ถึงพระนิพพาน เพราะฉะนั้นธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน ถ้าเราศึกษาละเอียด เราก็จะค่อยๆ เข้าใจธรรมที่ปรากฏเหล่านี้ด้วยปัญญา แล้วถ้าไม่เข้าใจลักษณะของโลภะเป็นอย่างไร โทสะเป็นอย่างไร ความไม่รู้เป็นอย่างไร หรือว่าโมหะ แล้วเราจะไปละกิเลสอะไรได้ เมื่อกิเลสเกิดอยู่แล้วไม่รู้ตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้กำลังคล้อยตามที่จะไปรู้ความจริงของสภาพธรรมหรือเปล่า เพราะเหตุว่าการฟังเพื่อคิดไตร่ตรองด้วยตนเอง ไม่ใช่ไปจำเขาบอกว่า ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าทุกคำต้องละเอียด แล้วก็ลึกซึ้ง แล้วก็ไตร่ตรอง ความจริงมีแน่ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง และความจริงก็เป็นความจริงเดี๋ยวนี้เห็นจริง ได้ยินจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีในขณะนี้หรือเปล่า แล้วทำไมจึงต้องทรงบำเพ็ญพระบารมี ถึง ๔ อสงไขยแสนกัป แต่คนอื่นบอกให้เราทำง่ายมาก ไปทำเอา แต่ว่าไม่ได้มีบารมีอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ปัญญาที่จะค่อยๆ เข้าใจว่า ขณะนี้ได้ยินคำว่าธรรม มั่นคงแค่ไหนว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย จะรู้มากน้อยเท่าใดก็มีจริงๆ สิ่งนั้นในภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม แต่เราใช้คำที่เราเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม คือศึกษาในภาษาของตน ที่เราเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงนี่เอง ไม่ต้องใช้คำว่าธรรมก็มีจริงๆ และธรรมไม่ต้องชื่อว่าธรรมก็มีจริงก็ตรงกัน แล้วแต่จะใช้คำอะไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ฟังอย่างนี้กำลังคล้อยไปที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมหรือเปล่า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เห็นไหม และถ้าไม่ใช่ความเข้าใจ อะไรจะคล้อยตามไปได้ ความเห็นผิดคล้อยตามไปไม่ได้เลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้ฟังธรรม ใครห้ามได้ไหมที่จะได้ยินคำอื่น แล้วคนที่ได้ยินแล้ว ที่ไม่มีโอกาสจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยก็มี

    เพราะฉะนั้นจึงมีพวกเดียรถีย์ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรมเลย เพราะฉะนั้นการเห็นไม่ใช่บังเอิญ เห็นอะไรไม่ใช่บังเอิญ มีเหตุที่จะให้เกิดเห็นสิ่งนั้นเฉพาะสิ่งนั้น การได้ยินไม่ใช่เหตุบังเอิญ การได้ยินเรื่องราวต่างๆ ก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้ได้ยินคำนั้นเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นใครที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน มีโอกาสที่จะได้ฟังธรรม เข้าใจถูกพิจารณาถูก สะสมความเห็นถูกต่อไปได้ แต่คนที่สะสมความเห็นผิดมา ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ ธรรมพิสูจน์ตั้งแต่คำแรก ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บ้านหนึ่งมีใครฟังธรรมบ้าง ใครบังคับบัญชาได้ ทุกอย่างถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็คือว่ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น แต่ต้องเป็นผู้ที่สะสมมาในความเป็นผู้ตรง และเป็นเหตุ และผล ทุกคำต้องตอบ คำตอบนั้นมาจากใจ ใจนั้นมาจากการสะสมว่าสะสมมาที่จะคิดอย่างไร ตอบอย่างนั้น ถ้ายังมีความเห็นผิดอยู่ จะตอบให้ถูกไม่ได้ แต่ว่าถ้ามีการค่อยๆ เข้าใจขึ้น เห็นประโยชน์จริงๆ คำตอบนั้นเป็นไปตามความเห็นถูกที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคน ก็คือธรรมที่ละเอียดอย่างยิ่ง แล้วก็รู้ได้ว่าคนที่ไม่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน อาจจะเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินมาก เป็นผลของทานที่ได้ทำไว้ หรืออะไรก็ตาม แต่มีความเห็นผิดมากไหม แม้ในครั้งพุทธกาลเห็นอันตราย หรือโทษของความเห็นผิดไหมว่าสะสมไปเถิด แล้วก็เจอเอง คือเจอแต่ความเห็นผิด แม้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ก็ไม่ไปเฝ้า เพราะฉะนั้นเห็นโทษเห็นภัย เห็นอันตรายจริงๆ ว่าในข้อความที่ตรัสไว้ ไม่ไปหาคนที่มีความเห็นผิดด้วยกาย ด้วยกาย กายไม่ไป แล้วยังไม่ไปหาด้วยใจ คือแม้ใจที่คิดจะไปก็ไม่คิด เพราะฉะนั้นจะแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย เพราะฉะนั้นแม้แต่กายไม่ไป ใจก็ไม่ไปด้วย แต่บางคนกายไม่ไป แต่รอไว้ เผื่อบางวันจะไปก็ได้ใช่ไหม แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ไม่ไปหาด้วยกาย แล้วก็ไม่ไปหาด้วยใจ และไม่เข้าใกล้แม้ด้วยใจที่คิดจะไป

    อ.ธิดารัตน์ ระหว่างความรู้สึกเฉยๆ เป็นอกุศล แล้วก็เป็นกุศล จะสามารถเข้าใจว่าต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คำตอบก็คือว่าเดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า เพราะว่าแต่ละคำพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ใช่ไหม แต่ถ้าไม่พูดถึงก็ลืม ไม่รู้ แล้วก็คิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นแต่ละคำไม่ใช่หมายความว่า เราจะผ่านไปง่ายๆ เลย ธรรมมีตลอดเวลาแต่รู้ยาก แล้วไม่ใช่เราจะรีบร้อนไปรู้มากๆ เลย เพียงแค่ความรู้สึกเฉยๆ แค่นี้เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า ก็ต้องเป็นเรื่องรู้เฉพาะตน ไม่ใช่อยู่ในหนังสือ การศึกษาเข้าใจสิ่งที่กำลังมีซึ่งไม่ปรากฏ เหมือนจมอยู่ใต้มหาสมุทร เกิดแล้วดับแล้วอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นความรู้สึกเฉยๆ เมื่อสักครู่นี้ลองคิด มีไหม คิดมีแน่ แต่ตอนมีไม่รู้ ใช่ไหม เกิดขึ้นก็ไม่รู้ ดับไปก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ฟังธรรม ก็คือว่าให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีรู้ยาก และไม่ใช่ว่าเราจะอ่านตำราจบ แล้วเราก็มานั่งนึกว่า ขณะนี้เราสงบหรือเปล่า เป็นกุศลหรือเปล่า เป็นอกุศลหรือเปล่า แต่ต้องรู้จริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร มีสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้มีความเป็นเรา ซึ่งเป็นมานานแสนนานที่อยากหรือต้องการรู้ จนกระทั่งไปพยายามทำให้สงบ ก็ผิดอีก เพราะฉะนั้นฟังธรรมสิ่งเดียวก็คือว่าเพื่อเข้าใจเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น ไม่ต้องไปทำอะไร เพราะฟังเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ยิน เรื่องอะไร เรื่องสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจอะไร ให้เข้าใจว่ามีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา ทั้งหมดไม่ว่าจะกี่คำในพระไตรปิฎกทั้งหมดก็ให้รู้แจ้งชัดจริงๆ ว่าทุกคำเป็นคำที่เปลี่ยนไม่ได้ จริงๆ ก็คืออย่างนั้น แต่ไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นสักที ทั้งๆ ที่ได้ยิน เมื่อวานนี้ก็ได้ยินใช่ไหม ธรรมไม่ใช่เรา ก็ได้ยิน พูดอีกก็ได้ พรุ่งนี้ก็พูดได้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่หน้าที่ของตัวตน ซึ่งจะพยายามไปรู้อะไร แต่ว่าฟังแล้วเข้าใจ ความเข้าใจนั้นเอง ชั่วขณะนั้นที่เข้าใจ ทำหน้าที่เข้าใจถูก ซึ่งจะค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวนี้มีความรู้สึกเฉยๆ ไหม แค่ตอบว่ามี แต่ไม่ได้รู้ แต่ฟังให้เข้าใจว่า แม้มีไม่ใช่เราก็ไม่รู้ แล้วไม่ใช่มีใครสามารถจะไปทำให้รู้ได้ แต่ความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วในที่สุดก็จะค่อยๆ รู้เอง โดยไม่ต้องมีใครไปทำ แต่เพราะมีเหตุคือได้ฟังแล้ว และเข้าใจมากพอที่สามารถที่จะรู้ลักษณะของความรู้สึกว่า ขณะที่เป็นความรู้สึกนั้นก็ไม่มีใคร นอกจากสภาพที่กำลังรู้สึก ฟังไป จับด้ามมีดแม้ว่าด้ามมีดเล็กมาก ก็ต้องอาศัยกาลเวลา แต่ด้ามมีดคือความไม่รู้ ไม่เล็กเท่าด้ามมีดนั้นเลย ใหญ่โตมโหฬารเกินจักรวาล เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็คือว่าเป็นผู้ที่เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้น เข้าใจเท่าที่จะเข้าใจได้

    อ.ธิดารัตน์ การที่เราจะเข้าใจว่าความสงบจริงๆ กับเราไปนั่งนิ่งๆ แล้วก็เฉยๆ อย่างนั้น มีความต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเราจะไปนั่งคิด แต่ฟังให้เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ก็นั่ง เดี๋ยวนี้ก็นิ่ง แล้วถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมเลย จะรู้ได้ไหมว่า แม้แต่คำว่าสงบ หมายความถึงอะไร นั่งนิ่งๆ ไม่ได้กระโดดโลดเต้นใช่ไหม สงบไหม ไม่ใช่หมายความอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าสงบต้องหมายความว่า สงบจากความไม่รู้ สงบจากกิเลส สงบจากความติดข้อง สงบจากความขุ่นเคือง สงบจากความสำคัญตน สงบจากความริษยา ทุกอย่างหมด ที่ไม่ดีทั้งหมด แล้วก็ยังไม่รู้เลยว่ามีหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจะเอาปัญญาที่ไหนไปรู้ ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ไม่มีปัญญาแล้วจะไปเอาปัญญาที่ไหนมารู้ แต่จะมีปัญญาเมื่อใด เมื่อฟังแล้วเข้าใจเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ เป็นหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่หน้าที่ของใครอื่น เพราะฉะนั้นฟังธรรมไม่ใช่ไปคิดเรื่องอื่น แต่เดี๋ยวนี้ทุกคำที่ได้ฟังจริงไหม จริงคือนั่งนิ่ง สงบหรือเปล่า ถ้าปัญญาไม่เกิดรู้ไหมว่าขณะนั้นสงบหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่หน้าที่ของใครจะไปรู้ หน้าที่ของปัญญาที่เกิดจากการฟัง แล้วเข้าใจว่าสงบคืออะไร สงบมีจริงๆ ไหม เมื่อใดสงบ เห็นอย่างนี้ กำลังเห็นอย่างนี้สงบไหม เห็นไหม ไม่ใช่ใครจะไปรู้ได้โดยการคิดเอง หรือฟังมาหน่อยหนึ่งก็มานั่งคิด แต่ฟังจนกระทั่งรู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แม้แต่เห็นขณะนี้ ดับแล้วก็ไม่สงบ คิดดู ไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ไม่สงบแล้วเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าเห็นเกิด แล้วเห็น แล้วก็ดับไปแล้ว ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็เพื่อฟังไปฟังไปฟังไป ปัญญาก็ทำหน้าที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ละความต้องการ ละความไม่รู้ ละการคิดที่จะไปทำอะไรทั้งสิ้น แต่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้นพูดถึงการที่ว่า เราสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังได้ฟัง กับสิ่งที่กำลังปรากฏแค่ไหน ก็คือให้รู้ว่าความไม่รู้ของเรามากแค่ไหน เพราะฉะนั้นจะเอาอะไรไปละความไม่รู้ จนกระทั่งจิตนั้นสามารถที่จะคลายความเป็นเรา แล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตรงกับที่ได้ฟัง เป็นเรื่องฟังจนกระทั่งเข้าใจ ในขณะที่เข้าใจนั้นก็ละความพยายามด้วยความเป็นตัวตนที่จะเข้าใจให้มากกว่าที่ได้ฟัง มีใครสามารถที่เข้าใจมากกว่าที่ได้ฟังไหม เพราะฉะนั้นฟังมามากหรือยัง เพิ่งเมื่อวานนี้ก็มี ใช่ไหม แล้วอย่างไร ก็ฟังต่อไป ให้รู้ว่านี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ เป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หรือใครเคยได้ยินมาก่อน เคยได้ยินแต่คำของคนโน้น คำของคนนี้ คำของคนนั้น แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มี และไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่ามีจริงๆ นี่เองแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงฟังต่อไปเพื่อรู้

    อ.ธิดารัตน์ เมื่อสักครู่นี้ก็ได้มีการสนทนากันถึงเรื่องของความสงบ แล้วก็ธรรมที่ตรงข้ามกับความสงบ ก็เป็นความฟุ้งซ่าน ก็จะมีคำถามของท่านผู้ฟังฝากไว้ว่า อยากเข้าใจว่าอุทธัจจะกับกุกกุจจะโดยละเอียดจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ รู้จักธรรมกันทุกคนหรือยัง รู้จักแล้วเราจะได้ค่อยๆ พูดถึงธรรมจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อยให้เข้าใจชัดเจน ไม่ใช่ผ่านไปผ่านไปมีแต่ชื่อ จนมานั่งสงสัยว่าได้ยินเขาว่าคำนี้ อุทธัจจะเป็นอย่างนี้ วิจิกิจฉาเป็นอย่างนั้น ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างนี้ ความรำคาญใจเป็นอย่างนั้น แล้วก็นั่งคิดนั่งสงสัย ก็คือไม่ได้รู้เข้าใจจริงๆ เสียประโยชน์ของการฟัง เพราะฉะนั้นการฟังจริงๆ แค่ให้ทุกคนเข้าใจมั่นคง เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีจริงมีจริงๆ ไม่มีใครทำขึ้นมาเลย แต่เกิดขึ้นได้จึงปรากฏว่ามี และอะไรจะทำให้เกิดขึ้นได้ อยู่ดีๆ ก็ลอยขึ้นมาไม่ได้ ต้องมีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เข้าใจอย่างนี้หรือยัง แค่นี้ ก่อนที่เราจะไปถึงอุทธัจจะ กุกกุจจะ และอะไรอีกเยอะแยะเลยใช่ไหม แต่ทุกคนเข้าใจคำว่าธรรมหรือยัง ไม่ต้องใช้คำนี้ก็มีสิ่งที่มีจริง แต่ไม่เคยมีใครมาบอกว่าสิ่งที่มีจริงเป็นเพียงสิ่งที่แค่ปรากฏ แค่ปรากฏว่ามีแล้วหมดไปเลย ยากที่จะเชื่อ แต่ถ้าฟังต่อไป จริงทุกคำ และรู้ด้วยว่าถ้าไม่รู้จริงอย่างนั้น จะกล่าวคำจริงอย่างนั้นได้ไหม ไม่ใช่ไปนั่งคิดไตร่ตรอง เขียนมาเป็นเล่ม อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ว่าประจักษ์แจ้งจริงๆ จึงได้กล่าวคำจริงอย่างมั่นคงซึ่งไม่เปลี่ยน ใครเปลี่ยนสภาพความจริงไม่ได้เลย ความจริงเป็นความจริงถึงที่สุด ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นจะมีการปรากฏว่ามีได้ไหม ไม่ได้ แต่สิ่งที่ปรากฏขณะนี้อย่างเดียวหรือเปล่า หลายอย่างมาก แสดงว่าต้องมีสิ่งที่หนึ่งเกิดขึ้น แค่หนึ่งขณะปรากฏแล้วดับไป และก็ขณะต่อไป ก็มีสิ่งที่ปรากฏแต่ละขณะแต่ละขณะไป

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ใช่ให้เราใจร้อน แต่ให้เราเข้าใจจริงๆ ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้เราเริ่มมีความมั่นคงว่าธรรมเป็นธรรมไม่มีใคร แม้แต่เราจะไปทำให้เกิดขึ้น เราจะไปทำให้เกิดปัญญา เราจะทำให้เกิดความสงบ ผิดทั้งหมด เพราะไม่รู้จักธรรม ถ้ารู้จักธรรมแล้ว ธรรมเปลี่ยนไม่ได้ เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำ เกิดแล้วดับแล้ว เร็วกว่าที่ใครจะไปดับธรรมได้ เกิดแล้วดับเลย ใครจะไปทำอะไร ไม่มีตัวตนเลย เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อละคลายความไม่รู้ การยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ฟังจนกระทั่งค่อยๆ คลายความไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะได้ยินคำอะไร อย่าเพิ่งคิดว่าคำเยอะๆ ดีๆ เดี๋ยวเราจะได้เข้าใจคำนี้จบเรื่องนั้นไปเข้าใจเรื่องโน้น แต่ว่าแต่ละคำเข้าถึงความไม่ใช่เราหรือเปล่า เข้าถึงความเป็นธรรมมั่นคงขึ้นไหม เห็นเป็นเราหรือเปล่า เห็นไหม มั่นคงไหม ขั้นฟังยังไม่มั่นคงพอ เพราะว่าถ้ามั่นคงพอ ขณะนี้จะไม่เคลือบแคลงสงสัยในเห็น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    13 ม.ค. 2568